True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1137 หอสรรพสิ่ง
ฟึ่บ!
พลังปราณของค่ายกลส่งข้ามสั่นไหว เงาร่างของอี้อวิ๋นกับหรูเอ๋อร์ปรากฏขึ้นกลางค่ายกล
“ท่านผู้อาวุโส ด้านหน้าก็คือเมืองสรรพสิ่งแล้วเจ้าค่ะ” หรูเอ๋อร์พูด
จากสำนักหม้อชาดมาจนถึงพื้นที่ใจกลางแดนสวรรค์สรรพสิ่ง อี้อวิ๋นกับหรูเอ๋อร์ก็ผ่านค่ายกลส่งข้ามก็สองสามค่าย ในที่สุดก็ถึงที่หมาย
แดนสวรรค์สรรพสิ่งกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง พื้นที่ใจกลางของมันก็คือเมืองสรรพสิ่ง
อี้อวิ๋นมองไปด้านหน้าเมื่อออกจากค่ายกลส่งข้าม ทั่วทั้งเมืองสรรพสิ่งสร้างอยู่บนที่ราบขนาดยักษ์ เมื่อทอดสายตาออกไปก็เห็นหอศาลาทอดตัวกันแน่นขนัด ทั่วทั้งที่ราบมีปราณฟ้าดินอันโหมซัดสาดรวมตัวไปทางเมืองสรรพสิ่งไม่หยุด อยู่ห่างออกมาไกลก็ยังรู้สึกถึงแรงสยบอันน่ากลัว
“ท่านผู้อาวุโส เมืองสรรพสิ่งไม่อนุญาตให้เหาะเหิน พวกเราเรียกรถม้าไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หรูเอ๋อร์พูด
“อื้ม เจ้าไปเรียกเถอะ” อี้อวิ๋นพยักหน้า
เขาไม่คุ้นเคยกับเมืองสรรพสิ่งแม้แต่น้อย หลินเทียนเฉิงจึงให้หรูเอ๋อร์มากับเขา หรูเอ๋อร์เคยมาเมืองสรรพสิ่งหลายครั้ง เรียกได้ว่ารู้จักที่นี่เป็นอย่างดี ช่วยลดความยุ่งยากให้อี้อวิ๋นมาก
“ต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโส เรียกตามชื่อสกุลข้าก็พอ” อี้อวิ๋นพูด
แม้เขาจะไม่สนใจที่ถูกคนอื่นเข้าใจอายุผิด แต่หากจะต้องถูกเรียกว่าผู้อาวุโสทุกวันก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
“เช่นนั้น…ข้าจะเรียกท่านว่าคุณชายแล้วกันนะเจ้าคะ” หรูเอ๋อร์พูดอย่างเคอะเขิน “คุณชายเองก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าแม่นางหนานกงอีก เรียกว่าหรูเอ๋อร์ก็พอเจ้าค่ะ”
หรูเอ๋อร์ใช้สกุลตามมารดา อี้อวิ๋นเรียกนางว่าแม่นางหนานกงมาตลอดทาง ทำให้สาวน้อยประหม่าเล็กน้อย
“ได้” อี้อวิ๋นตอบ
หรูเอ๋อร์เรียกรถม้าคันหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว ม้าที่ลากรถตัวสูงใหญ่แข็งแรง ทั่วร่างมีพลังปราณแผ่ออกมา ดูแล้วสง่าไม่ธรรมดา เมื่ออี้อวิ๋นเข้าสู่รถม้าก็พบว่าภายในกว้างขวางและหรูหรามาก
“ว่ากันว่าในเมืองสรรพสิ่งรวบรวมไว้ซึ่งของดีทั้งหมดในแดนสวรรค์สรรพสิ่งและโลกสวรรค์เทพหยาง ที่นี่ไม่เพียงแต่มีสมบัติล้ำค่า สิ่งเริงรมย์ต่างๆ ก็มีเช่นกัน หอเซียนสรรพสิ่งจะจัดงานซื้อขายสมบัติทุกสิบปี ในงานจะมีสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในแดนสวรรค์สรรพสิ่งปรากฏ ดึงดูดคนจอมยุทธ์โลกสวรรค์เทพหยางหรือแม้กระทั่งโลกสวรรค์อื่นให้เข้ามา”
“งานซื้อขายครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกสามปี ถึงเวลานั้นคุณชายต้องเจอสิ่งที่ต้องการในงานแน่นอนเจ้าค่ะ ในงานมีทุกอย่าง นี่คือสิ่งที่ทำให้เมืองสรรพสิ่งมีชื่อเสียง” หรูเอ๋อร์นั่งอธิบายให้อี้อวิ๋นฟังในรถม้า
“รออีกสามปีก็ไม่เป็นไร พวกเราอยู่ที่เมืองสรรพสิ่งไปก่อนแล้วกัน” อี้อวิ๋นพูด
“อื้ม เช่นนั้นเราต้องไปหอสรรพสิ่ง ที่นั่นเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนเงินของเมืองสรรพสิ่ง ซื้อเช่าบ้านและที่ดินเพื่ออยู่อาศัย” หรูเอ๋อร์พูด
อี้อวิ๋นพยักหน้า ระหว่างทางนี้หรูเอ๋อร์บอกเขาว่าแม้เมืองสรรพสิ่งจะใช้ศิลาพิภพและศิลาแห่งความโกลาหลเช่นกัน ทว่าสมบัติฟ้าดินที่ล้ำค่าจริงๆ กลับไม่อาจแลกเปลี่ยนด้วยศิลาพิภพ แต่ต้องใช้ ‘อักขระสรรพสิ่ง’ มาแลก
อักขระสรรพสิ่งนี้จัดทำขึ้นโดยกลุ่มอิทธิพลทั้งสิบในแดนสวรรค์สรรพสิ่ง หากจะได้มาก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือนำสมบัติฟ้าดินไปจำนำให้กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ ยิ่งเป็นสมบัติที่ล้ำค่าก็จะยิ่งได้อักขระมาก ส่วนสมบัติระดับต่ำ กลุ่มอิทธิพลทั้งสิบก็ไม่อยากรับซื้อ
พูดตามตรงแล้วแดนสวรรค์สรรพสิ่งก็นิยมใช้วัตถุมาแลกวัตถุ สกุลเงินอักขระมีเพื่อให้ประเมินราคาวัตถุง่ายขึ้น
รถม้าวิ่งไปบนถนนอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เข้าสู่ตัวเมือง อี้อวิ๋นก็เห็นว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่คึกคัก บนท้องถนนมีผู้คนพลุ่กพล่านขวักไขว่ คึกคักกว่าเมืองของคนธรรมดาเป็นร้อยเป็นพันเท่า
บนท้องถนนมีกลิ่นอายอันแข็งแกร่งปรากฏเป็นครั้งคราว จอมยุทธ์ที่ผ่านไปมาต่างไม่อ่อนแอ ยากที่จะเห็นยอดฝีมือมารวมตัวกันมากขนาดนี้ในสถานที่อื่น
เวลาปกติก็มีจอมยุทธ์มาเมืองสรรพสิ่งมากขนาดนี้แล้ว หากถึงเวลาจัดงานซื้อขายก็เกรงว่าคงยิ่งคึกครื้น บรรยากาศคงยิ่งใหญ่มาก
ต่อให้ไม่ได้มาเพื่อซื้อสมุนไพรหลอมโอสถวิญญาณเปล่า การมาเมืองสรรพสิ่งสักครั้งก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตา
“คุณชาย ถึงหอสรรพสิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
รถม้าจอดลงตรงหน้าหอขนาดสูงใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี่มีจอมยุทธ์เข้าออกเหมือนกระแสน้ำ
หรูเอ๋อร์เป็นคนนำทางอยู่ด้านหน้า เพียงไม่นานก็มีผู้ดูแลหอสรรพสิ่งคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ
“ลูกค้าท่านนี้ ไม่ทราบว่าต้องการอะไรขอรับ?” ผู้ดูแลคนนี้มีรอยยิ้มบนใบหน้า
อี้อวิ๋นมอบแหวนมิติกำหนึ่งให้อีกฝ่าย แหวนมิติเหล่านี้เขาได้มาหลังจากที่สังหารศัตรู
“อะไรที่มีประโยชน์ในนี้ก็ช่วยข้าแลกให้หมด อีกเรื่องคือช่วยหาที่พักที่เหมาะกับการฝึกฝน” อี้อวิ๋นพูด
“ได้ขอรับ เชิญทั้งสองท่านมาดื่มชาทางนี้ โปรดรอสักครู่” ผู้ดูแลรับแหวนมิติมาแล้วพูด
หอสรรพสิ่งอยู่ในสังกัดเมืองสรรพสิ่ง จอมยุทธ์ที่มาต่างมาแลกอักขระสรรพสิ่งที่นี่ อัตราการแลกเปลี่ยนย่อมเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้อี้อวิ๋นลงมือ จอมยุทธ์คนอื่นคงจัดการไปนานแล้ว
ขณะที่รอ ผู้ดูแลได้ส่งสมุดเล่มหนึ่งมาให้
อี้อวิ๋นตาเป็นประกายเมื่อเปิดสมุดเล่มนี้ ภายในบันทึกไว้ซึ่งราคาสินค้าของร้านต่างๆ
จิตของเขากวาดค้นไปในสมุด ไม่นานก็เจอสมบัติล้ำค่าหลายอย่างที่ทำให้ใจเต้น
ก่อนที่จะได้บันทึกของเทพโอสถ อี้อวิ๋นก็ไม่รู้สึกอะไรกับวัตถุเหล่านี้มากนัก แต่ตอนนี้วัตถุล้ำค่าเหล่านี้มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง
สมบัติแทบทุกชิ้นใช้อักขระสรรพสิ่งเป็นป้ายราคา มีน้อยมากที่จะใช้ศิลาพิภพ
“แพงมาก…”
หรูเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างมองแล้วปวดตา สมบัติแต่ละอย่างใช้อักขระสรรพสิ่งสองสามหมื่น ต่อให้ขายสำนักหม้อชาดทิ้งทั้งสำนักก็ซื้อได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน
อี้อวิ๋นเห็นสมบัติบางอย่างในนั้นที่มีราคาสองสามแสนอักขระสรรพสิ่ง
‘หืม? คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีหญ้าสวรรค์รกร้าง เก้าแสนอักขระ นี่คือโอสถวิญญาณอันล้ำค่าที่มีบันทึกถึงในคัมภีร์ของเทพโอสถ แม้จะด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรากคืนวิญญาณ แต่ก็ของที่เจอได้ด้วยโชค’
ราคาเก้าแสนอักขระฟังดูแพงมาก แต่อี้อวิ๋นกลับไม่รู้สึกเช่นกัน เขาเทียบราคากับสมบัติชิ้นอื่นๆ แล้วก็พบว่าสมบัติที่มีค่าไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของหญ้าสวรรค์รกร้างในสายตาอี้อวิ๋นต่างก็มีราคาสองสามแสนอักขระ
เห็นไดชัดว่าราคานี้ไม่สมเหตุสมผล
อี้อวิ๋นลูบคาง ดูแล้วใต้หล้านี้คงมีสมบัติมากเกินไปจริงๆ แม้แต่แดนสวรรค์สรรพสิ่งก็ไม่รู้มูลค่าของสมบัติทั้งหมด
ยกตัวอย่างหญ้าสวรรค์รกร้าง มันล้ำค่ามาในคัมภีร์ของเทพโอสถ แต่เทียบโอสถที่ใช้หญ้าสวรรค์รกร้างนี้อาจมีเพียงเทพโอสถคนเดียวที่ใช้ หรือไม่ก็หายสาบสูญไปในเวลาสองสามร้อยล้านปีต่อมา เรื่องนี้ทำให้หลายคนไม่รู้มูลค่าของหญ้าสวรรค์รกร้าง ไม่เช่นนั้นหากตั้งราคาขายที่สองสามล้านอักขระอี้อวิ๋นก็ไม่รู้สึกว่าแพง
‘เราต้องคว้าหญ้าสวรรค์รกร้างนี้มา’
ขณะที่อี้อวิ๋นกำลังคิด ผู้ดูแลคนนั้นก็กลับมา
“ลูกค้าท่านนี้ นี่คือตราหยกอักขระของท่าน หลังจากที่ตรวจสอบแล้วก็แค่ตีตราประทับทางจิตลงไป ตราหยกนี้ก็จะไม่ถูกผู้อื่นใช้” ผู้ดูแลส่งตราหยกกลับมา
อี้อวิ๋นรับตราหยกมาแล้วส่งกำลังจิตเข้าสู่ภายในก็ต้องมีสีหน้าทรุดลงเล็กน้อยทันที
จนมาก…
แหวนมิติสิบกว่าวงแลกได้แค่แปดหมื่นห้าพันอักขระ
แบบนี้จะซื้อหญ้าสวรรค์รกร้างได้อย่างไร แค่สมุนไพรที่เขาถูกใจสักต้นก็ยังซื้อไม่ได้
คิดดูแล้วก็ช่วยไม่ได้จริงๆ คนแข็งแกร่งที่อี้อวิ๋นสังหารก่อนหน้านี้คือระดับวังวิถี ภายในแหวนมิติมีแต่ของที่อี้อวิ๋นใช้ไม่ได้ สมบัติที่แท้จริงของเขาอย่างเจดีย์เทพจุติ คัมภีร์สุดยอดวิชาหมื่นปีศาจและบันทึกของเทพโอสถก็เอาออกมาไม่ได้
ความจริงสมบัติที่อี้อวิ๋นมีในตอนนี้ค่อนข้างมั่งคั่งแล้ว แต่เมื่อถึงเวลางานซื้อขายสมบัติ สมบัติในงานพวกนั้นก็อาจยิ่งแพง คนที่ทำการซื้อขายต่างเป็นอรหันต์ที่อยู่มาสองสามล้านปีหรือแม้กระทั่งเทพราชา!
เทียบกับคนเหล่านี้แล้วอี้อวิ๋นจึงยากจน
“ส่วนที่พักที่ท่านลูกค้าต้องการ ข้าได้จัดหาที่ฝึกที่เหมาะสมในเมืองสรรพสิ่งออกมา เชิญเลือกได้ตามสบายขอรับ” ผู้ดูแลนำแผนที่แผ่นหนึ่งออกมา
“ไม่ต้องล่ะ” อี้อวิ๋นครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเงยหน้าพูดว่า “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หาหน้าร้านที่เงียบสงบให้ข้าแทนแล้วกัน”
ผู้ดูแลชะงักเล็กน้อยแต่ก็พูดพร้อมพยักหน้ายิ้มอย่างรวดเร็ว “ได้ขอรับ ข้าจะไปตรวจสอบดูว่ามีหน้าร้านไหนว่างเดี๋ยวนี้”
หลายคนมาทำการค้าที่เมืองสรรพสิ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“คุณชาย เหตุใดจึงเลือกร้านค้าหรือเจ้าคะ?” หรูเอ๋อร์ถามด้วยความแปลกใจ
“สมุนไพรที่ข้าต้องการมีราคาค่อนข้างสูง ตอนนี้ยังขาดอักขระอยู่จำนวนหนึ่ง หากจะรับประกันว่าได้มาแน่นอนก็เกรงว่าคงต้องใช้อักขระมากกว่านี้ ในเวลาสามปีนี้ข้าจะฝึกหลอมโอสถฝึกจิต ไม่สู้ถือโอสถเปิดร้านไปเลยดีกว่า” อี้อวิ๋นพูด
ก่อนหน้านี้อี้อว๋นพุ่งทะยานจากระดับรวมวิถีช่วงกลางมาถึงระดับวังวิถีในคราเดียว แม้ความเข้าใจด้านกฎของเขาจะมากแค่ไหนก็ไม่อาจเลี่ยงที่จะมีปัญหาบางอย่าง
เขาต้องการเวลามาทำให้ระดับยุทธ์ตกผลึก เวลาสามปีไม่เพียงพอด้วยซ้ำ
แต่ถึงกระนั้นอี้อวิ๋นก็จะฝึกยุทธ์ไปด้วย ศึกษาคัมภีร์ของเทพโอสถไปด้วย นำโอสถไร้ประโยชน์ที่หลอมออกมาไปขาย การค้าในเมืองสรรพสิ่งรุ่งเรือง ต่อให้เปิดร้านในที่เงียบสงบก็ใช้ว่าจะทำการค้าไม่ได้
อี้อวิ๋นมั่นใจในคุณภาพโอสถที่ตัวเองหลอม แม้จะไม่มีเทียบโอสถของเทพโอสถ โอสถธรรมดาที่อี้อวิ๋นเป็นผู้หลอมก็ได้รับการปรับปรุงคุณภาพให้สูงขึ้นมากอยู่ดี
………………………………………..