True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1147 ห้องหออวิ๋นซิน
หรูเอ๋อร์คอยดูแลหลิงเสียเอ๋อร์ไม่ห่างหลังจากที่อี้อวิ๋นออกไป นางเห็นว่าร่างกายหลิงเสียเอ๋อร์โปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งจะสลายหายไป ทว่าด้วยระดับยุทธ์ของหรูเอ๋อร์แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้อนใจอยู่ด้านข้าง
“น้องสาว เจ้ารอคุณชายก่อนนะ คุณชายคงไปคิดหาวิธีช่วยเจ้าแน่นอน” หรูเอ๋อร์พูดเสียงเบา
นางไม่รู้ว่าหลิงเสียเอ๋อร์เป็นอะไรกับอี้อวิ๋น แต่นางรู้ว่าอี้อวิ๋นให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมาก
ในตอนนี้เองที่ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างฉับพลัน เงาร่างอี้อวิ๋นปรากฎขึ้น
หรูเอ๋อร์มีสีหน้าดีใจ “คุณชายกลับมาแล้ว!”
“หรูเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน ปิดประตูห้องให้สนิท”อี้อวิ๋นพูด
ซื้อธาตุกระดูกบำรุงวิญญาณไม่สำเร็จ จะให้หลอมเองก็เป็นไปไม่ได้ เขาได้แต่ใช้วิธีก่อนหน้านี้แล้ว
ก่อนหน้านี้อี้อวิ๋นก็เคยคิดไว้แล้วว่าหากให้หลิงเสียเอ๋อร์กินรากคืนวิญญาณก็จะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้
แต่การหลอมโอสถวิญญาณเปล่าของเขาต้องรอเวลาอีกสามปี ทั้งยังต้องมีรากคืนวิญญาณเป็นวัตถุดิบ อี้อวิ๋นจึงจำเป็นต้องซื้อธาตุกระดูกฟื้นวิญญาณ
แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เขามีคัมภีร์ที่เทพโอสถทิ้งไว้ ภายในคัมภีร์บันทึกไว้ซึ่งแก่นความเข้าใจที่เทพโอสถมีต่อวิถีโอสถในขณะที่ยังมีชีวิต อี้อวิ๋นยังมีผลึกม่วงที่เป็นสมบัติชั้นยอด เขาควบคุมพลังวิญญาณในสมบัติฟ้าดินทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยผลึกม่วง ต้องช่วยหลิงเสียเอ๋อร์ได้แน่นอน
นับจากวันนี้เขาจะฝึกฝนวิชาโอสถอย่างหนัก
เมื่อหรูเอ๋อร์ปิดประตูห้องลง อี้อวิ๋นก็เดินไปตรงหน้าหลิงเสียเอ๋อร์ กระบี่หักอยู่ในมือ เขายกกระบี่ขึ้นฟัน ทันใดนั้นรากคืนวิญญาณที่อยู่ในมือที่แทบจะโปร่งแสงอย่างสมบูรณ์ของหลิงเสียเอ๋อร์ก็ขาดเป็นสองท่อน ส่วนร่างวิญญาณของหลิงเสียเอ๋อร์ก็ไม่ถูกผลกระทบจากปราณกระบี่แม้แต่น้อย
อี้อวิ๋นต้องคำนึงเรื่องที่จะรักษาร่างวิญญาณของหลิงเสียเอ๋อร์หลังจากนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้รากคืนวิญญาณแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งยังคงวางไว้ในมือหลิงเสียเอ๋อร์
เรื่องนี้ไม่อาจชักช้า รากคืนวิญญาณขนาดครึ่งท่อนอยู่ในมือ อี้อวิ๋นเปิดใช้ผลึกม่วง เขาส่งพลังปราณสายหนึ่งออกไปในขณะที่เริ่มสกัดแก่นพลังในรากคืนวิญญาณ
ในเมื่อใช้รากคืนวิญญาณได้แค่ครึ่งเดียวจึงยิ่งไม่อาจสิ้นเปลืองแก่นพลังแม้แต่น้อย หากคนอื่นเป็นผู้ลงมือก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่กับอี้อวิ๋นแล้วต่างออกไป
อี้อวิ๋นเห็นแก่นพลังทั้งหมดได้อย่างชัดเจนจากการมองเห็นพลังของผลึกม่วง เขาสกัดพลังอย่างละเอียดรอบคอบพลังสายแล้วสายเล่าถูกอี้อวิ๋นส่งเข้าสู่ร่างวิญญาณของหลิงเสียเอ๋อร์ แก่นพลังของรากคืนวิญญาณผสานเข้ากับร่างวิญญาณ ร่างกายที่โปร่งแสงของหลิงเสียเอ๋อร์ค่อยๆ หนาแน่นขึ้นทีละนิดๆ
จิตใจอี้อวิ๋นจดจ่อ เขาไม่สิ้นเปลืองพลังแม้แต่เสี้ยวเดียว ควบคุมพวกมันให้เข้าสู่ร่างหลิงเสียเอ๋อร์อย่างแม่นยำ หลังจากที่เวลาผ่านไปหนึ่งวันเต็ม ในที่สุดอี้อวิ๋นก็ออกจากห้องด้วยสีหน้าอิดโรย
รากคืนวืญญาณครึ่งท่อนนั้นสหายเป็นผุยผงไปแล้ว พลังภายในถูกอี้อวิ๋นสกัดให้หลิงเสียเอ๋อร์ดูดซึมทั้งหมด
ความจริงรากคืนวิญญาณเพียงครึ่งท่อนนี้ช่วยให้ร่างวิญญาณของหลิงเสียเอ๋อร์เสถียรแค่ชั่วคราว อี้อวิ๋นต้องส่งปราณหยางบริสุทธิ์จำนวนมหาศาลเพิ่มให้นาง
เขากินธาตุกระดูกหลายเม็ดเพื่อเพิ่มพลังปราณไม่หยุดและส่งให้หลิงเสียเอ๋อร์
รากคืนวิญญาณครึ่งท่อนที่เหลือยังคงวางอยู่บนมือหลิงเสียเอ๋อร์
เพราะใช้รากคืนวิญญาณไปครึ่งท่อน หลังจากนี้อี้อวิ๋นจึงต้องหลอมโอสถที่หล่อเลี้ยงบำรุงวิญญาณก่อนจึงจะทำให้หลิงเสียเอ๋อร์รอถึงเวลาที่จะได้กินโอสถวิญญาณเปล่าสำเร็จ
เรื่องทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณปรมาจารย์โอสถฮูเหยียนกับจั่วชิวเฮ่าอวี้
“หรูเอ๋อร์” อี้อวิ๋นพูด
หรูเอ๋อร์วิ่งเข้ามาทันที ความจริงนางคอยอยู่ไม่ไกลออกไปด้วยความกังวลมาโดยตลอด หลังจากที่อี้อวิ๋นออกมาก็แอบสังเกตสีหน้าอี้อวิ๋น เมื่อเห็นเขามีสีหน้าสงบจึงแน่ใจว่าน้องสาวคนนั้นคงไม่เป็นอะไรแล้ว
“คุณชายมีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ?” หรูเอ๋อร์ถาม
“ตามข้าไปหอสรรพสิ่ง” อี้อวิ๋นพูด
“ไปหอสรรพสิ่งทำอะไรหรือเจ้าคะ?” หรูเอ๋อร์กระพริบตาปริบๆ
จะแลกเปลี่ยนอักขระสรรพสิ่งก็แลกมาแล้ว ร้านค้าก็เช่าแล้ว เหตุใดคุณชายจึงจะไปอีกรอบภายในเวลาสั้นๆ?
แววตาอี้อวิ๋นนิ่งเรียบ “เราเอาร้านนี้ไปคืนแล้วเช่าร้านใหม่”
ตอนที่รักษาให้หลิงเสียเอ๋อร์ อี้อวิ๋นก็ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
ในเมื่ออักขระจำนวนแปดแสนใช้ซื้อธาตุกระดูกฟื้นวิญญาณไม่สำเร็จก็เอามาทำอย่างอื่นดีกว่า ตัวเขาที่อยู่ในเมืองสรรพสิ่งก็นับว่ายากจนมากจริงๆ เงินแปดแสนอักขระนี้คือเงินทุนของเขา
ไม่เช่นนั้นแม้อี้อวิ๋นจะเก็บรวบรวมเงินทองได้ช้าๆ แต่หลิงเสียเอ๋อร์คงรอไม่ไหว ก่อนที่จะซื้อวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถวิญญาณเปล่า หลิงเสียเอ๋อร์ยังต้องใช้โอสถประเภทวิญญาณบางอย่าง ทั้งหมดล้วนมีค่าใช้จ่าย
“เช่าร้านใหม่?” หรูเอ๋อร์งงงัน แต่นางจะสงสัยการตัดสินใจของอี้อวิ๋นได้อย่างไร นางพยักหน้าพูดทันทีว่า “เช่นนั้นหรูเอ๋อร์จะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ…”
……
สองวันต่อมา ในพื้นที่อันคึกคักพลุกพล่านของเมืองสรรพสิ่ง ร้านที่ขายเครื่องรางยันต์ต่างๆ ก็เปลี่ยนเจ้าของเป็นโรงโอสถ
โรงโอสถแห่งนี้อยู่ห่างจากโรงโอสถฟ้าประทานและร้านค้าของกลุ่มอิทธิพลทั้งสิบที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเพียงถนนไม่กี่สาย เป็นระยะทางที่สั้นเหมือนดื่มน้ำสำหรับจอมยุทธ์
เพราะที่นี่คึกคัก ค่าเช่าจึงย่อมสูงมากเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่พวกสำนักหรือกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่เปิดร้านที่นี่ ทว่าร้านที่เปิดใหม่นี้กลับตกแต่งเรียบง่าย เป็นเพียงตึกไม้อันงดงามเงียบสงัด
ภายในร้านไม่มีพนักงานอะไร มีเพียงสาวน้อยคนหนึ่งคอยร้องเรียกลูกค้า ส่วนเจ้าของร้านก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
ที่ประตูร้านมีแผ่นป้ายธรรมดาเรียบง่ายแขวน ด้านบนเขียนไว้ว่า…ห้องหออวิ๋นซิน
คำว่าอวิ๋นมาจากชื่ออี้อวิ๋น ส่วนคำว่าซินก็มาจากชื่อหลินซินถง ชื่อทั้งสองรวมกันเป็นชื่อโรงโอสถแห่งใหม่ของอี้อวิ๋น
ไม่มีใครกล้าเปิดโรงโอสถใหม่ใกล้กับโรงโอสถฟ้าประทาน แต่อี้อวิ๋นไม่สนใจเรื่องนี้ เดิมทีเขาก็ไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับโรงโอสถฟ้าประทาน แต่ในเมื่อมีความแค้นต่อกันไปแล้วจึงเปิดโรงโอสถของตัวเองที่หน้าทางเข้าโรงโอสถฟ้าประทานเสียเลย
โรงโอสถไม่มีพิธีเปิด ไม่มีคนมาร่วมยินดี มันเปิดขึ้นอย่างเรียบง่ายธรรมดา
หลายคนอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นโรงโอสถที่เปิดขึ้นใหม่นี้
ธุรกิจที่ทำเงินมากที่สุดในเมืองสรรพสิ่งก็คือโรงโอสถ อย่างไรพวกอาวุธ ยันต์หรือค่ายกลก็เป็นของใช้ภายนอก แต่โอสถและธาตุกระดูกทั้งช่วยชีวิตทั้งมีความสัมพันธ์กับพลังของจอมยุทธ์ ไม่ว่าจะด้านไหนก็เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ต้องคว้ามาอย่างไม่คิดใช้จ่าย
แต่การเปิดโรงโอสถมีข้อเรียกร้องที่ใหญ่มาก ต้องมีปรมาจารย์โอสถระดับสูงนั่งบัญชาการ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางอยู่รอดในเมืองสรรพสิ่ง เสียค่าเช่าไปเปล่าๆ
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน กล้าเปิดโรงโอสถข้างโรงโอสถฟ้าประทานได้อย่างไร รอความตายหรือ
บางคนที่สงสัยก็ลองมาดูที่ห้องหออวิ๋นซินสักรอบ เมื่อเห็นภาพภายในโรงโอสถก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก
ภายในโรงโอสถไม่มีโอสถหรือธาตุกระดูกอะไรแม้แต่น้อยประหนึ่งขาดแคลนเงินทุน โอสถที่อยากซื้อก็ไม่มีขาย พนักงานและเจ้าของร้านที่อายุน้อยก็ทำให้หมดคำจะพูดจริงๆ
คงเป็นคุณชายชาติกำเนิดโดดเด่นที่เห็นว่าขายโอสถได้เงินดีแต่ไม่รู้ว่าธุรกิจนี้ยากแค่ไหน ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจึงมาเปิดร้านที่นี่ แค่คิดเอาก็รู้ผลลัพธ์แล้ว อยู่ได้สองสามเดือนคงต้องเปลี่ยนเจ้าของ
อี้อวิ๋นย่อมได้ยินบทสนทนาของผู้คนรอบๆ แต่เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาเพิ่งเขียนป้ายใบหนึ่งเสร็จและพูดกับหรูเอ๋อร์ว่า “หรูเอ๋อร์ เอาป้ายนี้ออกไปแขวน”
………………………………………………