True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1163 เทียบเชิญ
“เจ้ากล้าดียังไงมาพูดเช่นนี้!” จางจื้อหย่วนโมโห อี้อวิ๋นพูดแบบนี้ก็เท่ากับตบหน้าเขาชัดๆ หมายความวิถียุทธ์ของจางจื้อหย่วนเสียเปล่า บอกว่าเขาขายตัวให้ตระกูลโจว จะให้จางจื่อหย่วนอดทนได้อย่างไร
อี้อวิ๋นไม่สนใจจางจื้อหย่วน เขารู้สึกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าคนผู้นี้มีเจตนาความเป็นศัตรูกับเขา ใช้คำข่มขู่ตั้งแต่เริ่มพูด อี้อวิ๋นจะยืนหยัดเพียงลำพังได้หรือไม่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาที่เป็นแขก
ตัวเองเป็นแขกแล้วอยากให้คนอื่นเป็นเหมือนตัวเอง เมื่อเจอแขกตระกูลเดียวกันที่มีความสามารถก็อิจฉา อี้อวิ๋นขี้เกียจแสร้งทำว่านอบน้อมและคล้อยตามต่อคนประเภทนี้
คุณชายป๋ายเฟิงมองอี้อวิ๋นด้วยสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย “ข้ามาเชิญชวนด้วยตัวเอง ทั้งยังพาคุณชายจางมาด้วย นับว่าแสดงความจริงใจให้เห็นแล้ว ปรมาจารย์อี้ดูถูกตระกูลโจวของพวกข้าหรือ?”
อี้อวิ๋นประสานมือพูดกับคุณชายป๋ายเฟิงว่า “หากคุณชายป๋ายเฟิงจะเข้าใจข้าแบบนี้ เช่นนั้นอี้อวิ๋นก็ไม่มีอะไรพูด ตอนนี้อี้อวิ๋นขอเป็นอิสระ ยังไม่อยากพึ่งพาผู้ใด ในเมื่อท่านทั้งสองไม่ได้มาหลอมโอสถ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวปิดด่านฝึกตนก่อน เชิญพวกท่านกลับไปเถอะ”
แม้จะเพิ่งเคยเจอโจวป๋ายเฟิงเป็นครั้งแรก แต่ฟังจากที่ต่งเสี่ยวหวั่นบรรยายแล้วอี้อวิ๋นก็เดาได้ว่า โจวป๋ายเฟิงมาเชิญเขาเป็นแขกเพื่อยกระดับฐานะตัวเองในตระกูล
หากอี้อวิ๋นสวามิภักดิ์ต่อตระกูลโจวก็ย่อมนับว่าเป็นพรรคพวกสายตรงของโจวป๋ายเฟิง เมื่อโจวป๋ายเฟิงได้มรดกในอนาคตก็จะมีหมากในมือมากขึ้น อี้อวิ๋นฝึกวรยุทธ์มาถึงขั้นนี้ เขาจะยอมเป็นแขกให้คุณชายคนหนึ่งได้อย่างไร?
“ทั้งสองท่านได้ยินคำของคุณชายข้าแล้ว เชิญเจ้าค่ะ” ต่งเสี่ยวหวั่นพูด อี้อวิ๋นช่วยชีวิตนาง นางจึงฟังคำสั่งอี้อวิ๋นเท่านั้น
สีหน้าโจวป๋ายเฟิงดำจนจะหยดเป็นน้ำ “เช่นนั้นก็หวังว่าปรมาจารย์อี้จะไม่เสียใจภายหลัง เจ้าเป็นแค่ปรมาจารย์โอสถคนหนึ่งและมีศัตรูมากเกินไป ระวังจะเอาตัวไม่รอด”
คุณชายป๋ายเฟิงส่งเสียงเย็นๆ อย่างหนักเมื่อพูดจบแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
จางจื้อหย่วนมองอี้อวิ๋นอย่างเย็นชาเช่นกัน จากนั้นก็เดินตามคุณชายป๋ายเฟิงออกจากห้องหออวิ๋นซิน
“คุณชายป๋ายเฟิง อี้อวิ๋นผู้นี้ช่างไม่รับน้ำใจยิ่งนัก! เขาไม่เพียงไม่เห็นข้าในสายตา แต่ยังไม่เห็นคุณชายป๋ายเฟิงกับตระกูลโจวอยู่ในสายตาเช่นกัน” จางจื้อหย่วนหันไปมองป้ายร้านห้องหออวิ๋นซินและพูดว่า “เขาคงหยิ่งทะนงเพราะอาศัยว่าตัวเองรู้จักเทพธิดาอู๋เสีย ส่วนเทพอู๋เสียก็เป็นเด็กรุ่นหลังของเจ้าเมืองฉิน”
คุณชายป๋ายเฟิงยกมือให้จางจื้อหย่วนหยุดพูด “เป็นความจริงที่เขามีความสามารถ โลกนี้มีอัจฉริยะมากมายไปหมด แต่คนที่เติบโตขึ้นมาได้กลับมีไม่มาก”
“เขาเป็นปรมาจารย์โอสถระดับสูง อนาคตไร้ขีดจำกัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนเช่นนี้มีประโยชน์ต่อกลุ่มอิทธิพลใหญ่กลุ่มหนึ่งมากเพียงใด ทั้งอี้อวิ๋นยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่มีกำลังต่อต้าน ในเมื่อเขาปฏิเสธตระกูลโจวของเรา เช่นนั้นก็ต้องมีกลุ่มอิทธิพลอื่นอยากดึงตัวเขาแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะควบคุมได้ กลุ่มอิทธิพลไหนจะยอมให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาในอนาคตและไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเขาเติบโตได้กัน? ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่ง ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะทำอย่างไร! กลับจวน!”
……
เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้วสิบวัน
สิบวันนี้อี้อวิ๋นเอาแต่ปิดด่านฝึกตนไม่รับแขก
ตัวอย่างจากโจวป๋ายเฟิงก่อนหน้านี้ทำให้อี้อวิ๋นเข้าใจว่า ตอนนี้กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มในเมืองสรรพสิ่งพากันอยากดึงเขาไปเป็นแขกประจำบ้านตัวเอง
เพราะเขาไม่มีกำลังป้องกันตัวเอง กลุ่มอิทธิพลต่างๆ จึงมองเขาเป็นลูกแกะอ้วนตัวหนึ่ง แต่ละตระกูลอยากดึงเขาไปเป็นพวกตัวเอง บางกลุ่มอิทธิพลจะให้เขาลงนามสัญญาหลังจากที่เข้าร่วมด้วยซ้ำ
การลงนามสัญญาของจอมยุทธ์เกี่ยวพันไปถึงวิญญาณ แม้เงื่อนไขจะหละหลวมอี้อวิ๋นก็ไม่ยอมลงนามเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงปิดร้านไม่ยอมพบหน้าดีกว่าต้องล่วงเกินทุกฝ่าย
สิบวันนี้มีคนจากจวนเสวียนหยาง ภูเขาเบญจธาตุและสำนักกระบี่โอสถหทัยพากันมาที่ห้องหออวิ๋นซิน แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะได้พบอี้อวิ๋น พวกเขาด้อยกว่าโจวป๋ายเฟิงในด้านนี้
“คุณชาย เทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวนต้องการให้ท่านหลอมโอสถเจ้าค่ะ ตระกูลกุยหยวนเป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับสองของเมืองสรรพสิ่งที่เป็นรองแค่หอเซียนสรรพสิ่ง เทพธิดาจื่ออวี่เป็นอัจฉริยะหญิงที่มีชื่อเสียงเช่นกัน แม้ชื่อเสียงของนางจะเทียบเทพธิดาโยวฉินไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่เพราะด้อยกว่า แต่เพราะเทพธิดาโยวฉินบรรเลงฉินที่ตรอกสมบัติสวรรค์ ผู้คนที่รู้จักนางจึงย่อมมีมาก แต่เทพธิดาจื่ออวี่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในตระกูลกุยหยวน น้อยมากที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน คนที่รู้จักนางจึงย่อมน้อย คุณชายอี้ ท่านเห็นว่า…”
ต่งเสี่ยวหวั่นพูดอย่างระมัดระวัง ความจริงอี้อวิ๋นสั่งนางไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนจากกลุ่มอิทธิพลใดก็ไม่พบทั้งนั้น แต่เทพธิดาจื่ออวี่ไม่เหมือนคนอื่น สถานะของนางสูงกว่าโจวป๋ายเฟิงมาก ทั้งยังเป็นคนของตระกูลกุยหยวน กลุ่มอิทธิพลในเมืองสรรพสิ่งที่มีคุณสมบัติให้แข่งขันกับหอเซียนสรรพสิ่งก็มีแค่ตระกูลกุยหยวน
ในฐานะที่เทพธิดาจื่ออวี่เป็นอัจฉริยะหญิงของตระกูลกุยหยวน การที่นางเป็นฝ่ายมาพบอี้อวิ๋นด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องที่คุณชายหลายคนปรารถนา ดังนั้นหลังจากที่ต่งเสี่ยวหวั่นคิดไปคิดมาแล้วจึงมารายงานอี้อวิ๋น
“เทพธิดาจื่ออวี่? ตระกูลกุยหยวนหรือ?” อี้อวิ๋นลูบคางแล้วถามต่งเสี่ยวหวั่น “เสี่ยวหวั่น ตระกูลกุยหยวนกับหอเซียนสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน?”
“เรียนคุณชาย ทุกกลุ่มอิทธิพลต่างแย่งชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แม้ภายนอกจะดูเป็นมิตร แต่ความเป็นจริงก็ย่อมไม่ใช่แบบนั้น”
……
ด้านนอกห้องหออวิ๋นซินในเวลานี้ รถม้าสีขาวหยกคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ตัวรถม้าดูอ่อนโยนแวววาวและงดงามประณีต ม้าที่ทำหน้าที่ลากรถเป็นม้าเขาเดียวเลือดบริสุทธิ์ขนสีหิมะสี่ตัว ม้าเขาเดียวมีปีกคู่หนึ่งงอกบนหลัง พวกมันยืนอย่างนิ่งสงบมาก
“คุณหนู ได้ยินว่าไม่ว่าจะคนจากกลุ่มอิทธิพลใดก็โดนอี้อวิ๋นปฏิเสธ ช่างทะนงตนยิ่งนัก!”
“แต่คุณหนูไม่เหมือนคนอื่น ท่านเป็นเทพธิดาของเมืองสรรพสิ่ง ไม่รู้มีคุณชายมากเท่าไรที่อยากจับชายกระโปรงท่านแต่ก็ไม่มีโอกาส ครั้งนี้คุณหนูมาห้องหออวิ๋นซินด้วยตัวเอง อี้อวิ๋นคงดีใจจนน้ำตาไหลและออกมาพบคุณหนูอย่างเกรงกลัว เป็นโชคดีของเขาที่จะได้เป็นแขกประจำตระกูลกุยหยวน เพราะทั้งเมืองสรรพสิ่งแล้วก็มีแค่ตระกูลกุยหยวนของเราที่สู้หอเซียนสรรพสิ่งได้”
ในลดม้ามีหญิงสาวอยู่สองคน เด็กสาวที่แต่งตัวเหมือนสาวใช้กำลังพูดกับคุณหนูชุดกระโปรงม่วงที่อยู่ด้านข้าง
สาวน้อยชุดม่วงยิ้มบางๆ ผิวพรรณนางเกลี้ยงเกลา รูปร่างอรชร ใบหน้าประณีตงดงาม ดวงตาทั้งสองเหมือนมีน้ำพุ เมื่อชายตามองก็ทำให้ทุกอย่างรอบด้านไร้สีสัน รอยยิ้มบางๆ ของนางนี้ยิ่งเปล่งประกาย
“เก็บคำพูดสวยหรูพวกนี้ไว้เถอะ เจ้านี่นะ อยู่กับข้าแต่กลับไม่เรียนรู้อะไรเลย” สาวน้อยชุดม่วงจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากสาวใช้เบาๆ “แต่…ตระกูลกุยหยวนของเราก็เป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของอี้อวิ๋นจริงๆ เขาปฏิเสธตระกูลโจว จวนเสวียนหยาง ภูเขาเบญจธาตุและสำนักกระบี่โอสถหทัย คงจะรอตระกูลกุยหยวนของเราเพื่อได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด”
“วิธีเช่นนี้ก็นับว่าชาญฉลาด ครั้งนี้ข้าขอจากท่านผู้อาวุโสเพื่อมาพบเขาด้วยตัวเอง ถือว่าให้เกียรติเขาไม่น้อย ท่านอาวุโสอนุญาตให้ข้าเปลี่ยนแปลงสัญญาบางอย่างให้เงื่อนไขคลายลงเช่นกัน”
“คิกคิก คุณหนูเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ที่แท้อี้อวิ๋นก็กำลังรอข้อเสนอที่ดีที่สุดนี่เอง ข้าคิดว่าเขาหยิ่งทะนงจนไร้เหตุผลเสียอีก ดูซิว่าครั้งนี้เขาต้อนรับคุณหนูแล้วจะกล้าทะนงตนอีกหรือเปล่า” สาวใช้ยิ้มหน้าบาน นางเพิ่งพูดจบ ประตูห้องหออวิ๋นซินก็เปิดออก
สาวใช้เห็นต่งเสี่ยวหวั่นเดินเข้ามาอย่างสุภาพและโค้งคำนับให้รถม้าเบาๆ นางรู้จักต่งเสี่ยวหวั่น ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าติดอันดับอัจฉริยะหญิง แต่แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับคุณหนูของนางก็ห่างชั้นอีกไกล
สาวใช้เลิกม่านประตูรถม้าออกอย่างสง่างาม นางมองลงไปที่ต่งเสี่ยวหวั่นพร้อมกับพูดเรียบๆ ว่า “คุณชายพวกเจ้าว่าอย่างไร?”
ต่งเสี่ยวหวั่นพูดว่า “คุณชายยังคงปิดด่านฝึกตน ขออภัยที่ไม่อาจพบเทพธิดาจื่ออวี่”
“หืม?”
สาวน้อยชุดม่วงในรถม้าตกใจเบาๆ นางไม่พูดอะไร ทว่าสาวใช้ตรงหน้านางกลับโมโห นางขมวดคิ้วพูดว่า “อะไรนะ? ยังปิดด่านฝึกตนอยู่? อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก!”
“เจ้าใจกล้ามากจริงๆ คุณหนูของพวกข้ารออยู่ด้านหน้า เจ้ามีคุณสมบัติอะไร…”
“พอได้แล้ว” สาวน้อยชุดม่วงในรถม้าพูดตัดบทสาวใช้ของนาง นางเองก็ขมวดเบาๆ เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตระกูลกุยหยวนก็ถูกอี้อวิ๋นปฏิเสธ สาเหตุที่ใช้ปฏิเสธก็ไม่ต่างจากที่ใช้กับคนอื่นเลย
อี้อวิ๋นผู้นี้ไม่อยากสนใจกลุ่มอิทธิพลใดในเมืองสรรพสิ่งจริงๆ แต่เหตุใดเขาไม่คิดบ้างว่าด้วยภูมิหลังและรากฐานของเขาแล้วจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ ตอนแรกข้าคิดว่าเขากำลังรอข้อเสนอที่ดีที่สุดจึงคิดว่าพอมีฝีมือ คิดไม่ถึงว่าจะไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ คิดว่าตัวเองอยู่นอกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ได้เพียงลำพังและกลายเป็นคนแบบเจ้าเมืองฉินหรือ? ในเมื่อเขาไม่พบก็ช่างเถอะ พวกเรากลับจวน”
ในเมื่อสาวน้อยชุดม่วงพูดแบบนี้ สาวใช้จึงได้แต่ปล่อยม่านลงอย่างโกรธเคือง
ภาพที่รถม้าหยกขาวเคลื่อนตัวออกจากห้องหออวิ๋นซินถูกใครหลายคนเห็น พวกเขาย่อมรู้ว่าคนบนรถม้าคือใคร
“ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่เทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวนยังปฏิเสธ หากเป็นข้าก็คงตอบตกลงไปนานแล้ว”
“ฮ่าฮ่า เจ้าเลิกฝันกลางวันเถอะ แต่จะว่าไปแล้วสถานการณ์ตอนนี้ของอี้อวิ๋นก็ไม่ดีเลย เขาล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่ง ทั้งยังถูกกลุ่มอิทธิพลจำนวนมากเฝ้าดู หยกล้ำค่าชิ้นหนึ่งตกอยู่กลางถนน ใครจะไม่อยากเก็บบ้างเล่า? หากเอาแต่ต่อต้านไม่ย่อมให้เก็บก็คงต้องเกิดเรื่องแล้ว”
แรดถูกฆ่าเพราะเขา ช้างถูกฆ่าเพราะงา หากตัวเองมีค่าสูงเกินไปและไม่อาจป้องกันตัวเองก็อาจถูกจับไปหลอมโอสถโดยเฉพาะก็เป็นไปได้
เวลาผ่านไปอีกสองสามวัน กลุ่มอิทธิพลทั้งสิบของเมืองสรรพสิ่งมาที่ห้องหออวิ๋นซินเกินครึ่ง ทว่าทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธให้กลับไป
ขณะที่หรูเอ๋อร์กำลังมองถนนอย่างเหม่อลอยในวันนี้ ทันใดนั้นตรงหน้านางก็พร่ามัว ชายชราผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
“แม่นางน้อย นี่คือเทียบเชิญที่ท่านเจ้าเมืองให้นำมามอบแด่คุณชายอี้” ชายชรายิ้มบางๆ แล้วนำเทียบเชิญแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้หรูเอ๋อร์
หรูเอ๋อร์รีบรับทันทีเมื่อได้ยินว่าเป็นเทียบเชิญของเจ้าเมืองฉิน “ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ ข้าจะนำไปมอบให้คุณชายเดี๋ยวนี้”
“หืม? เทียบเชิญของท่านเจ้าเมืองฉินหรือ? คงจะเป็นงานบรรเลงฉิน…”
ตอนที่หลอมโอสถเสร็จสิ้นเมื่อตอนนั้น เจ้าเมืองฉินได้เชิญให้เขาเข้ารวมงานบรรเลงฉินที่จะจัดในจวนเมืองในอีกครึ่งเดือน นับแล้ววันนี้ก็ครบครึ่งเดือนพอดี
คิดไม่ถึงว่าท่านเจ้าเมืองฉินจะส่งคนมามอบเทียบเชิญ อี้อวิ๋นยิ้มบางๆ แล้วหันไปพูดกับหรูเอ๋อร์ “ตามข้าไปจวนเจ้าเมือง”
……………………………………