True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1078
เดิมทีทุกคนเดาว่าอี้อวิ๋นมีอายุพันปีเป็นอย่างน้อย แค่นี้ก็นับว่าหนุ่มแล้ว ตอนนี้ยังมาอายุน้อยกว่าสี่ร้อยเก้าสิบปีลงไปอีก ถือว่าโตกว่าเหยียนเทียนชงไม่เท่าไร
ทว่าพลังของทั้งคู่กลับมีฝ่ายหนึ่งเป็นฟ้า ฝ่ายหนึ่งเป็นเหว ตอนนี้เหยียนเทียนชงอายุสามร้อยปี ไม่ต้องพูดเรื่องที่จะให้เวลาเขาอีกหนึ่งร้อยเก้าสิบปี ต่อให้มีเวลาอีกพันเก้าร้อยปีก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไปถึงระดับของอี้อวิ๋น!
ใจของเหยียนเทียนชงรู้สึกพ่ายแพ้อย่างรุนแรงเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นอัจฉิยะผู้เป็นเอกของสำนักกระบี่สระใส ตัวเขาไม่รู้สึกอะไรที่เทียบอีกฝ่ายไม่ได้ แต่กับอี้อวิ๋นที่เป็นจอมยุทธ์อิสระก็ห่างชั้นขนาดนี้เชียวหรือ?
ในหัวเหยียนเทียนชงเพิ่งมีความคิดนี้แล่นผ่าน ตอนนี้อี้อวิ๋นก็มาถึงหน้าม่านแสงชั้นที่สองเรียบร้อยแล้ว ม่านแสงพลังชั้นบางยังคงกีดขวางทางของอี้อวิ๋น ท่าทีอี้อวิ๋นไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทั่วร่างมีลำแสงกระบี่รายล้อมและเดินผ่านได้โดยตรง!
ม่านแสงชั้นที่สอง สี่ร้อยยี่สิบปี!
เหยียนเทียนชงสับสนมาก
ชั้นที่สองก็ผ่านหรือ? เขาอายุเท่าไรกันแน่?
ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ทำให้เหยียนเทียนชงแทบหยุดหายใจ…
ชั้นที่สาม สามร้อยห้าสิบปี
อี้อวิ๋นยังคงเดินผ่านเหมือนเดิม การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เร็ว ไม่แม้แต่จะชักกระบี่
ดูแล้วอี้อวิ๋นเชื่องช้ากว่าเจี้ยนเสี่ยวซวงมาก ทว่าเขากลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินเล่น นี่คือการผ่านด่านแท่นประตูมังกรจริงๆ หรือ?
จากนั้นก็ชั้นที่สี่…
ทุกคนมองอี้อวิ๋นอย่างตะลึงงันและริมฝีปากอ้าออก ประตูแต่ละชั้นจำกัดอายุเจ็ดสิบปี ทุกชั้นที่ผ่านจะลดอายุอี้อวิ๋นลงไปเจ็ดสิบปี
หรือที่อี้อวิ๋นบอกว่าฝึกยุทธ์มาไม่ถึงร้อยปีก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องจริง?
อายุไม่ถึงร้อยปีแต่สังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีได้อย่างง่ายดาย ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
ชั้นที่ห้า!
ชั้นที่หก!
ข้อจำกัดด้านอายุลดลงมาอยู่ที่หนึ่งร้อยสี่สิบปี!
อี้อวิ๋นเดินผ่านประตูอย่างไร้กังวล ร่างกายไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย ยังคงก้าวย่างอย่างมีพลัง นี่แทบจะพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งที่อี้อวิ๋นพูดเป็นความจริง
เขาเป็นเด็กรุ่นเยาว์จริงๆ!
อัจฉริยะผู้เป็นเอก!
สมองของเหล่าจอมยุทธ์ท้องที่ในเมืองแสงหยกต่างมีความคิดนี้แล่นผ่าน อายุแค่นี้ก็มีพลังระดับนี้ อยู่เหนือจินตนาการพวกเขาโดยสิ้นเชิง
เจี้ยนเสี่ยวซวงยังมาจากสำนักใหญ่ อี้อวิ๋นเป็นแค่จอมยุทธ์อิสระที่ท่องไปทั่ว เขาบอกเองว่าไม่มีสำนัก มีเพียงอาจารย์ นับเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ที่เดินมาถึงจุดนี้ได้
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจก็เห็นว่าอี้อวิ๋นไม่ได้หยุดฝีเท้าตัวเอง
หากจะผ่านประตูมังกรชั้นที่เจ็ดก็ต้องอายุน้อยกว่าเจ็ดสิบปี ประตูชั้นที่เจ็ดคือชั้นที่ยากที่สุด ก่อนหน้านี้อี้อวิ๋นบอกว่าตัวเองอายุไม่ถึงร้อยปี โดยปกติแล้วก็มีแต่อายุเก้าสิบกว่าปีจึงจะใช้คำว่าไม่ถึงร้อยปีมาบรรยายตัวเอง
เช่นนี้อี้อวิ๋นจึงย่อมไม่ผ่านประตูชั้นที่เจ็ด
เพราะก่อนหน้านี้เจี้ยนเสี่ยวซวงไม่ฟังกฎของแท่นประตูมังกรให้จบก็พุ่งเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุด ตอนนี้นางคงต้องเดินออกมาที่แท่นของประตูชั้นที่หกเพื่อสู้กับอี้อวิ๋น
เดิมทีทุกคนเตรียมที่จะแจ้งให้เจี้ยนเสี่ยวซวงออกมา ทว่าตอนนี้อี้อวิ๋นกลับมาถึงตรงหน้าม่านแสงชั้นที่เจ็ดแล้ว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดในวินาทีถัดมาทำให้ทุกคนรู้สึกประหนึ่งเวลาเดินช้าลง
อี้อวิ๋นเดินผ่านม่านแสงไปอย่างเงียบเชียบ…
ขาข้างหนึ่งก้าวนำ อีกก้าวเดินตามเหมือนผ่านผิวน้ำ เขาเหยียบลงบนแท่นประลองของประตูชั้นเจ็ดเบาๆ
เป็นไปได้อย่างไร?
ทุกคนในที่นี้โดยเฉพาะเหล่าจอมยุทธ์ท้องที่ของเมืองแสงหยกเหมือนกลายเป็นหิน พวกเขาจ้องอี้อวิ๋นอย่างตะลึง
ประตูชั้นที่เจ็ดต้องอายุต่ำกว่าเจ็ดสิบปี!
อี้อวิ๋นอายุไม่ถึงเจ็ดสิบปีหรือ?
ล้อกันเล่นหรือเปล่า เขาพูดเองว่าฝึกยุทธ์มาไม่ถึงร้อยปี เขาพูดเช่นนี้เพื่อถ่อมตัวหรือนี่!?
อายุไม่ถึงเจ็ดสิบปี เมื่อตัดช่วงเวลาแรกเกิดสองสามปีแรกที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ออกไปก็เป็นไปได้ว่าเพิ่งฝึกยุทธ์มาแค่หกสิบปี!
เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่แค่อายุต่างกับเจี้ยนเสี่ยวซวงไม่มาก แต่อายุเท่ากัน!
ฝึกยุทธ์แค่หกสิบปีก็สังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีได้ ต้องขนาดไหนกัน?
เหยียนเทียนชงแทบทรุดตัวลงกับพื้น เขาหาเรื่องกับดาวเคราะห์ร้ายเช่นนี้หรือเนี่ย!
ต้องบอกก่อนว่าแค่พลังของอี้อวิ๋นในตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ร้านขยายฟ้าจะรับมือได้ ต่อให้อี้อวิ๋นจะอ่อนแอกว่านี้เล็กน้อยก็ไม่กล้าลงมือด้วยง่ายๆ เพราะหากสังหารอัจฉริยะเช่นนี้ไม่สำเร็จ ความเร็วในการเติบโตอันน่ากลัวของอีกฝ่ายก็ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง
ไม่ต้องถึงร้อยปีสิบปี เพียงสามถึงห้าปีก็อาจพัฒนาขึ้นถึงสองสามขั้นเล็กๆ พลังแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า เป็นไปได้มากกว่าจะสังหารร้านขยายฟ้าของพวกเขาจนไม่รอดแม้แต่คนเดียว!
ถึงเวลานั้นร้านประมูลเจ็ดดาราก็ได้แต่ตัวใครตัวมัน แม้เบื้องหลังร้านประมูลเจ็ดดาราแห่งเมืองแสงหยกจะพอมีกลุ่มอิทธิพลอยู่บ้าง แต่กลุ่มอิทธิพลใหญ่นี้จะสนใจที่อย่างเมืองแสงหยกได้อย่างไร?
เหยียนเทียนชงใจหายวาบเมื่อคิดถึงตอนที่จีสุ่ยเยียนจับตัวคนของร้านขยายฟ้าไว้และร้านขยายฟ้าเกือบบุกเข้าไปสังหาร โชคดีที่ตอนนั้นพวกเขายอมโอนอ่อน ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจนึกถึงผลลัพธ์จริงๆ
จอมยุทธ์ในเมืองแสงหยกต่างรู้สึกกลัวเพราะความแข็งแกร่งของอี้อวิ๋น ทว่าจอมยุทธ์ที่มาจากเมืองอื่นกลับต่างออกไป พวกเขาไม่รู้ชื่อเสียงที่อี้อวิ๋นมีในเมืองแสงหยก ไม่รู้ว่าอี้อวิ๋นทำอะไรมา ความจริงต่อให้พวกเขารู้ก็คงไม่ใส่ใจอะไรนัก อย่างไรเมืองแสงหยกก็เป็นแค่เมืองเล็กๆ ในสายตาพวกเขา ต่อให้เป็นผู้อาวุโสจากร้านค้าใหญ่ก็อ่อนแอ
หลังจากที่ถึงระดับรวมวิถี เพราะคุณภาพของผลวิถีหนึ่งถึงเก้าใบแตกต่างกันมาก ดังนั้นพลังของจอมยุทธ์ระดับเดียวกันจึงต่างราวฟ้ากับเหว
เป็นไปได้ที่จอมยุทธ์ระดับวังวิถีช่วงปลายจากสำนักใหญ่จะสังหารจอมยุทธ์ระดับวังวิถีที่รากฐานอ่อนแอ
‘เสี่ยวซวง เดิมทีอาจารย์แค่คิดจะใช้การประมือของพวกเจ้ามายืนยันเรื่องบางอย่าง คิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นจะเป็นอัจฉริยะเช่นนี้ แบบนี้ก็ดีเลย เจ้ากับเขามีฝีมือพอๆ กันและสู้สุดกำลังได้ เรื่องนี้มีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของเจ้าเช่นกัน’
ขณะที่เจี้ยนเสี่ยวซวงกำลังยืนอยู่บนแท่นประตูมังกรก็มีเสียงปราณของเจี้ยนอู๋เฟิงดังขึ้น
‘ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าข้ากับเขามีฝีมือพอๆ กันหรือเจ้าคะ?’ เจี้ยนเสี่ยวซวงมองอี้อวิ๋นแล้วพ่นลมเย็นๆ เหมือนไม่ยอมรับ
ตลอดเวลาที่นางฝึกยุทธ์มาก็สู้ชนะอย่างง่ายดายมาโดยตลอด นอกจากพวกคนที่เป็นรุ่นพี่แล้วก็ไม่ใช่แค่ไม่มีใครในเด็กรุ่นเยาว์คุกคามนางได้ นางมักประลองแบบข้ามขั้นด้วยซ้ำ
พวกศิษย์พี่ในสำนักกระบี่สระใสเกรงกลัวเจี้ยนเสี่ยวซวงกันหมด
อายุมากกว่าเจี้ยนเสี่ยวซวง ระดับยุทธ์ก็สูงกว่าหนึ่งถึงสองขั้น ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชาย จะรู้สึกยังไงที่แพ้ให้สาวน้อย?
ตอนนี้ไม่มีศิษย์วัยเดียวกันคนใดกล้าประมือกับเจี้ยนเสี่ยวซวง แต่ละคนวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเมื่อเจอนาง นี่จึงทำให้ไม่มีใครในสำนักกระบี่สระใสกล้าหาเรื่องเจี้ยนเสี่ยวซวง เป็นสาเหตุที่นางมีนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชาเช่นกัน
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจี้ยนเสี่ยวซวงกลับได้ยินอาจารย์พูดว่านางจะได้เจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ทั้งในคำพูดยังมีความหมายให้นางเรียนรู้จากอีกฝ่ายเพื่อก้าวหน้าด้วยกัน จะไม่ให้เกิดจิตกระหายการต่อสู้ได้อย่างไร?
นางจะพิสูจน์ว่านางต่างหากที่แข็งแกร่งที่สุด
เจี้ยนเสี่ยวซวงสะบัดกระบี่ในมือ ปลายกระบี่ชี้ไปที่อี้อวิ๋นและพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ลงมือเถอะ”