True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1132 ประมุขวัง
ตอนแรกอี้อวิ๋นคิดว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดของการสังหารวังวิถีเจ็ดดาราครั้งนี้ก็คือประมุขวังวิถีเจ็ดดารา ไม่ว่าจะการกวาดล้างสำนักกระบี่สระใสก่อนหน้านี้หรือการเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็มีแต่รองประมุขที่ปรากฏตัว ประมุขของวังวิถีเจ็ดดาราเป็นปริศนา
อี้อวิ๋นไม่รู้ว่าตัวประมุขวังมีระดับยุทธ์ขั้นไหน เขามั่นใจว่าต่อให้ตอนนี้จะยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของประมุขวังก็ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักและถอยตัวอย่างปลอดภัยได้
แต่ตอนนี้ชายชราที่ปรากฏตัวอย่างฉับพลันกลับทำให้อี้อวิ๋นรู้สึกคาดไม่ถึงเพราะคำพูดของอีกฝ่าย
ชายชราถอนหายใจแล้วพูดว่า “เฮ้อ…การอยู่รอดของวังวิถีเจ็ดดารา…พูดเรื่องนี้แล้วข้าก็ควรทำอะไรบ้างจริงๆ”
ทันใดนั้นเงาร่างของชายชราก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ ใจอี้อวิ๋นตื่นตัวขึ้นมาทันที
ฟิ้ว!
เงาร่างของชายชราปรากฏตรงหน้าอี้อวิ๋นอย่างฉับพลัน เขาตบฝ่ามือออกเหมือนขุนเขาถล่ม พลังปราณที่ทั้งยิ่งใหญ่ทั้งน่ากลัวห่อหุ้มอี้อวิ๋นไว้ภายในอย่างสมบูรณ์
แข็งแกร่งมาก!
กระบี่หักในมืออี้อวิ๋นส่งเสียงร้องเช่นกัน ลำแสงกระบี่สว่างวาบพร้อมกับแทงไปที่กลางฝ่ามือ!
การปะทะของทั้งคู่ในเวลานี้ทำให้ทะเลเมฆที่อยู่รอบด้านกระจายตัว!
ปั้งปั้งปั้ง!
ชายชรากับอี้อวิ๋นถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกัน!
ชายชราผู้นี้แข็งแกร่งมาก
เขาต้านกระบี่ของอี้อวิ๋นได้ด้วยมือเปล่า
“อีกครั้ง!”
ดวงตาอี้อวิ๋นมีจิตกระหายการต่อสู้ลุกโชน วิชากระบี่แห่งกาลเวลาสามฉื่อ กระบี่แห่งกาลเวลาฟันออกไป!
กระบี่แห่งกาลเวลาผสานไว้ซึ่งกฎแห่งมิติเวลาและกฎแห่งหยางบริสุทธิ์ กระบี่ดั่งสายน้ำรินไหล ดั่งเปลวไฟร้อนระอุ ดั่งมาจากยุคดึกดำบรรพ์ มันพุ่งเข้าใส่ชายชรา
แววตาชายชรานิ่งสงบเหมือนน้ำ ดาบยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ดาบที่หนักอึ้งประหนึ่งขุนเขาฟันเข้าใส่ลำแสงกระบี่อย่างรุนแรง
ตูม!
พื้นดินรอบด้านเกิดรอยแตกนับไม่ถ้วนเหมือนใยแมงมุมทันที
อี้อวิ๋นรู้สึกเจ็บที่ข้อมือเป็นอย่างยิ่ง ผิวหนังบนร่างถูกคลื่นพลังปราณจากดาบนี้ทำให้แสบไปหมด
ชายชราเองก็ไม่ได้มีท่าทีสบายนัก กระบี่ของอี้อวิ๋นแหลมคมมาก ยิ่งสู้ก็ยิ่งรุนแรง แต่ละกระบี่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ลำแสงกระบี่ลำแสงดาบร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เสียงอันน่ากลัวทำให้แม้แต่ภูเขาเซียนที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะเทือนไม่หยุด
“อี้อวิ๋นกำลังสู้กับใครบางคนอยู่!” ตอนนี้พวกเจี้ยนอู๋เฟิงตามมาถึงแล้ว พวกเขาเห็นพลังปราณปะทะกันไม่หยุดและมีเสียงดังน่าตกใจจากที่ไกลๆ
เกรงว่าคนที่สู้กับอี้อวิ๋นถึงขั้นนี้ได้จะมีแค่ประมุขวังวิถีเจ็ดดารา
ประมุขวังผู้นี้เป็นปริศนา พวกเจี้ยนอู๋เฟิงไม่เคยพบหน้าเช่นกัน
“คนหนุ่มสาวเก่งนำหน้าคนรุ่นก่อนจริงๆ ข้าไม่กล้าเชื่อว่าเจ้าเป็นเด็กรุ่นเยาว์” ขณะที่ชายชราพูดก็ถอยออกไปร้อยจั้งอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เก็บดาบยาวลงสู่แหวนมิติ
อี้อวิ๋นงุนงง ชายชราผู้นี้ทำอะไรน่ะ ไม่สู้แล้วหรือ?
การต่อสู้ของพวกเขายังไม่ตัดสินผลแพ้ชนะอย่างแท้จริง
แต่หากสู้ต่อจริงๆ อี้อวิ๋นก็รู้สึกว่าเขาสู้ชายชราไม่ได้ อย่างไรระดับยุทธ์เขาก็ด้อยกว่า
แม้ความเข้าใจด้านกฎของเขาจะโดดเด่น แต่หากไม่อาจเอาชนะด้วยวิธีปาฏิหาริย์ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงเวลาก็ได้แต่ถอยกลับ
ชายชรามองอี้อวิ๋นอย่างพิจารณาแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขนาดนี้ได้ ทั้งทำให้หลิ่วหรูอี้กลัว ทั้งได้โอกาสจากทะเลทรายกลบอาทิตย์”
“เจ้าถามข้าว่าสนใจวังวิถีเจ็ดดาราหรือเปล่า…ข้าก็ไม่สนใจอย่างที่เจ้าว่า เมื่อได้ยินว่ามีเด็กรุ่นเยาว์เช่นเจ้าจึงไม่เชื่อและอยากลองประมือด้วยเท่านั้น ตอนนี้ก็ถือว่าได้ประมือแล้ว…”
“หืม?” อี้อวิ๋นตกใจมาก ประมุขวังผู้นี้จะพูดจาไม่ใส่ใจเกินไปแล้ว หากไม่รู้เรื่องมาก่อนก็คงคิดว่าเขาแค่อยากชี้แนะให้คำแนะนำกับเด็กในสำนักตัวเอง
มีเจ้าสำนักที่ไม่สนใจความเป็นความตายของสำนักตัวเองด้วย?
“เจ้าไม่ต้องแปลกใจ” ชายชรารู้ว่าอี้อวิ๋นคิดอะไร “ตอนที่ข้ายังหนุ่มก็เคยถูกคนอื่นมองว่าเป็นอัจฉริยะผู้เป็นเอก มีใจไล่ตามจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ ข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขรุ่นต่อไปของวังวิถีเจ็ดดาราตั้งแต่อายุน้อย อนาคตไร้ขีดจำกัด”
“วังวิถีเจ็ดดาราไม่เคยเป็นสำนักที่อยู่ในศีลธรรม นับแต่ที่วังวิถีเจ็ดดาราก่อตั้งมาก็เต็มไปด้วยการนองเลือด ข้าไม่อยากเป็นประมุขของสำนัก ไม่พอใจกับการที่ต้องอยู่ในที่เล็กๆ อย่างแดนสวรรค์กลาง ข้าไม่พอใจที่ต้องอยู่แค่โลกสวรรค์เทพหยางด้วยซ้ำ ข้าออกจากแดนสวรรค์กลางเมื่ออายุร้อยปี ไปฝึกฝนที่โลกภายนอกพันปีจนท้ายที่สุดก็เข้าไปในร่องสมุทร เคยตั้งหลักในร่องสมุทรที่มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ ทว่า…”
ชายชราพูดถึงตรงนี้แล้วก็ถอนหายใจ “ตอนที่ข้าประสบความสำเร็จที่สุดก็ได้ตามยอดฝีมือหลายร้อยคนเข้าสู่แดนลับแห่งหนึ่งของร่องสมุทรเพื่อตามหาโอกาสพัฒนาตัวเอง แต่การเดินทางครั้งนี้พวกข้ากลับเจออันตรายที่น่ากลัว ยอดฝีมือหลายร้อยคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันแทบจะจบชีวิตทั้งหมด แม้ข้าจะกลับออกมาได้ก็ถูกทำลายวังวิถี พลังยุทธ์พังทรุดลง”
ขณะที่ชายชราพูดก็ส่ายหน้าเบาๆ อี้อวิ๋นฟังแล้วก็ตะลึงงัน พลังยุทธ์ถูกทำลาย? นี่เป็นแรงกระทบที่มากเพียงใดสำหรับจอมยุทธ์กัน?
“นับจากนั้นข้าไร้วาสนากับวิถีสายใหญ่ เวลาผ่านมานานหลายปี พลังของข้าฟื้นฟูมาถึงแบบตอนนี้และกลับมาเป็นประมุขที่วังวิถีเจ็ดดารา…”
“สิ่งต่างๆ เหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว วังวิถีเจ็ดดารามีโชคชะตาของมัน ข้าเบื่อหน่ายกับเรื่องทางโลกจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้ชีวิตสันโดษอยู่หลังภูเขา รองประมุขทั้งสี่แข่งขันแย่งชิงอำนาจกันเองและดูแลวังวิถีเจ็ดดาราร่วมกัน ข้าเองก็พอเดาผลลัพธ์ของการเดินทางในทะเลทรายกลบอาทิตย์ครั้งนี้ได้ ต่อให้ไม่มีเจ้า เมื่อพวกเขาสี่คนได้วิญญาณหยางไปก็จะเข่นฆ่ากันเองแน่นอน”
“คนที่คว้าชัยคงอยากสกัดวิญญาณหยางให้พลังก้าวกระโดด จากนั้นก็กลับมาสังหารข้าแล้วขึ้นเป็นประมุขวังวิถีเจ็ดดาราเอง…”
ชายชราพูดช้าๆ อี้อวิ๋นฟังแล้วก็ตื่นตะลึง ชายชรามองอะไรทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้แต่กลับไม่ทำอะไรหรือขัดขวาง?
“จะถูกผิดหรือแพ้ชนะก็ล้วนแต่กลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรในโลกจีรังยั่งยืนไปตลอด วังวิถีเจ็ดดารายิ่งเป็นเช่นนั้น ข้าเคยเห็นความรุ่งโรจน์ในอดีตจึงไม่สนใจอีกต่อไป นี่ก็เหมือนราชาชิงหยางที่สร้างอาณาจักรเฉียนอันยิ่งใหญ่เมื่อตอนนั้น ตอนนี้เหลือเพียงสำนักกระบี่สระใสที่เป็นร่องรอยอันเล็กน้อย รวมไปถึงกระบี่ในมือเจ้าที่มีกลิ่นอายน้อยนิดจนไม่มีค่าให้พูดถึง อาณาจักรเคยรุ่งโรจน์ แต่ตอนนี้ล่ะ?”
อี้อวิ๋นตกใจ คิดไม่ถึงว่าชายชราจะรู้เรื่องมากขนาดนี้ เขารู้จักราชาชิงหยางด้วย
สำนักกระบี่สระใสที่อยู่ในแดนสวรรค์กลางก็นับเป็นสำนักซ่อนเร้น มีไม่กี่คนที่รู้เรื่องความเกี่ยวระหว่างสำนักกับราชาชิงหยาง
“ท่านผู้อาวุโสบอกว่าอาณาจักรเฉียนไม่เหลืออยู่แล้ว ข้าน้อยอยากถามว่าท่านรู้จักป๋ายเยวี่ยอิ๋นหรือไม่ขอรับ? ป๋ายเยวี่ยอิ๋นเคยเป็นภรรยาของราชาชิงหยาง นางทำร้ายราชาชิงหยางแล้วควบคุมอาณาจักรเฉียนในท้ายที่สุด” น้ำเสียงอี้อวิ๋นมีความเคารพขึ้นมาก
ป๋ายเยวี่ยอิ๋นมีพรสวรรค์น่ากลัวมาก นางเคยเป็นคนที่ราชาชิงหยางรักสุดใจ พวกเขาดูแลอาณาจักรด้วยกัน เป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินี
แต่ต่อมาป๋ายเยวี่ยอิ๋นกลับหักหลังราชาชิงหยาง
นางทำร้ายราชาชิงหยางหนึ่งวันก่อนที่เขาจะสู้กับเทพราชาซาหงเสวี่ยจากเผ่าปีศาจ นำปลายกระบี่สนิมขึ้นเป็นจุดๆ ที่ราชาชิงหยางได้จากร่องสมุทรจากไปด้วยจนราชาชิงหยางพ่ายแพ้ต่อซาหงเสวี่ยและสูญเสียตำแหน่งเทพราชา นับจากนั้นก็ตกต่ำลงจนมาถึงโลกเทียนหยวน
จากนั้นราชาชิงหยางก็ได้รู้จักกับจักรพรรดินีโบราณ ค่อยๆ ฟื้นฟูพลัง สร้างแดนลับจักรพรรดินีขึ้นและทิ้งเจดีย์เทพจุติเอาไว้และถูกอี้อวิ๋นได้มาครอบครองในเวลาต่อมา
นี่หมายความว่าในมือป๋ายเยวี่ยอิ๋นมีปลายกระบี่อยู่ท่อนหนึ่ง และปลายกระบี่นี้…
อี้อวิ๋นจับกระบี่หักหยางบริสุทธิ์ในมือไว้แน่น เขารู้ว่าปลายกระบี่นั่นคืออีกครึ่งหนึ่งของกระบี่หักเล่มนี้
แต่เวลาผ่านมานานแสนนาน ด้วยพรสวรรค์อันน่ากลัวของป๋ายเยวี่ยอิ๋นแล้ว พลังของนางในตอนนี้คงไม่อาจคาดคะเน
อี้อวิ๋นไม่ได้จะไปเอาปลายกระบี่จากนางตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เขาแค่สงสัยว่าเหตุใดป๋ายเยวี่ยอิ๋นหักหลังราชาชิงหยางแต่กลับยอมให้สำนักกระบี่สระใสอยู่ในแดนสวรรค์กลาง?
“ป๋ายเยวี่ยอิ๋น?” ชายชราส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ผู้สืบทอดต่อมาของอาณาจักรเฉียนได้พากลุ่มอิทธิพลทั้งหมดในอาณาจักรออกจากแดนสวรรค์กลางไปที่ร่องสมุทร”
ไปที่ร่องสมุทร?
อี้อวิ๋นขมวดคิ้ว แม้แต่ราชาชิงหยางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดป๋ายเยวี่ยอิ๋นจึงหักหลัง แต่อาณาจักรมีดินแดนกว้างใหญ่ เหตุใดนางจึงละทิ้ง…
ป๋ายเยวี่ยอิ๋นผู้นี้เต็มไปด้วยปริศนา แต่ในเมื่อนางไปจากแดนสวรรค์กลาง เช่นนั้นเรื่องที่สำนักกระบี่สระใสยังคงอยู่ได้ก็พอเข้าใจ
“ท่านผู้อาวุโสเคยไปร่องสมุทร รู้ไหมว่าตอนนี้อาณาจักรเฉียนอยู่ส่วนใหญ่ของร่องสมุทร?” อี้อวิ๋นอยากรู้ว่าป๋ายเยวี่ยอิ๋นนำปลายกระบี่อีกครึ่งไปไว้ที่ไหน เขาสืบทอดมรดกจากราชาชิงหยาง ราชาชิงหยางถูกนางหักหลังจนสูญเสียทุกอย่างและเกือบตาย สักวันหนึ่งอี้อวิ๋นก็ควรทวงความยุติธรรมให้ราชาชิงหยาง
ชายชราพูดพร้อมหัวเราะขึ้นมาทันที “เจ้าทำลายสำนักข้าไปแล้ว ตอนนี้ยังมาถามคำถามมากมายอีก จะเกินไปแล้วนะ ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้ากับข้าเองก็ประมือกันเรียบร้อย เจ้าจงไปเสียเถอะ ตอนนี้มีข้าเพียงคนเดียว ในที่สุดก็จะได้ดื่มด่ำกับความเงียบสงบ”
ชายชราหมุนตัวเดินเข้าสู่ตำหนักทันทีที่พูดจบ
ปึก!
ประตูตำหนักปิดลง อี้อวิ๋นยืนมองประตูที่ปิดสนิทอยู่บนลานกว้าง
ชายชราผู้นี้เป็นเหมือนบ่อน้ำโบราณ เบื้องหลังความเงียบสงบของเขามีอดีตอันรุ่งโรจน์ อี้อวิ๋นส่ายหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการตอบ เช่นนั้นดึงดันที่จะถามไปก็คงไร้ผล
‘แดนสวรรค์สรรพสิ่งเป็นสถานที่ค้าขาย เราอาจได้ข้อมูลบางอย่างจากที่นั่น’ อี้อวิ๋นคิดในใจ
สุดท้ายแล้วเขาก็มองภูเขาเซียนลูกนี้แวบหนึ่ง หากชายชราไม่สนใจทุกสิ่ง เกรงว่านับจากนี้วังวิถีเจ็ดดาราของแดนสวรรค์กลางจะต้องตกต่ำลงแล้ว
………………………………………………………………………………………………….