Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1238
ตอนที่1238 ปล่อยให้โจมตีจนกว่าจะเหนื่อย
“พี่ใหญ่ เราควรไปทางใดดีในเวลานี้?”
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเริ่มจับจุดบางอย่างของค่ายกลนี้ได้ อิ้งหมัวหู่พลันเอ่ยถามอย่างอดมิได้
ในขณะนี้ เป็นเวลากว่าสามวันเต็ม พวกเขาเพิ่งมาถึงพื้นที่ในส่วนที่สองเท่านั้น!
ซึ่งส่วนที่สอง เย่หยวนใช้เวลามากกว่าส่วนแรกถึงสามเท่า
อันที่จริงแล้ว อิ้งหมัวหู่และเยวี่ยเมิ่งลี่พลางรู้สึกว่า ทิวทัศน์โดยรอบบริเวณนี้ยังคงเหมือนกับส่วนแรกดุจลอกกันมา และไม่มีความแตกต่างอันใดเลย
ทว่าการที่ทุกอย่างเหมือนกันขนาดนี้โดยไม่สามารถจับจุดผิดสังเกตได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ค่ายกลนี้ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการกว่าที่คิดไว้มาก
“ตรงกลาง!”
เอ่ยกล่าวจบ เย่หยวนก้าวแช่มออกเดินเข้าเส้นกลางทันทีโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
อิ้งหมัวหู่และเยวี่ยเมิ่งลี่ที่เห็นดังนั้นพลันตกใจเล็กน้อย ก่อนเร่งเดินติดตามไปทันที
สำหรับพื้นที่ในส่วนที่สามนี้ เย่หยวนใช้เวลาถึงหกวันเต็มเพื่อค้นหาเส้นทางที่ถูกต้อง
แต่ในส่วนที่สี่ มันกลับกินเวลาเย่หยวนถึงครึ่งเดือนเต็มกว่าจะเข้าใจทั้งหมด!
อิ้งหมัวหู่ไม่กล้าขัดจังหวะเย่หยวนที่กำลังศึกษาอย่างเอาจริงเอาจังแม้แต่น้อย เขาอดเบือนหน้าหันบ่นกับลี่เอ๋อมิได้เลยว่า
“สวรรค์! ด้วยความเร็วเต่าคลานเช่นนี้ ยามที่เราออกไปได้ เกรงว่าเผ่าปีศาจคงรวมดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าเป็นปึกแผ่นเดียวกันแล้วกระมัง!”
ลี่เอ๋อในตอนนี้เองก็เป็นกังวลมิใช่น้อย เพียงว่านางมิได้แสดงอารมณ์ออกมาเหมือนอิ้งหมัวหู่
หนึ่งเดือนผ่านไป ณ ปัจจุบัน พวกเขาก็ยังไม่สามารถออกจากพื้นที่ในส่วนที่สี่ได้
อัตราความเร็วชนิดนี้ กระทั้งเต่ายังคลานแซงไปไกลโขแล้ว
มาตรได้ว่า อิ้งหมัวหู่พูดไม่ออกกล่าวไม่ถูกแล้วเช่นกัน
แต่ทั้งคู่ก็ทราบตระหนักดี ศาสตร์แห่งค่ายกลที่กอปรอยู่ภายในค่ายกลเหล่านี้ช่างลึกซึ้งและซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง อย่าลืมไปเสีย ท้ายที่สุดนี้นี่เป็นถึงค่ายกลขั้นสวรรค์ที่ถูกสร้างโดยเซียนอาณาจักรพระเจ้า การจะทำความเข้าใจนั้นกลับมิใช่เรื่องง่าย
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าตั้งแต่พื้นที่ส่วนแรกจวบจนตรงนี้ มีกับดักเตรียมปลิดชีพซ่อนเร้นอยู่ไม่รู้จำนวนเท่าใด
ดังนั้น เย่หยวนจำต้องศึกษาด้วยความรอบคอบจนมั่นใจเสียก่อน ถึงจะกล้าสืบเท้าย่างไปข้างหน้า
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้นกะทันหัน เขาลุกขึ้นพรวดพร้อมก้าวแช่มตรงไปทางดงบุปผาทันที
พื้นที่ในส่วนที่ห้านี้ ลี่เอ๋อคาดการณ์ไว้ว่า เย่หยวนจำต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนแน่นอนถึงจะผ่านไปยังส่วนต่อไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นก็สามารถผ่านไปได้ฉลุย
“พี่ใหญ่หยวน เกิดอะไรขึ้น? หรือเป็นไปได้ไหมว่าสามารถทำลายกระบวนค่ายกลได้สิ้นแล้ว?”
ลี่เอ๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“การจะทำลายกระบวนค่ายกลหาใช่เรื่องง่ายได้อย่างไร? ทว่าเพียงแค่ต้องการฝ่าปก่าดอกท้อนี้ออกไปกลับมิน่าใช่ปัญหาอีกต่อไป!”
เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่การเฝ้าศึกษาอย่างเข้มข้น ในท้ายที่สุด ความสำเร็จบนศาสตร์แห่งค่ายกลของเย่หยวนก็พัฒนาขึ้นอีกระดับ จนสามารถเข้าใจค่ายกลขั้นสวรรค์อันแสนซับซ้อนได้
ค่ายกลที่กอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์เหล่านี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ ต่อให้เชิญจักรพรรดิค่ายกลมานับร้อยนับพันช่วยระดมความคิด พวกเขาเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้แต่พื้นฐาน
แต่อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของเย่หยวนบนเส้นทางแห่งค่ายกลก็ได้ทะลวงขึ้นสู่ระดับชั้นเดียวกับเซียนอาณาจักรพระเจ้านานแล้ว
และเย่หยวนเองก็ตระหนักดีว่า วิถีค่ายกลที่เก้าของหลู่หลินเฟยเป็นถึงค่ายกลขั้นสวรรค์ขนานแท้!
นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เย่หยวนกล้าท้าทายหลู่หลินเฟยด้วยศาสตร์แห่งค่ายกลในตอนนั้น และทันทีที่หลู่หลินเฟยเตรียมจะใช้วิถีค่ายกลที่เก้า เย่หยวนจึงยกธงขาวประกาศยอมแพ้ในทันที
ระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนมานี้ เย่หยวนได้อุทิศกายใจเพื่อทำความเข้าใจต่อศาสตร์สวรรค์ที่เปี่ยมแน่นค่ายกลตรงหน้าอย่างสุดกำลัง
ถึงแม้ความเข้าใจจะค่อนข้างตื้นเขิน แต่นั้นก็เปรียบเสมือนประตูสู่โลกใบใหม่ของเย่หยวน
เช่นนั้น ความเร็วในการถอนรหัสค่ายกลป่าดอกท้อจึงสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านับหลายสิบเท่าทวี
เพียงหนึ่งเดือนเศษ เย่หยวนก็สามารถมองเห็นปริศนาที่เร้นแฝงในค่ายกลนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ไม่ว่าทิวทัศน์จะรื่นรมย์งดงามเพียงใด แต่นั้นมิอาจลวงตาเย่หยวนได้อีกต่อไป
ถึงมันจะดูปลอดภัยแค่ไหนในสายตา ทว่าจิตสังหารกลับไม่สามาถหลบซ่อนได้มิดชิด
ในทางตรงข้าม หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้แทบทำให้เขาเป็นบ้าเช่นกัน
เพราะไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน ก็มีแต่เส้นทางทั้งสามเบื้องหน้าที่เฝ้ารออยู่
บุคคลผู้สร้างค่ายกลนี้จำต้องมีจิตวิปลาสเพียงใดกัน?
“เอ๊ะ ที่นี่? ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามนัก! สวยดั่งสรวงสวรรค์เลย!”
ลี่เอ๋อโพล่งอุทานขึ้นพร้อมความประหลาดใจ
อ๊อกกก…!!
จู่ๆอิ้งหมัวหู่ที่เห็นทางออกตรงหน้าก็อาเจียนออกมาระลอกใหญ่ทันที
เย่หยวนและลี่เอ๋อที่เห็นดังนั้นพลันสบสายตากันเล็กน้อย ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นแสนขำขัน
หากกล่าวตามหลักเหตุและผล มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เซียนผู้ไร้เทียมทานเฉกเช่นอิ้งหมัวหู่จะอาเจียนออกมาเช่นนี้ ทว่าผลกระทบทางจิตใจที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา กลับกระทบกับเขาอย่างจัง
อิ้งหมัวหู่กรอกตามองทั้งคู่ที่กำลังยืนขำและกล่าวขึ้นว่า
“พวกท่านยังจะหัวเราะอีก! ข้าขอเตือนไว้ก่อนเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามใครพูดคำว่า‘ดอกท้อ’ให้ข้าได้ยืนอีก มิเช่นนั้น…อ๊อกกกก!!”
หลังจากที่ทั้งสามหยอกล้อกันไปมายกใหญ่ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางต่ออีกครั้ง
สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนสรวงสวรรค์ก็มิปาน เนินเขาทับซ้อนเขียวชอุ้ม น้ำทะเลสีครามฟ้าใสบริสุทธิ์ เฝ้ามองโดยภาพรวมช่างเป็นทิวทัศน์งดงามมากเสน่ห์และน่าหลงใหล
ที่สำคัญกว่านั้นคือ บริเวณแห่งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณบริสุทธิ์ไม่ด้อยไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย
“พี่ใหญ่หยวน ที่แห่งนี้ดูไม่เหมือนหุบเขาเหวพระเจ้าเลย! แล้วพวกเราจะกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกหรือไม่?”
ลี่เอ๋อกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เย่หยวนส่ายหัวและกล่าวว่า
“ดูไม่เหมือนเลยจริงๆ! ข้ารู้สึกดั่งว่ามันเป็นอีกมิติหนึ่งคล้ายกับมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ มันเป็นดินแดนอิสระตัดขาดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง”
“เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่ก็อาจเป็นนิกายศักดิ์สิทธิ์ร้างที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง? แต่เท่าที่ดูแล้วมันไม่คล้ายกับนิกายหรือสำนักอะไรเทือกนั้นเลย เช่นนี้คงไม่น่าเป็นอันตรายอันใดกระมัง?”
อิ้งหมัวหู่ที่หยุดอ้วกในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นกล่าวแทรก
“นั้นมิน่าเกี่ยว เคยมีคำกล่าวเล่ากันว่า สถานที่ยิ่งสวยงามยิ่งอันตราย แถมหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ เราก็มิได้รับรู้ข่าวภายนอกใดๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
เย่หยวนกล่าว
ท่าทางการแสดงออกของอิ้งหมัวหู่แปรเปลี่ยนในทันใด จากที่มองในแง่ดียามนี้กลับถอดสีหน้าในทันใด
ถูกต้องแล้ว ภายในหุบเขาเหวพระเจ้าจะใช่สถานที่ปลอดภัยไร้พิษภัยได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่ หรือเราควรย้อนกลับ?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวถาม
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“หากพวกเราย้อนกลับไปได้ง่ายๆ ไฉนข้าต้องใช้เวลาเป็นเดือน? ที่สำคัญ ดูท่าค่ายกลนี้จะเป็นแบบทางเดียว หากข้าสามารถทวนรูปแบบย้อนกลับไปได้ ข้าคงกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแล้วกระมัง? ในความเห็นของข้า การที่ผู้สร้างค่ายกลมายังที่แห่งนี้ อาจต้องมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง?”
“นี่…ท่านคิดจะทำอะไร?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนหดหู่ราวกับคาดเดาคำตอบของอีกฝ่ายได้แล้ว
“ในเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งทีก็เดินต่อให้สุด! ไฉนไม่ลองเข้าไปสำรวจหน่อยล่ะ? บางทีอาจได้ดอกผลที่ไม่คาดคิด?”
เย่หยวนกล่าว
จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็เดินหน้าเข้าสำรวจต่ออย่างระมัดระวัง แต่ระหว่างทางมานี้กลับไม่พบภัยอันตรายใดๆเลย นี่จึงทำให้พวกเขาคลายใจลงอย่างมาก
เมื่อเดินทางเคลื่อนผ่านหุบเขาลูกหนึ่งไป สิ่งน่าประหลาดใจพลันเกิดขึ้นในที่สุด ปรากฏว่าเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้เช่นกัน
“พี่ใหญ่,ดูเหมือนจะมีผู้คน! นั้นหรือว่า…เผ่าอสูร! แปลกเกินไป! ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงมีเผ่าอสูรอาศัยอยู่?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เย่หยวนที่เห็นดังนั้นพลันแปลกใจไม่ต่าง
ห่างออกไปไกล ปรากฏเหล่านักสู้ของเผ่าอสูรกำลังฝึกซ้อมต่อสู้กันอยู่อย่างขยันแข็งขัน
และเมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเล็งเห็นพวกเย่หยวนกำลังมาทางนี้ พวกเขาจึงเร่งตรงมาหาทันที!
พวกเย่หยวนทั้งสามพลันคิดว่าพวกเขาจะตรงเข้ามาเพื่อทักทาย แต่ที่ไหนได้สีหน้าของพวกนั้นกลับมืดทมิฬลงโดยพลัน และตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาลว่า
“มันเป็นมนุษย์! พวกมนุษย์ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?!”
ยังไม่ทันที่จะได้ปริปากอธิบายใดๆ พวกนั้นก็เข้าจู่โจมทันทีโดยตรง
อิ้งหมัวหู่และลี่เอ๋อกำลังจะเคลื่อนไหว แต่กลับถูกหยุดโดยเย่หยวนเสียก่อน
“ปล่อยให้พวกมันโจมตีจนกว่าจะเหนื่อย เราอย่าเพิ่งตอบโต้ใดๆในสถานที่ที่ไม่รู้จักเป็นดีที่สุด พวกเจ้าอย่าได้เสียแรงโดยใช่เหตุ ตรงนี้ให้ข้าจัดการเอง”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นเอ่ยขึ้น