True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1164 ซืออวี้เซิง
ข่าวเรื่องที่จวนเจ้าเมืองจะจัดงานบรรเลงฉินเป็นที่รับรู้ของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเมืองสรรพสิ่งอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนรู้ว่าเทพธิดาโยวฉินกับเทพธิดาอู๋เสียจะปรากฏตัวในงาน
ตอนที่อยู่ตรอกสมบัติสวรรค์ของสำนักอภิรมย์เมื่อตอนนั้น การบรรเลงกู่ฉินของเทพธิดาทั้งสองกลายเป็นการประลองอันเลิศล้ำ ผู้คนที่โชคดีได้เห็นต่างพูดคุยเรื่องนี้ไม่หยุด ส่วนคนที่ไม่ได้ดูก็รู้สึกเสียดาย
วันนี้จะได้เห็นการประลองของยอดอัจฉริยะหญิงทั้งสองในงานบรรเลงฉินอีกครั้ง
กลุ่มอิทธิพลที่ได้รับเทียบเชิญต่างมาเด็กรุ่นเยาว์มาด้วยจำนวนมาก ความจริงนี่ก็ไม่ใช่แค่งานบรรเลงฉินของเทพธิดาอู๋เสียกับเทพธิดาโยวฉิน แต่เป็นงานชุมนุมของอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ด้วยเช่นกัน
ในฐานะที่อี้อวิ๋นเป็นอัจฉริยะปรมาจารย์โอสถที่กำลังมีชื่อเสียงในช่วงนี้ ทั้งยังเป็นสหายของเทพธิดาอู๋เสีย เรื่องที่เขาจะถูกเจ้าเมืองฉินเชิญมาด้วยจึงอยู่ในความคาดการณ์ของใครหลายคน
เหนือทะเลสาบคันฉ่องในจวนเจ้าเมือง เรือประดับขนาดยักษ์หลายสิบลำลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำ บนเรือประดับลำที่ใหญ่ที่สุดมีแท่นยกสูง เจ้าเมืองฉินนั่งอยู่บนแท่นนี้
เรือลำหนึ่งมีนักดนตรีฉินสิบกว่าคนคอยบรรเลงเพลง เหนือทะเลสาบมีนักเริงระบำร้อยกว่าคนร่ายรำ
สายลมพัดเบาๆ ผิวน้ำสั่นกระเพื่อม ภาพนี้เป็นดั่งภาพบนสวรรค์
หรูเอ๋อร์เพิ่งเคยมางานเลี้ยงแบบนี้เป็นครั้งแรก นางเดินตามหลังอี้อวิ๋น ดวงตามองไปรอบด้านอย่างสงสัย
ต่งเสี่ยวหวั่นตามอยู่ด้านหลังอี้อวิ๋นเช่นกัน เดิมทีนางก็เป็นคนสง่างาม เมื่อปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย
แต่หลังจากที่ทุกคนมองนางแล้วก็เคลื่อนสายตาไปยังอี้อวิ๋นที่อยู่ข้างหน้า
“เขาก็คืออี้อวิ๋น”
“ปรมาจารย์อี้ผู้นี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยจริงๆ แต่เพราะเขายังอายุน้อยจึงได้หยิ่งทะนง”
“คิดไม่ถึงว่าเขากล้ามาร่วมงานบรรเลงฉินในวันนี้ด้วย ได้ยินว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลของเมืองสรรพสิ่งไปจำนวนไม่น้อย งานบรรเลงฉินในวันนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา”
หรูเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายใจมากเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์
“คุณชาย…”
“ไม่เป็นไร” อี้อวิ๋นกวาดตามองคนเหล่านั้นแวบหนึ่ง เขาย่อมรู้ว่าด้วยฐานะของเขาแล้ว หากไม่เข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลใดในเมืองสรรพสิ่งก็มีแต่จะถูกกลุ่มอิทธิพลเหล่านั้นร่วมมือกันกดดัน อย่างเช่นงานบรรเลงฉินในวันนี้ที่มีคนเป็นมิตรกับเขาไม่มากนัก
และตอนนี้เองที่อี้อวิ๋นได้พบกับคนคุ้นเคย
“คุณชายอี้ เราพบหน้ากันอีกแล้ว” ผู้พูดคือโจวป๋ายเฟิง ข้างกายเขาคือจางจื้อหย่วน
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนถูกอี้อวิ๋นหักหน้า ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้ง โจวป๋ายเฟิงยังนับว่าท่าทีดี แต่แววตาของจางจื้อหย่วนกลับไม่ปิดบังความเย็นชาแม้แต่น้อย ภายในถึงขั้นมีจิตสังหารแฝงอยู่
จางจื้อหย่วนลูบมือไปที่ด้ามกระบี่เงียบๆ เขาย่อมไม่อาจชักกระบี่ในจวนเจ้าเมือง ทว่านี่เป็นการแสดงพลังอย่างหนึ่ง “อี้อวิ๋น ข้าอยากสั่งสอนเจ้ามากจริงๆ สอนให้เจ้ารู้ว่าแม้ปรมาจารย์โอสถจะมีสถานะสูงศักดิ์ในเมืองสรรพสิ่ง แต่กลุ่มอิทธิพลที่ปกครองเมืองสรรพสิ่งที่แท้จริงนั้นใช้ความแข็งแกร่ง”
จางจื้อหย่วนพูดเรียบๆ เขามีตระกูลโจวหนุนหลัง ไม่กลัวที่จะมีเรื่องกับอี้อวิ๋น
โจวป๋ายเฟิงทำแค่ยิ้มให้กับคำพูดยุแหย่ของจางจื้อหย่วนแต่ไม่ห้ามปรามอะไร ในตอนนี้เองที่เสียงสตรีอันไพเราะส่งเข้ามา…
“เจ้าคงเป็นคุณชายอี้สินะ วันนี้จื่ออวี่เพิ่งเคยพบคุณชายอี้เป็นครั้งแรก คราวก่อนที่ไปห้องหออวิ๋นซินก็พบว่าคุณชายกำลังปิดด่านฝึกตนพอดี”
สาวน้อยชุดม่วงคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ นางคือเทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวน
เมื่อเทพธิดาจื่ออวี่ปรากฏ แม้แต่ต่งเสี่ยวหวั่นก็ดูด้อยลงไปทันที ความจริงสาวน้อยก็งดงามจนยากจะเปรียบเทียบว่าใครเหนือกว่า ด้วยเหตุนี้จึงวัดกันที่คุณสมบัติเฉพาะตัว คุณสมบัติเฉพาะตัวของเทพธิดาจื่ออวี่เป็นดังสายฝนสีม่วงที่พัดเข้าหน้าตามลมเหมือนหมอกเหมือนควัน
“ต้องขอโทษเทพธิดาจื่ออวี่ด้วยจริงๆ ก่อนหน้าข้าปิดด่านฝึกตนนานเกินไป เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านเทพธิดาในวันนี้”
อี้อวิ๋นประสานมือพูดด้วยรอยยิ้ม แม้อี้อวิ๋นจะไม่สนใจคำเชิญชวนของตระกูลกุยหยวน แต่หากอีกฝ่ายสุภาพกับเขา เช่นนั้นภายนอกแล้วอี้อวิ๋นก็จะไม่เป็นฝ่ายพูดไร้มารยาทกับใคร
“เทพธิดาจื่ออวี่ ข้าต้องขอตัวก่อน ข้าต้องไปทำความเคารพแด่ท่านเจ้าเมืองฉิน”
ขณะที่อี้อวิ๋นพูดก็เดินผ่านห้องโถงแล้วบินไปยังเรือประดับที่อยู่ตรงกลางที่สุด
“ท่านเจ้าเมืองฉิน” อี้อวิ๋นโค้งตัวคำนับให้เจ้าเมืองฉิน
จากนั้นก็มองไปยังองค์หญิงจิ้งจอกขาวที่อยู่ด้านข้าง “เทพธิดาอู๋เสีย”
องค์หญิงจิ้งจอกขาวกอดกู่ฉินไว้ในอก นางยิ้มให้อี้อวิ๋นบางๆ พร้อมกับพยักหน้า
“ฮ่าฮ่า อี้อวิ๋น เจ้ามาสายถึงเพียงนี้ มาๆๆ ข้าขอลงโทษด้วยการดื่ม” เจ้าเมืองฉินหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
ตอนนี้ทุกคนต่างพุ่งความสนใจมาที่อี้อวิ๋น พวกเขาคิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นมาสถานที่แบบนี้แล้วยังกล้าทำตัวเช่นนี้อีก
“เจ้าเด็กนี่ไม่เกรงกลัวอะไรเพราะอาศัยว่าตัวเองอยู่ในจวนเจ้าเมือง” จางจื้อหย่วนมองอี้อวิ๋นบินไปยังเรือประดับแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เขาต้องติดตามคุณชายป๋ายเฟิงจึงจะเข้างานเลี้ยงได้แต่ก็ไม่มีสิทธิไปทักทายเจ้าเมืองฉิน ส่วนเงาร่างอันงดงามที่อยู่ข้างกายเจ้าเมืองฉินก็เข้าใกล้แม้แต่น้อยไม่ได้เช่นกัน
อี้อวิ๋นประสานมือหัวเราะแล้วดื่มสุรา ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไร จู่ๆ เจ้าเมืองฉินก็ขมวดคิ้วเบาๆ
“หืม? คนของหอเซียนสรรพสิ่ง พวกเขาก็มาด้วยเช่นกัน…”
ขณะที่เจ้าเมืองฉินกำลังพูด กลางประตูหลักก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
คนที่เดินนำหน้าคือจั่วชิวปั๋ว
ข้างกายจั่วชิวปั๋วมีชายหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ชายคนนี้สวมเสื้อผ้าสีขาว ผมสีดำปล่อยตรงอย่างอิสระ ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวหนึ่งเล่ม
คนกลุ่มนี้บินตัวขึ้นเรือประดับลำหนึ่งอย่างสบายๆ แล้วนั่งลง ชายหนุ่มผมยาวผู้นี้ยกจอกสุราขึ้นจากโต๊ะและทักทายเจ้าเมืองฉินจากไกลๆ “ท่านเจ้าเมืองฉิน ข้าน้อยซืออวี้เซิง ขอคารวะท่านหนึ่งจอก”
ซืออวี้เซิง?
อี้อวิ๋นไม่รู้จักคนผู้นี้ ต่งเสี่ยวหวั่นพูดอยู่ข้างอี้อวิ๋นว่า “คุณชาย ซืออวี้เซิงคือผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขรุ่นต่อไปของหอเซียนสรรพสิ่ง ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในหอเซียนสรรพสิ่งคือตระกูลซือ ตระกูลจั่วชิวเป็นแขกประจำบ้านของตระกูลซือตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ต่อมาตระกูลซือได้มีบุคคลผู้เป็นเอกถือกำเนิดจึงค่อยๆ ร่ำรวยและก่อตั้งหอเซียนสรรพสิ่ง ประมุขทุกรุ่นล้วนเป็นทายาทสายตรงของตระกูลซือ ส่วนตระกูลจั่วชิวก็ค่อยๆ กลายเป็นตระกูลใหญ่อันดับสองของหอเซียนสรรพสิ่ง ถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจ แต่ความจริงแล้วตระกูลจั่วชิวเฟื่องฟูได้ก็เพราะพึ่งพาตระกูลซือ”
อี้อวิ๋นพยักหน้า ดูจากแค่ท่าทีที่จั่วชิวปั๋วมีต่อชายชุดขาวผู้นี้ก็ต่างจากที่มีต่อจั่วชิวเฮ่าอวี้ จั่วชิวเฮ่าอวี้เป็นแค่คุณชายคนหนึ่งของหอเซียนสรรพสิ่ง แต่ชายชุดขาวผู้นี้กลับเป็นถึงผู้สืบทอดตำแหน่งประมุข
‘คนที่อยู่ข้างเจ้าเมืองฉินก็คืออี้อวิ๋นที่ตัดแขนจั่วชิวเฮ่าอวี้ วิชาหลอมโอสถของเขาเลิศล้ำมาก’ จั่วชิวปั๋วส่งเสียงพูดข้างหูซืออวี้เซิง
‘เป็นเขานี่เอง เฮ่าอวี้เติบโตด้วยกันกับข้ามาตั้งแต่เล็ก เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ เรื่องของเฮ่าอวี้ก็คือเรื่องของข้า อี้อวิ๋นเป็นปฏิปักษ์กับหอเซียนสรรพสิ่งของเราเพราะอาศัยการสนับสนุนจากฉินเจิ้งหยาง หากปล่อยเรื่องนี้ให้จบไป เช่นนั้นใครๆ ก็คงรังแกหอเซียนสรรพสิ่งได้ คนอื่นจะคิดว่าพวกเรากลัวฉินเจิ้งหยาง’
‘เจ้าดูคนพวกนั้น พวกเขารอที่จะเป็นปฏิกิริยาของเรากันหมด ข้ารู้ว่านอกจากตระกูลโจวแล้ว เทพธิดาจื่ออวี่จากตระกูลกุยหยวนก็ถูกอี้อวิ๋นปฏิเสธไม่พบหน้าเช่นกัน’ ซืออวี้เซิงพูดอย่างเย็นยะเยือก
แม้เจ้าเมืองฉินจะรินสุราให้กับการคารวะของซืออวี้เซิงแต่ก็ไม่ได้ดื่มทันที เขาทำแค่มองซืออวี้เซิงแล้วพูดช้าๆ ว่า “คุณชายซือมาพบข้าก็ย่อมดีใจ แต่เหมือนข้าจะจำได้ว่าไม่ได้ส่งคำเชิญให้คุณชาย?”
เพราะเชิญอี้อวิ๋นมาร่วมงานบรรเลงฉินนี้ ตอนที่เจ้าเมืองฉินส่งเทียบเชิญก่อนหน้านี้จึงไม่ส่งให้หอเซียนสรรพสิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้สองฝ่ายพบกันแล้วต้องกระอักกระอ่วนใจ
ทว่าการที่ซืออวี้เซิงมาโดยไม่รับเชิญทำให้เจ้าเมืองฉินรู้สึกถึงบรรยากาศความเป็นศัตรูที่รุนแรง
“ฮ่าฮ่า เป็นความจริงที่ท่านเจ้าเมืองฉินไม่ได้ส่งเทียบเชิญให้ข้าน้อย ความจริงเป็นแบบนี้ขอรับ เมื่อคืนนี้ข้าน้อยเจอคุณชายอู๋เฟิงที่วังเซียนสรรพสิ่ง คุณชายอู๋เฟิงเป็นคนเชิญข้าน้อยให้มาร่วมงาน”
หืม?
เจ้าเมืองฉินขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของซืออวี้เซิง ฉินอู๋เฟิงคือลูกชายของเขา ทั้งยังเป็นลูกชายที่ไม่ได้ความ
ส่วนวังเซียนสรรพสิ่งก็คือสถานที่เริงรมย์แห่งหนึ่งเหมือนตรอกสมบัติสวรรค์ของหอเซียนสรรพสิ่ง แต่เพราะวังเซียนสรรพสิ่งเปิดกิจการอยู่นอกเมืองสรรพสิ่ง ไม่ถูกควบคุมโดยกฎของทางเมือง ด้วยเหตุนี้จอมยุทธ์จึงเสพสุข ก่อความวุ่นวาย ข่มเหงทาสหญิง พนันและใช้โอสถมัวเมาได้อย่างตามใจ… ขอเพียงมีเงินอักขระก็ปลดปล่อยด้านมืดในใจได้อย่างเต็มที่
เจ้าเมืองฉินจะสบายใจที่รู้ว่าลูกชายตัวเองไปวังเซียนสรรพสิ่งได้อย่างไร
ในตอนนี้เองที่ซืออวี้เซิงกลายเป็นเงาสายหนึ่งแล้วมาปรากฏบนเรือประดับที่เจ้าเมืองฉินอยู่และอยู่ด้านหลังอี้อวิ๋น
มุมปากคุณชายป๋ายเฟิงยกขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าราวกับดูเรื่องสนุกเมื่อเห็นซืออวี้เซิงปรากฏตัว
“คราวนี้คงมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว”
ไม่ใช่แค่คุณชายป๋ายเฟิง เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่ถูกอี้อวิ๋นปฏิเสธพากันมีสีหน้าดีใจในโชคร้ายของผู้อื่นเมื่อเห็นว่าซืออวี้เซิงกับอี้อวิ๋นอยู่บนเรือลำเดียวกัน
ซืออวี้เซิงไม่เหมือนจั่วชิวเฮ่าอวี้ เขายุ่งเกี่ยวด้านการผูกมิตรกับคนอื่นน้อยมากแต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเร็วในการฝึกยุทธ์อันรวดเร็วของเขา พรสวรรค์อันน่าตื่นตะลึงและตำแหน่งผู้สืบทอดคนต่อไปของหอเซียนสรรพสิ่ง!
ซืออวี้เซิงเป็นคนทะเยอทะยาน ทั้งยังเผด็จการเล็กน้อยด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครที่มีเรื่องกับเขาต่างก็ต้องจ่ายราคาแสนสาหัสทั้งสิ้น
ทุกคนไม่สงสัยเลยว่าหากที่นี่ไม่ใช่เมืองสรรพสิ่ง ซืออวี้เซิงก็คงลงมือสังหารอี้อวิ๋นไปแล้ว
แต่แน่นอนว่าที่นี่คือจวนเจ้าเอง ซืออวี้เซิงคงไม่ทำอะไรอี้อวิ๋นต่อหน้าท่านเจ้าเมืองฉิน
เจ้าเมืองฉินขมวดคิ้วเบาๆ เมื่อเห็นซืออวี้เซิงขึ้นมาบนเรือ คนผู้นี้มาด้วยเจตนาไม่ดี
อี้อวิ๋นหันตัวกลับไปมอง เขารู้ว่าคนผู้นี้มาเพราะเขา
แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรได้ในงานวันนี้
“เจ้าคืออี้อวิ๋นสินะ?” ซืออวี้เซิงมองอี้อวิ๋นด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “วันนั้นเจ้าตัดแขนจั่วชิวเฮ่าอวี้จนหอเซียนสรรพสิ่งของข้าเสียหน้าอย่างหนัก ข้าควรคิดบัญชีนี้กับเจ้าให้ดี”
“เจ้าจะคิดยังไง?” อี้อวิ๋นเลิกคิ้วขึ้น ตอนนี้พวกเขาอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองฉิน หรือจะให้ลงมือสู้กัน?
“ความจริง ด้วยความเคยชินปกติของข้าแล้ว คนที่ล่วงเกินหอเซียนสรรพสิ่งเช่นเจ้าจะถูกข้าจับตัวไปขังในคุกใต้ดินของหอเซียนสรรพสิ่งและทรมานจนตาย”
ซืออวี้เซิงเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาพูดต่อว่า “แต่…ข้าก็นับถือคนมีความสามารถเช่นกัน พรสวรรค์ของคุณชายอี้ทำให้ข้านับถือ ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เจ้าเมืองฉินก็อยู่ที่นี่ เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้าเมืองฉินแล้วข้าก็มีวิธีที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอยู่วิธีหนึ่ง”
……………………………………