True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1064
“เข้าเมือง กลับจวนพวกเรา!”
จีสุ่ยเยียนไม่อยากพูดไร้สาระกับกุนซือหยางอีก นางผ่านแถวต้อนรับกลับสู่จวนความลับเทพทันที
จีสุ่ยเยียนตัดสินใจแล้วว่าการกลับมาครั้งนี้จะจัดระเบียบร้านความลับเทพใหม่ ให้คนที่ไม่ภักดีต่อร้านออกไปให้หมด จากนั้นก็ใช้สมบัติที่ทางร้านสะสมมาดึงตัวยอดฝีมือใหม่ๆ
หากเป็นเมื่อก่อนนางก็คงไม่กล้าทำเช่นนี้ เพราะหากไม่มียอดฝีมือที่แท้จริงแบบอี้อวิ๋นนั่งบัญชาการ การดึงตัวจอมยุทธ์ระดับวังวิถีมาเป็นพวกก็เท่ากับเชิญหมาป่าเข้าบ้าน ถึงเวลาก็คงถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
แม้อี้อวิ๋นจะตอบตกลงว่าจะช่วยเหลือนาง แต่จีสุ่ยเยียนก็อยากพยายามไม่รบกวนอี้อวิ๋นให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะทำให้อี้อวิ๋นเสียเวลาฝึกยุทธ์และอาจไม่พอใจ รับสมัครยอดฝีมือใหม่ๆ เองก็จะช่วยคุมสถานการณ์
ขณะที่ขบวนรถของจีสุ่ยเยียนเพิ่งแล่นผ่านกุนซือหยาง จีสุ่ยเยียนก็ได้ยินกุนซือหยางพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ดูท่าฐานะของข้าคงไม่เพียงพอให้คุณหนูสุ่ยเยียนให้เกียรติ แต่ไม่เป็นไร คณะเดินทางของคุณหนูเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จะกลับไปพักผ่อนที่จวนก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องกลับไปรายงานคุณชายเหยียนให้ย้ายงานเลี้ยงไปจัดที่จวนความลับเทพ คุณหนูสุ่ยเยียนคงไม่ปฏิเสธอีกใช่ไหม?”
“อะไรนะ!?”
สีหน้าจีสุ่ยเยียนเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำของหยางเหยียนกวง จัดงานเลี้ยงที่จวนนาง!?
มีแต่เจ้าภาพที่เชิญแขก มีหลักการที่จัดงานที่บ้านแขกที่ไหนกัน? นอกจาก…
จีสุ่ยเยียนความรู้สึกไว นางตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่แย่มากอย่างหนึ่ง
“รีบกลับจวน!”
ขบวนรถเร่งความเร็วขึ้นเมื่อนางพูดเช่นนี้ แม้ถนนของเมืองแสงหยกจะคึกคักแต่ก็มีทางสำหรับขบวนพ่อค้าโดยเฉพาะ พวกจีสุ่ยเยียนมาถึงจวนความลับเทพอย่างรวดเร็ว และในระหว่างทางที่มา ขบวนต้อนรับของกุนซือหยางก็ตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่เร็วไม่ช้ามาด้วย
เมื่อจีสุ่ยเยียนมาถึงจวนความลับเทพ ขบวนของกุนซือหยางจึงมาถึงเช่นกัน
จีสุ่ยเยียนไม่สนใจกุนซือหยาง นางมองเข้าไปในจวนความลับเทพด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างสมบูรณ์
ที่จวนความลับเทพก็มีคนออกมาต้อนรับเช่นกัน ทว่าคนสนิทที่นางให้ดูแลร้านความลับเทพบางส่วนกลับไม่อยู่ในคณะต้อนรับ หัวหน้าพ่อบ้านที่ดูแลจวนและสาวใช้ประจำตัวนางล้วนไม่อยู่
ตามหลักแล้วเมื่อพวกเขารู้ข่าวก็ควรออกมารอรับนางที่หน้าประตู
ขณะเดียวกันคนที่ออกมารับนางกลับเป็นแขกต่างแดนระดับวังวิถีของร้านความลับเทพสองคน
คนที่อยู่ด้านหน้าเป็นชายชราที่ไว้เคราแพะ ในมือถือบ้องยาสูบ เขาชื่อกงหยางเหนี่ยน
ส่วนนักปราชญ์วัยกลางคนท่าทางเหมือนปัญญาชนที่อยู่ด้านหลังชื่อเซี่ยวเค่อหลิน
พวกเขาเห็นว่าจีสุ่ยเยียนกลับมาแต่กลับไม่มีท่าทีเคารพแม้แต่น้อย พวกเขาไม่แม้แต่จะพูดกับจีสุ่ยเยียนก่อนด้วยซ้ำ แต่ประสานมือพูดกับกุนซือหยางที่อยู่ด้านหลังนางแทน “กุนซือหยางมาแล้วหรือ เชิญเข้ามาๆ”
“ฮ่าฮ่า ท่านกงหยางลำบากแล้ว ข้าเองก็จนปัญญา คุณหนูของพวกเจ้าไม่ยอมให้เกียรติ ต้องจัดงานเลี้ยงที่จวนความลับเทพจึงจะยอม ข้าเองจึงได้แต่ตามมา”
กุนซือหยางลูบหนวดพร้อมพูดอย่างไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! กุนซือหยางเอาเรื่องอะไรมาพูดกัน แต่เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ทั้งสองจวนอยู่ห่างกันไม่ไกล ไม่ช้าเร็วก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จัดงานเลี้ยงที่ไหนก็เหมือนๆ กันหมด”
กงหยางเหนี่ยนพูดถึงนี้แล้วก็โบกมือพูดกับบ่าวรับใช้อย่างเกียจคร้าน “ทำไมยังไม่ไปเชิญคุณหนูลงเรือทรายอีก?”
“ขอรับ!”
ชายฉกรรจ์สองสามคนขานรับและเดินไปทางเรือทราย
ตอนนี้องครักษ์ที่รับผิดชอบคุ้มกันจีสุ่ยเยียนต่างงุนงง ต่อให้ตอนนี้สมองพวกเขาจะเชื่องช้าเพียงใดก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
กงหยางเหยี่ยนกับเซี่ยวเค่อหลินที่เป็นแขกต่างแดนระดับวังวิถีเพียงสองคนของร้านความลับเทพย้ายไปอยู่ฝ่ายร้านขยายฟ้าแล้ว!
ในช่วงเวลาที่จีสุ่ยเยียนไม่อยู่ พวกเขาสองคนได้ยึดอำนาจและเกรงว่าจะเป็นผู้ควบคุมร้านความลับเทพไปแล้ว ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ระดับวังวิถี บริหารจัดการในร้านความลับเทพมานานจนมีเส้นสายระดับหนึ่ง หากพวกเขาร่วมมือกันและได้แรงสนับสนุนจากร้านขยายฟ้า เช่นนั้นใครจะต่อต้านได้?
มาพูดว่าสองตระกูลรวมเป็นหนึ่ง หากไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็คงคิดว่ากงหยางเหนี่ยนเป็นผู้นำที่แท้จริงของร้านความลับเทพ ส่วนจีสุ่ยเยียนก็เป็นหลานสาวที่เขาแต่งออกไปได้ตามใจชอบ
“กงหยางเหนี่ยน!” แม้ก่อนหน้านี้จีสุ่ยเยียนจะบอกกับตัวเองว่าต้องอดทน แต่ตอนนี้นางกลับทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!
จะทำเกินไปแล้ว!
“ตอนนั้นท่านปู่ข้าดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ตอนที่เจ้าบาดเจ็บหนักจากแดนลับเมื่อพันปีก่อนก็เป็นท่านปู่ข้าที่ใช้โอสถล้ำค่ามารักษาชีวิตและวิชายุทธ์ของเจ้า!”
“ข้าจีสุ่ยเยียนพิจารณาตัวเองแล้วก็ไม่เคยปฏิบัติกับเจ้าไม่ได้ มองเจ้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งมาโดยตลอด เดือนก่อนเจ้าอยากได้โอสถโสมเพื่อเข้าสู่ระดับวังวิถีชั้นสามข้าก็ให้! ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับวังวิถีชั้นสามสำเร็จแล้วแต่กลับตอบแทนข้าเช่นนี้?”
โอสถโสมคือโอสถที่จอมยุทธ์ระดับวังวิถีใช้ แม้แต่ร้านความลับเทพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำออกมาใช้ แต่จีสุ่ยเยียนก็ได้แต่มอบให้กงหยางเหนี่ยน เพราะหลังจากที่ท่านปู่กับผู้อาวุโสส่วนหนึ่งจากไป แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจไม่ซื่อก็ไร้ทางเลือก ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายอาจทรยศตั้งแต่เดี๋ยวนั้น
นี่เองก็เป็นเรื่องเศร้าที่เกิดจากความอ่อนแอ รู้ว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสบีบบังคับนางแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
กงหยางเหนี่ยนไม่สนใจความโมโหของจีสุ่ยเยียน เขาไฟสูบบ้องหนึ่งคำก็พ่นควันออกมาเป็นวงอย่างสบายๆ “แม่นางสุ่ยเยียน เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ? ตอนนั้นท่านปู่เจ้ามอบโอสถให้ข้าเล็กน้อยก็จริง แต่ข้าทำงานรับใช้ร้านความลับเทพมาตั้งหลายปีจนทดแทนบุญคุณหมดไปนานแล้ว อีกอย่าง ตอนที่ข้าเข้าแดนลับก็ไม่ใช่แค่บาดเจ็บ ผลวิถีผลหนึ่งของข้าแตกทลาย ข้าโอสถเชื่อมชีวิตใหม่จากปู่เจ้าแต่เขากลับไม่รับปาก เรื่องนี้ทำให้ข้าสูญเสียผลวิถีและส่งผลต่ออนาคต เจ้าคิดว่าปู่เจ้ามีบุญคุณต่อข้ามากหรือ?”
“ส่วนโอสถโสมที่เจ้าให้จะนับเป็นอะไรได้กัน? จะให้ข้าทุ่มเทชีวิตและสู้กับร้านขยายฟ้าเพื่อโอสถเม็ดเดียวหรือ?”
กงหยายเหยี่ยนส่งเสียงเหยียดหยาม แม้จีสุ่ยเยียนฟังแล้วจะโมโหแต่ก็เศร้าใจมากกว่า
การช่วยเหลือคนครั้งนี้ถือเป็นบุญคุณ แต่หากไม่ช่วยต่ออีกครั้งจะถือเป็นความแค้น กงหยางเหยี่ยนไม่เพียงไม่นึกเรื่องที่ท่านปู่ช่วยชีวิต เอาแต่แค้นว่าท่านปู่ไม่ให้โอสถเชื่อมชีวิตใหม่! โอสถเชื่อมชีวิตใหม่คือโอสถเทพที่แทบจะเป็นตำนาน มันมีราคาแต่ไม่มีที่ไหนขาย มันล้ำค่ามากจนต้องขายร้านความลับเทพถึงเจ็ดแปดส่วนเป็นอย่างน้อยจึงจะซื้อไหว ต่อให้ท่านปู่จะต้องการโอสถระดับนี้ก็ใช้ไม่ลง!
จีสุ่ยเยียนถอนหายใจและมองไปยังนักปราชญ์วัยกลางคนที่อยู่หลังกงหยางเหยี่ยย “ผู้อาวุโสเซี่ยว เจ้าเองก็คิดเช่นนี้หรือ?”
นักปราชญ์วัยกลางคนถือพัดไว้ในมือพร้อมโบกเบาๆ เขาพูดยิ้มๆ ว่า “คุณหนูสุ่ยเยียน เหตุใดเจ้าจึงถามคำถามไร้เดียงสาเช่นนี้ในเวลานี้อยู่อีก? คนฉลาดคือคนที่รู้สถานการณ์ ท่านปู่กับผู้อาวุโสพวกนั้นไม่อยู่แล้ว เหตุใดพวกข้าจึงต้องอยู่ร้านความลับเทพต่อด้วย? อีกอย่างการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็มีประโยชน์ต่อเจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะรักษาสมบัติของตระกูลได้อย่างไร?”
……………………………………………………………………………………………………….