True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1115
หลิงเสียเอ๋อร์เกิดมาหลายร้อยล้านปีจึงจะมีสติปัญญาในที่สุด แต่ตอนนี้นางกลับจะถูกฆ่า ร่างจริงจะถูกศัตรูนำไปสกัด
หลิงเสียเอ๋อร์ดิ้นรนไม่หยุด ใบหน้าเล็กๆ มีประกายหวาดกลัวถึงขีดสุด
หากร่างจริงของเชื้อเพลิงเทพมารอยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็คงไม่กลัวคนเหล่านี้ แต่ลำพังแค่ร่างทางจิตอย่างเดียวนางก็ไม่มีพลังต่อสู้ใดๆ!
“แรงเปลืองแรงเถอะ เป็นแค่ร่างทางจิตแต่คิดต่อต้านข้าหรือ? ไม่ใช่แค่เจ้า ต่อให้เทพราชาตายไป เมื่อร่างวิญญาณถูกดึงออกมาก็ต้านแส้ขังวิญญาณของข้าไม่ได้เช่นกัน!” หลิ่วหรูอี้พูดจบก็ส่งพลังปราณสายหนึ่งเข้าสู่แส้
ทันใดนั้นบนแส้ขังวิญญาณก็มีกลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ออกมา ขณะเดียวกันก็มีเสียงภูตผีร้องโหยโหว ร่างกายหลิงเสียเอ๋อร์แข็งตึงขึ้นมา
“อ้า!” หลิงเสียเอ๋อร์ร้องอุทาน
“ท่านรองประมุขหลิ่ว ร่างจิตของวิญญาณหยางนี่ต้องถูกฟาดนานแค่ไหนจึงจะตายหรือขอรับ?” อาจารย์เทียนเซียวรวบรวมความกล้าแล้วถาม เขาทรมานมามากพอแล้ว อยากรีบไปจากที่นี่
แววตาหลิ่วหรูอี้มีประกายพอใจ “แส้ขังวิญญาณของข้าคือสมบัติโบราณที่ข้าได้จากซากวัตถุโบราณแห่งหนึ่งด้วยความบังเอิญ มันมีไว้ทำลายวิญญาณโดยเฉพาะ หากเป็นวิญญาณของมนุษย์ปกติก็สังหารได้อย่างง่ายดาย แต่อย่างไรวิญญาณหยางนี้ก็เกิดจากฟ้าดิน ใช้เวลาหลายร้อยล้านปีจึงจะมีร่างทางจิต แต่ถึงกระนั้นนางก็ยืนหยัดได้ไม่นานนัก อย่างมากสุดก็สองสามวัน พวกเจ้าสองคนมาควบคุมแส้ขังวิญญาณร่วมกันกับข้า คอยใช้แส้ฟาดนางตลอดเวลา ห้ามหยุดแม้แต่วินาทีเดียว”
รองประมุขร่างเด็กสองคนนั้นพยักหน้าทันที พวกเขามองหลิงเสียเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“สกัดวิญญาณหยางเสร็จค่อยไปหาอี้อวิ๋น จากนั้นก็ผสมเข้าไปในโอสถ” เด็กน้อยพูดอย่างเย็นยะเยือก
อาจารย์เทียนเซียวมองหลิงเสียเอ๋อร์แวบหนึ่ง เขาอยากให้เด็กหญิงคนนี้สลายเป็นขี้เถ้าทั้งแต่ตอนนี้มากจริงๆ เช่นนั้นเขาจะได้ทรมานน้อยลงหน่อย
แต่ในเมื่อตอนนี้วิญญาณหยางอยู่ในมือ อี้อวิ๋นที่เผชิญกับรองประมุขวังวิถีเจ็ดดาราทั้งสามก็ยากจะหนีรอด อาจารย์เทียนเซียววางใจลงแล้ว
“อ้า! เจ็บ เจ็บมาก!”
ร่างกายเล็กๆ ของหลิงเสียเอ๋อร์ดิ้นรนไปมาพร้อมกับร้องครวญคราง ทว่าพวกหลิ่วหรูอี้กลับไม่หวั่นไหวต่อสภาพทรมานของเด็กหญิง พวกเขายังคงส่งพลังเข้าสู่แส้ขังวิญญาณ
‘ข้าจะตายแล้วหรือ…’
หลิงเสียเอ๋อร์สิ้นหวัง นางอยากขอความช่วยเหลือจากอี้อวิ๋นแต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสามคนนี้แม้แต่น้อย
หากเรียกให้อี้อวิ๋นมาก็เท่ากับทำร้ายเขาเปล่าๆ
ความเจ็บปวดที่ฝังลึกเข้ากระดูก ความรู้สึกประหนึ่งวิญญาณจะแตกซ่านทำให้หลิงเสียเอ๋อร์ทรมานจนอยากหมดสติไปตั้งแต่ตอนนี้ แต่นางกลับรู้ว่าหากนางหมดสติไปก็มีแต่จะวิญญาณแตกสลายเร็วขึ้น
เหตุใดข้าจึงไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้…คิดจะจัดการพวกเขาสามคนแต่กลับโดนเล่นงานเสียเอง…
“หืม? นังเด็กนี่ดื้อดึงไม่เบา นี่ก็ผ่านมาสามชั่วยามแล้ว ไม่พูดถึงเรื่องที่จะทรมานนางให้ตาย ตอนนี้วิญญาณนางอ่อนแอลงไม่เท่าไรด้วยซ้ำ หมัวซา หมัวเสวี่ย พวกเจ้ามาทำ!”
หลิ่วหรูอี้เช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วมอบอำนาจในการควบคุมแส้ขังวิญญาณให้ผู้อาวุโสร่างเด็กสองคน
“หึหึ ข้าอยากลองมานานแล้ว”
หมัวเสวี่ยเลียริมฝีปาหตัวเองแล้วรับแส้ขังวิญญาณมาไว้ในมือ “ดูท่านังเด็กนี่อาจยืนหยัดได้ถึงแปดเก้าวัน แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตายเร็วเกินไปก็คงไม่สนุก”
ขณะที่หมัวเสวี่ยพูดก็เริ่มใช้แส้ขังวิญญาณ แม้แต่อาจารย์เทียนเซียวก็ยังขนลุกเมื่อได้ยินเสียงของเขา ตาแก่นี่ช่างโรคจิตจริงๆ
……
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า อี้อวิ๋นไม่รู้แม้แต่น้อยว่าหลิงเสียเอ๋อร์กำลังเจออะไรอยู่ เขาจมดิ่งอยู่ในการบรรลุจนไม่รู้ว่าเวลาในโลกภายนอกผ่านมานานแค่ไหนแล้ว
ข้างกายเขามีม้วนกระดาษกองเต็มอย่างไม่รู้ตัว รอบกายมีลายอักขระและอักษรที่บันทึกในม้วนกระดาษนับไม่ถ้วนบินสว่างรอบตัวเขาเหมือนหิ่งห้อย
อี้อวิ๋นเหมือนผสานเป็นร่างเดียวกับอักษรเหล่านี้และอยู่ในมิติเดียวกัน
เขาถือม้วนกระดาษแล้วเหมือนเห็นขั้นตอนที่เทพโอสถสร้างค่ายกลนี้ขึ้นเมื่อตอนนั้น จากนั้นก็เห็นการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ของโลก เวลาผ่านไปหลายร้อยล้านปี ค่ายกลนี้ค่อยๆ ผสานเข้ากับพลังฟ้าดินของที่นี่
โอเอซิสที่เคยมีถูกพลังหยางบริสุทธิ์ทำลาย ผืนแผ่นดินถูกเผาเป็นทะเลทราย จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากค่ายกลทั้งสิ้น
อี้อวิ๋นเหมือนข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนานร่วมกันกับแผ่นดินนี้ เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งก็เข้าใจทุกอย่าง
“แบบนี้นี่เอง…เทพโอสถไม่ใช่แค่บรรลุวิถีโอสถถึงขั้นสุดยอด เขายังบรรลุวิถีแห่งการเกิดดับ ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้วิถีโอสถเป็นรากฐานในการสร้างค่ายกลเกิดดับอีกทีโดยหวังย้อนวัฎจักรเพื่อช่วยลูกสาวที่ตายไปหลายปี แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเหลว”
“หัวใจของค่ายกลนี้ก็คือสังสารวัฏภูมิวิถีหก!”
อี้อวิ๋นมองสังสารวัฏภูมิวิถีหกนี้อยู่นาน แท้จริงแล้ววิถีเกิดดับก็คือวิถีแห่งการสร้างและทำลาย!
อี้อวิ๋นฝึกกฎแห่งความโกลาหลต้นกำเนิดและกฎแห่งการทำลายล้างแบบใหญ่ ความโกลาหลต้นกำเนิดสร้างทุกสิ่งในจักรวาล ส่วนการทำลายล้างแบบใหญ่ก็คือจุดจบของสรรพสิ่ง
ท้ายที่สุดแล้ววิถีเกิดดับก็คือส่วนหนึ่งของมหาวิถีโกลาหลทำลายล้าง!
“เราใช้วิถีโกลาหลทำลายล้างมาแทนที่วิถีเกิดดับได้ ส่วนพลังฟ้าดินหยางบริสุทธิ์ก็มีผลวิถีหยางบริสุทธิ์เก้าใบ วิถีโอสถลำดับสุดท้ายก็ใช้วิชาปรมาจารย์อสูรมาทำลาย!”
“อย่างไรนี่ก็เป็นค่ายกลอายุหลายร้อยล้านปี จุดตันเถียนเรามีผลวิถีเก้าใบถึงสี่ผล ไม่เชื่อว่าจะทำลายไม่สำเร็จ”
อี้อวิ๋นมาถึงตรงหน้าหัวใจค่ายกล ดวงตาเป็นประกายเหมือนดาว
เกิดดับ วิถีโอสถ หยางบริสุทธิ์ คงมีแค่อี้อวิ๋นที่เชี่ยวชาญกฎทั้งสามในเวลาเดียวกัน
แม้ระดับยุทธ์อี้อวิ๋นจะไม่สูง แต่เขากลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการทำลายค่ายกลนี้!
“เป็นไปได้ไหมว่า…”
อี้อวิ๋นยกมือทั้งสองขึ้น น้ำวนสีดำรวมตัวขึ้นกลางมือเป็นกงล้อสีดำขนาดยักษ์
กลางกงล้อมีมารเทพวุ่นวาย นี่คือกงล้อหมื่นมารเกิดดับของอี้อวิ๋น
กงล้อหมื่นมารเกิดดับที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างยังไม่เพียงพอ อี้อวิ๋นขยับความคิด พลังโกลาหลต้นกำเนิดสายหนึ่งพุ่งออกจากต้นไม้พิภพในร่างมารวมเข้าใจกลางกงล้อหมื่นมารเกิดดับ!
พลังโกลาหลต้นกำเนิดเพียงสายเดียวก็แข็งแกร่งดุจขุนเขา กดอัดพื้นดินและแยกมหาสมุทรได้
หลังจากที่พลังโกลาหลต้นกำเนิดกับกงล้อหมื่นมารเกิดผสานเข้าด้วยกันทั้งหมด วิถีเกิดดับก็ครบสมบูรณ์
จิตใจอี้อวิ๋นจดจ่อ เขามองกงล้อหมื่นมารเกิดดับผสานเข้ากับสังสารวัฏภูมิวิถีหกของเทพโอสถ
เดิมทีวิถีเกิดดับก็เป็นหนึ่งในวิถีสายใหญ่ หากไม่มีกฎแห่งความโกลาหลทำลายล้างที่สูงกว่ามันก็คงทำลายยากเหมือนขึ้นสวรรค์
กงล้อเกิดดับกับสังสารวัฏค่อยผสานเข้าด้วยกัน ตอนนี้อี้อวิ๋นเห็นว่าเปลวไฟสีเทาที่อยู่บนสังสารวัฏภูมิวิถีหกยังคงติดอยู่ที่นี่
นี่คือเพลิงต้นกำเนิดของหลิงเสียเอ๋อร์
ครึ่งเดือนมานี้อี้อวิ๋นจดจ่อกับการศึกษาบันทึกที่เทพโอสถทิ้งไว้ ไม่ได้สนใจหลิงเสียเอ๋อร์ แม่หนูน้อยคนนี้ไปไหนแล้ว?
เขาเห็นว่าเปลวเพลิงสีเทาบนภูมิวิถีส่ายไปมาอย่างไม่มั่นคงประหนึ่งจะแตกซ่านได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้ทำให้อี้อวิ๋นใจเต้นขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้น!?
อี้อวิ๋นไม่สนใจการผสานของกงล้อเกิดดับและภูมิวิถีแล้ว เขาส่งการรับรู้ไปยังเชื้อเพลิงเทพมาร ‘เสียเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?’
อี้อวิ๋นมั่นใจประมาณหกเจ็ดส่วนว่าจะทำลายค่ายกลสำเร็จ จากนั้นก็พาหลิงเสียเอ๋อร์ไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้เขากลับตระหนักได้ว่าอาจเกิดเรื่องขึ้นกับหลิงเสียเอ๋อร์!
หลังจากที่อี้อวิ๋นถามออกไปก็ไม่มีการตอบรับอยู่นาน กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปสิบกว่าอึดใจ ข้างหูเขาจึงมีเสียงขาดๆ หายๆ อันอ่อนแรงดังขึ้น
‘พี่อี้อวิ๋น ข้าจะไม่ไหวแล้ว…’
แววตาอี้อวิ๋นมีประกายแล่นผ่าน! นี่คือเสียงของหลิงเสียเอ๋อร์!