True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1138 ตรอกสมบัติสวรรค์
ผู้ดูแลหอสรรพสิ่งส่งรายละเอียดร้านค้ามาให้อย่างรวดเร็ว อี้อวิ๋นกวาดตาดูราคาแล้วก็อดที่จะตกใจเงียบๆ ไม่ได้
เมืองสรรพสิ่งนี้เจริญรุ่งเรืองเกินไปจริงๆ นับเป็นเมืองขั้นสุดยอดเมืองหนึ่งของโลกสวรรค์เทพหยางได้เลย จำนวนความมั่งคั่งที่ร้านในพื้นที่ใจกลางได้รับในแต่ละปีเป็นตัวเลขที่ยากจะจินตนาการ ไม่ใช่แค่กลุ่มอิทธิพลประจำแดนสวรรค์สรรพสิ่ง กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มจากพื้นที่ส่วนอื่นของโลกสวรรค์เทพหยางก็มาสร้างธุรกิจที่เมืองนี้เช่นกัน นี่ทำให้หน้าร้านของเมืองสรรพสิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ร้านค้าขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งในพื้นที่ใจกลางมีค่าเช่าปีละสองแสนอักขระ ต้องเช่าสิบปีเป็นขั้นต่ำ
ฟังดูแล้วแพงมาก แต่เมื่อลองคิดดู ขอเพียงทำการค้าขนาดใหญ่ได้สองสามครั้งภายในเวลาหนึ่งปี เช่นนั้นก็จะได้ทุนคืนพร้อมกำไร
สมบัติที่อี้อวิ๋นมีในตอนนี้ไม่อาจเช่าร้านในพื้นที่ใจกลาง และเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ท้ายที่สุดเขาก็เลือกร้านขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ค่าเช่าก็เป็นแค่หนึ่งในสิบ แต่ต้องเช่าสิบปีเป็นอย่างน้อยเช่นกัน อี้อวิ๋นจึงเสียอักขระไปสองหมื่นสองพัน
หรูเอ๋อร์ตกอยู่ในความงุนงงเล็กน้อยเมื่อออกจากหอสรรพสิ่ง หากไม่มาเมืองสรรพสิ่งก็คงไม่รู้ว่าตัวเองยากจนเพียงใด รายได้ร้อยปีที่สำนักหม้อชาดได้ยังไม่พอให้จ่ายค่าเช่ารายปีสำหรับร้านเล็กๆ ในเมืองสรรพสิ่ง
‘เราช่างยากจนจริงๆ’
อี้อวิ๋นรู้สึกถึงวิกฤตด้านการเงิน
เขาไม่มีความรู้สึกนี้มานานมากแล้ว คิดดูอย่างละเอียด แม้เขาจะมีสมบัติชั้นยอดอยู่มากมาย แต่ทรัพย์สมบัติที่เขาใช้ได้จริงๆ ก็มีไม่มากนักมาโดยตลอด
แม้การหาเงินโดยเปิดร้านหลอมโอสถจะหาเงินได้เช่นกัน แต่ความเร็วก็ช้าเกินไป
อี้อวิ๋นอยากฝึกยุทธ์ไปด้วย ขัดเกลาวิชาหลอมโอสถและวิชาปรมาจารย์อสูรของตัวเองไปด้วย
หากใช้วัตถุดิบหายากอันล้ำค่ามาควบคู่กับการฝึกยุทธ์ก็จะได้ผลสองเท่า แต่จะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องใช้เงินไม่น้อย
มีวิธีอะไรบ้างที่จะทำให้หาเงินได้อย่างรวดเร็วในเมืองสรรพสิ่ง?
อี้อวิ๋นลูบคางคิด ในตอนนี้เองที่จู่ๆ เขาก็รู้สึกอะไรบางอย่าง เมื่อหันไปมองอย่างประหลาดใจก็เห็นรถม้าที่ห่อหุ้มอยู่กลางแสงสีรุ้งคันหนึ่งแล่นผ่านไปด้วยความเร็ว
รถม้าคันนี้ถูกลากโดยปักษาขนรุ้งเก้าตัว ตัวรถลอยเหนือพื้นสามฉื่อ ทั้งเร็วทั้งมั่นคง รถม้าหายไปที่สุดขอบถนนภายในชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆ ที่ปะทะหน้าเข้ามา
รถม้าคันนี้…
อี้อวิ๋นตกใจเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากรถม้าที่แล่นผ่านไป แต่เมื่อนึกย้อนดูอย่างละเอียดก็กลับนึกไม่ออกว่าใคร
จิตเขาติดตามรถม้าไป เห็นว่ารถม้าบินเข้าสู่สิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่เหมือนภูเขาลูกย่อมๆ
‘ตรอกสมบัติสวรรค์?’
อี้อวิ๋นเห็นว่าบนแผ่นป้ายเหนือประตูเขียนไว้เช่นนี้
“หรูเอ๋อร์ เจ้ารู้จักตรอกสมบัติสวรรค์หรือไม่?”
อี้อวิ๋นถามอย่างไม่ใส่ใจ คิดไม่ถึงว่าเมื่อหรูเอ๋อร์ได้ยินแล้วจะหน้าแดงเล็กน้อย นางพยักหน้าแล้วถามอึกอัก “คุณชาย…จะไปตรอกสมบัติสวรรค์หรือเจ้าคะ?”
“มีปัญหาอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่…” หรูเอ๋อร์หน้าแดงพร้อมอธิบายเรื่องตรอกสมบัติสวรรค์
ฟังไปฟังมาแล้วอี้อวิ๋นก็หัวเราะ
ตรอกสมบัติสวรรค์คือธุรกิจของสำนักอภิรมย์
พูดถึงสำนักอภิรมย์แล้วก็เป็นสำนักมีชื่อเสียงของแดนสวรรค์สรรพสิ่ง วิชาของสำนักนี้พิเศษมาก ให้ความสำคัญกับการทำตามความต้องการของตัวเอง ปลดปล่อยความปรารถนาขณะฝึกฝน ใช้ความต้องการที่บรรลุมาข้ามผ่านระดับ
ด้วยเหตุนี้สำนักอภิรมย์จึงมีชื่อเสียงไม่ดีนัก ศิษย์ในสำนักหลายคนใช้สาวงามเป็นคู่หลับนอน เสพสมความอภิรมย์ต่างๆ จนแทบกลายเป็นสำนักนอกรีตแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตรอกสมบัติสวรรค์จึงกลายเป็นสถานที่เริมรมย์ที่เสื่อมทรามที่สุดของเมืองสรรพสิ่ง
ที่นี่สะสมทาสหญิงรูปงามจำนวนมหาศาล ขอเพียงแค่จ่ายราคาที่เหมาะสมก็ซื้อขายได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ยังมีของวิเศษล้ำค่าต่างๆ อาหารรสเลิศ การพนันใต้ดินที่ตัดสินเป็นตาย ทั้งหมดล้วนพบได้ที่นี่
เอาเป็นว่าแค่มีเงินก็เสพสุขทุกรูปแบบในตรอกสมบัติสวรรค์ได้
ขณะที่หรูเอ๋อร์อธิบายเรื่องตรอกสมบัติก็หน้าแดงอยู่ตลอด อี้อวิ๋นเข้าใจแล้ว เด็กหญิงคนนี้คงคิดเขาว่าจะไปหาทาสหญิงเสพสุขที่ตรอกสมบัติสวรรค์
อี้อวิ๋นหัวเราะแล้วไม่อธิบายอะไร เขาเพิ่งมาเมืองสรรพสิ่งเป็นครั้งแรก มีหลายที่ที่ไม่เคยไป ไปเปิดหูเปิดตาดูสักครั้งก็ไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็สงสัยว่ากลิ่นอายอันคุ้นเคยที่รู้สึกก่อนหน้านี้คือใครกันแน่
……
ตรอกสมบัติสวรรค์คือของวิเศษประเภทที่พำนักขนาดยักษ์ มันถูกวางไว้ที่นี่มาหลายล้านปีแล้ว
ที่พำนักมีพื้นที่ประมาณสิบลี้ ภายในผ่านการปรับปรุงจนโอ่อ่ารโหฐาน
เมื่ออี้อวิ๋นมาถึงหน้าประตูก็เห็นชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่สวมชุดเกราะแถวหนึ่งยืนอยู่หน้าทางเข้า คนที่ต้อนรับพวกเขาอยู่คือสาวน้อยรูปร่างอรชร ความป่าเถื่อนกับความอ่อนหวานแช่มช้อยกลายเป็นความแต่งต่างอย่างสิ้นเชิง
“ยินดีต้อนรับ!”
สายน้อยแถวหนึ่งโค้งคำนับพร้อมกัน แต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะได้รับการคำนับ มีเพียงคนที่มีตำแหน่งระดับหนึ่งที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“คุณชายลิ่งหูมาแล้ว รีบเชิญเข้ามาเลยเจ้าค่ะ”
สาวน้อยผู้มีรอยยิ้มดังดอกท้อนางหนึ่งเดินเข้ามารับชายชุดขาวผู้หนึ่ง ชายชุดขาวผู้นี้เดินลงจากรถม้าที่มีแสงส่องประกาย ดูก็รู้ว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา
เมืองสรรพสิ่งมีโอกาสทำการค้าอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งยังผ่านการสะสมมาเป็นสิบล้านปี ที่นี่จึงมีกุล่มอิทธิพลที่ร่ำรวยจำนวนมาก นำแดนสวรรค์กลางมาเทียบกับที่นี่แล้วก็ต่างกันเหมือนเมืองเล็กๆ กับเมืองหลวงของโลก
กระทั่งอี้อวิ๋นเดินเข้าสู่ประตูตรอกสมบัติสวรรค์ก็ยังไม่มีใครเข้ามาต้อนรับ เขาไม่เป็นที่รู้จัก อายุก็ดูไม่มาก เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครสนใจ
หรูเอ๋อร์ที่เดินตามอยู่ด้านหลังอี้อวิ๋นหน้าแดงเหมือนผิงกั่ว ตัวนางที่อยู่ในเมืองสรรพสิ่งก็เหมือนเด็กซื่อๆ จากครอบครัวยากจน จู่ๆ ต้องมาสถานที่น่ากลัวอันฟุ่มเฟือยเช่นนี้ แค่คิดเอาก็รู้ว่าประหม่าเพียงใด
‘ที่นี่ช่างงดงามหรูหราจริงๆ’
อี้อวิ๋นเดินเข้าสู่ห้องโถงหลังประตู ห้องโถงขนาดร้อยจั้งนี้มีโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากไม้หอมสวรรค์วางอยู่เต็ม บนยอดห้องโถงมีเปลวไฟสีรุ้งหนึ่งดวงลุกโชน มันคอยส่องสว่างให้ห้องโถงมีสีสันแพรวพราว
‘เพลิงขนรุ้ง?’
คิดไม่ถึงว่าไฟที่ส่องสว่างในตรอกสมบัติสวรรค์จะเป็นวิญญาณเพลิงกลายพันธุ์ที่มีค่าประเภทหนึ่ง แม้มูลค่าจะไม่อาจเทียบกับเชื้อเพลิงเทพมารของอี้อวิ๋นแต่ก็ค่อนข้างน่าทึ่ง
อีกอย่าง กลางห้องโถงยังมีปะการังสูงหนึ่งจั้งกระถางหนึ่งวางเอาไว้ มันดึงดูดสายตามาก
ปะการังนี้เป็นสีม่วง รูปร่างสมบูรณ์แบบ อี้อวิ๋นอ่านบันทึกของเทพโอสถจนจำได้ขึ้นใจ มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นปะการังโลหิตม่วงจากทะเลลึก อายุคงเกือบล้านปีแล้ว
ปะการังโลหิตม่วงประเภทนี้เป็นสมุนไพรหลอมโอสถที่หายาก แต่ตอนนี้กลับถูกใช้เป็นของตกแต่ง มันไม่เพียงแค่งดงาม แต่ยังทำให้พลังปราณในห้องโถงเข้มข้นมาก
‘สำนักอภิรมย์ร่ำรวยถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ใช้ปะการังโลหิตม่วงล้านปีเป็นของตกแต่ง เกรงว่าของชิ้นนี้คงขายได้เป็นล้านอักขระสรรพสิ่ง…’ อี้อวิ๋นรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย เขายากจนเพียงนี้ แต่สำนักอภิรมย์กลับฟุ่มเฟือยถึงระดับนี้
“ฮ่าฮ่า แม้แต่ปะการังโลหิตม่วงก็ยังถูกตรองสมบัติสวรรค์นำออกมา การปฏิบัติที่มีต่อเทพธิดาโยวฉินช่างต่างออกไปจริงๆ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราเองก็นับว่าโชคดีไปด้วย แม้จะไม่อาจใกล้ชิดสาวงาม ไม่อาจกิโอสถที่หลอมจากปะการังโลหิตม่วง แต่แค่ได้ดูดซึมปราณที่ปะการังโลหิตม่วงแผ่ออกมาก็สดชื่นไปทั้งตัวแล้ว”
อี้อวิ๋นได้ยินจอมยุทธ์สองคนคุยกันแล้วจึงเบาใจลง ตรอกสมบัติสวรรค์คงนำวัตถุวิญญาณระดับปะการังโลหิตม่วงออกมาแค่ในเวลาสำคัญเช่นกัน ยังไม่ถึงขั้นมีเงินมากจนมองเป็นของตกแต่ง
…………………………………………