True Martial World พิภพเทพยุทธ์ - ตอนที่ 1089
“กระบี่บรรพชนสระใส!”
“กระบี่บรรพชนสระใสจริงๆ ด้วย ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!”
กระบี่บรรพชนสระใสเป็นสมบัติประจำสำนักของสำนักกระบี่สระใส ปกติจะดูแลโดยเจ้าสำนักหรือไม่ก็ผู้อาวุโสสูงสุด ศิษย์ธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีโอกาสได้เห็น มีเพียงศิษย์ที่เป็นยอดฝีมืออย่างเจี้ยนเสี่ยวซวงกับเจี้ยนเฟิงหงที่เคยพบและมีโอกาสลองใช้
เจี้ยนเสี่ยวซวงกับเจี้ยนเฟิงหงเคยลองใช้กระบี่บรรพชนสระใสมาก่อน ตอนที่เจี้ยนเฟิงหงใช้ไม่ได้มีประสิทธิภาพโดดเด่นอะไร ไม่ต่างอะไรกับเจี้ยนปู๋อี้ผู้เป็นอาจารย์ของเขา
แต่เมื่อเจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นผู้ใช้กลับต่างออกไป นางอายุน้อยแค่นี้แต่ถูกเจี้ยนอู๋เฟิงให้ความสำคัญก็มีสาเหตุหลักมาจากการที่กระบี่บรรพชนสระใสที่อยู่ในมือนางแข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในมือเจี้ยนอู๋เฟิงหนึ่งขั้น
เรื่องนี้ทำให้เจี้ยนปู๋อี้ไม่พอใจเล็กน้อย พวกเขาศิษย์อาจารย์สองคนถูกคู่ศิษย์อาจารย์ของเจี้ยนอู๋เฟิงเอาชนะ เรื่องนี้จึงกำหนดแล้วว่ากระบี่บรรพชนสระใสจะตกทอดสู่เจี้ยนเสี่ยวซวงเป็นคนต่อไป
แต่แน่นอนว่าแม้เจี้ยนปู๋อี้จะไม่พอใจก็มองภาพรวม ยังไม่ถึงขั้นทำเรื่องเกินเลยเพื่อชิงกระบี่บรรพชนสระใส
“สหายน้อยอี้อวิ๋น ข้ายืมกระบี่บรรพชนสระใสนี้ให้เจ้าลอง ภายในกระบี่มีพลังอันยิ่งใหญ่ผนึกไว้ หากไม่ใช่อัจฉริยะกระบี่ก็ไม่อาจใช้”
กระบี่บรรพชนสระใสพุ่งมาหาอี้อวิ๋นเมื่อเจี้ยนอู๋เฟิงพูดจบ
แปะ!
อี้อวิ๋นคว้าด้ามกระบี่ไว้อย่างมั่นคง เมื่อกระบี่บรรพชนสระใสตกสู่มือก็สัมผัสถึงความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่ยากจะบรรยายทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือกระบี่ชั้นยอด แต่อี้อวิ๋นกลับสัมผัสถึงความรู้สึกไม่สมบูรณ์ได้รางๆ จากกระบี่ เสมือนว่ากระบี่เล่มนี้เคยเสียหายอย่างหนัก
“กระบี่นี่…”
อี้อวิ๋นครุ่นคิดชั่วครู่ เขารู้สึกรางๆ ว่ากระบี่นี้มีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมากเพราะมันเป็นสมบัติประจำสำนักกระบี่สระใส
เมื่อถือกระบี่บรรพชนสระใสไว้ในมือ อี้อวิ๋นก็รู้สึกว่าเจตนากระบี่ในร่างโหมซัดสาดขึ้นมา
“สหายน้อยอี้อวิ๋น บนแท่นคอยกระบี่นี้มีค่ายกลลองกระบี่อยู่ ค่ายกลนี้สำนักกระบี่สระใสของเราเจอจากซากวัตถุโบราณแห่งหนึ่ง มีปรมาจารย์ค่ายกลหลายรุ่นซ่อมบำรุง จนถึงวันนี้ก็นับเป็นค่ายกลอันเลิศล้ำ”
“ค่ายกลลองกระบี่จะใช้งานคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ถือเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง ทั้งเจตนากระบี่และกฎที่ผู้ใช้ค่ายกลบรรลุล้วนสะท้อนออกมาบนร่างแยกกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ให้ใช้ร่างแยกกระบี่มาสู้ก็เพราะหนึ่ง ค่ายกลกับร่างแยกมีพลังเท่ากัน เมื่อต่อสู้จึงเป็นการยุติธรรม สอง เพราะสามารถแสดงวิถีกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะบาดเจ็บ”
เจี้ยนอู๋เฟิงพูดแนะนำแท่นคอยกระบี่ หากอี้อวิ๋นแค่แสดงกระบวนท่ากระบี่อย่างเดียวก็คงมองความแข็งแกร่งไม่ออก ดังนั้นจึงต้องมีคู่ต่อสู้
“เช่นนั้นผู้ใช้ค่ายกลนี้…” เจี้ยนอู๋เฟิงกำลังอยากเลือกคนมาใช้ค่ายกลคู่กับอี้อวิ๋น แต่ในตอนนี้เองที่เจี้ยนเฟิงหงเดินออกมาพูดว่า “ท่านเจ้าสำนักอาจารย์ ศิษย์ยินดีใช้ค่ายกลลองกระบี่ขอรับ”
“โอ้?”
เจี้ยนอู๋เฟิงมองเจี้ยนเฟิงหง อานุภาพของค่ายกลลองกระบี่ขึ้นอยู่กับวิถีกระบี่และความเข้าใจด้านกฎของผู้ใช้ ไม่เกี่ยวข้องกับระดับยุทธ์มากนัก
เจี้ยนเฟิงหงฝึกกระบี่มาสี่ร้อยกว่าปี มีผลสำเร็จด้านวิถีกระบี่ที่ไม่เลว เหมาะที่จะเป็นผู้ใช้
“ได้”
เจี้ยนอู๋เฟิงตอบตกลง
จากนั้นเขาก็โบกมือ ริมแท่นคอยกระบี่มีแท่นกระบี่เก้าดาราปรากฏขึ้น บนแท่นมีอักขระสลักอยู่เต็มและมีกระบี่เก้าเล่มปักอยู่รอบๆ
เจี้ยนเฟิงหงมองแท่นกระบี่เก้าดาราแล้วมองมาทางอี้อวิ๋น มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ
เป็นธรรมดาที่คนเราจะมีใจอิจฉา เจี้ยนเฟิงหงไม่ใช่คนไม่ดี แต่เจ้าสำนักกระบี่สระใสชมคนที่อายุน้อยกว่าเขาต่อหน้าศิษย์น้องที่เขาชอบเช่นนี้ หากเจี้ยนเฟิงหงไม่ใช่นักบุญก็ย่อมไม่พอใจอยู่บ้าง
แท่นคอยกระบี่เป็นโอกาสอันดี เขาอยากลบรัศมีของอี้อวิ๋น
เจี้ยนเฟิงหงชักกระบี่คู่ของตัวเองออกมาและยืนบนแท่นกระบี่เก้าดารา เขาหันมามองอี้อวิ๋น “ขึ้นแท่นกระบี่เถอะ แสดงพลังทั้งหมดของเจ้าออกมา อย่าโทษว่าข้ารังแกเด็ก ในเมื่อท่านเจ้าสำนักอาจารย์อาให้ความสำคัญกับเจ้าถึงเพียงนี้ก็คงมีความสามารถอยู่บ้าง ข้าเองก็จะไม่ออมมือเช่นกัน”
“ข้าไม่ต้องการแท่นกระบี่” อี้อวิ๋นตอบเรียบๆ คำพูดนี้ทำให้เจี้ยนเฟิงหงเลิกคิ้วขึ้น “อะไรนะ?”
“ข้าคุ้นชินกับการสู้ด้วยตัวเองมากกว่า” ขณะที่อี้อวิ๋นพูดก็เดินเข้าสู่กลางแท่นลองกระบี่
“สู้ด้วยตัวเอง?”
เจี้ยนเฟิงหงขมวดคิ้ว ในการต่อสู้ของจอมยุทธ์ นอกเสียจากว่าพลังจะต่างกับมากแบบอี้อวิ๋นกับเจี้ยนเสี่ยวซวงที่ดูผลแพ้ชนะได้อย่างง่ายดายจากอานุภาพในกระบวนท่ากระบี่ของอี้อวิ๋น หากจะแบ่งผลแพ้ชนะในกรณีที่พลังใกล้เคียงกันจึงเป็นไปได้มากว่าจะมีฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บ
เจี้ยนเฟิงหงใช้ร่างแยกกระบี่ แต่อี้อวิ๋นจะสู้ด้วยตัวเอง ต่อให้เจี้ยนเฟิงหงแพ้ก็ไม่บาดเจ็บ แต่อี้อวิ๋นกลับไม่เป็นเช่นนั้น หากเขาบาดเจ็บเพราะปราณกระบี่ก็อาจถึงขั้นต้องนอนพักเป็นครึ่งเดือน
“เจ้าจะสู้ด้วยตัวเอง ข้าเองก็อยากทำเป็นเพื่อนเจ้า แต่ระดับยุทธ์ของข้าสูงกว่าเจ้าไปไกล รากฐานก็ลึกล้ำกว่า หากสู้ด้วยตัวเองก็ยากที่จะระงับระดับยุทธ์ให้เหมือนกับเจ้า ข้าขอใช้ร่างแยกกระบี่ที่ระดับยุทธ์เท่ากันกับเจ้ามาสู้ดีกว่า เช่นนี้จะได้ยุติธรรม แต่ข้าขอเตือนก่อนว่าจะไม่ออม หากบาดเจ็บหนักก็อย่าได้โทษข้า”
เจี้ยนเฟิงหงไม่พอใจในคำตอบที่ไม่ใส่ใจของอี้อวิ๋น เขาวางแผนจะให้อี้อวิ๋นประสบความยากลำบาก
วินาทีต่อมาก็มีแสงสีขาวห่อหุ้มลงมา เงาร่างของเจี้ยนเฟิงหงหายเข้าสู่ภายใน
ขณะเดียวกัน ศิษย์สำนักกระบี่สระใสที่เดิมที่อยู่ห่างอี้อวิ๋นไปหลายสิบจั้งก็เหมือนถูกดึงออกไปไกลอย่างฉับพลัน ในดวงตาเหลือเพียงเงาร่างขนาดเล็ก กำแพงหินที่เดิมที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าแท่นคอยกระบี่ก็เป็นแบบเดียวกัน รอบตัวอี้อวิ๋นกว้างโล่งขึ้นมาชั่วขณะ
บนแท่นคอยกระบี่อันกว้างโล่งมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น นี่คือร่างแยกที่เกิดจากปราณกระบี่ คือตัวเจี้ยนเฟิงหงนั่นเอง
ศิษย์ทุกคนในสำนักกระบี่สระใสต่างมองภาพนี้ พวกเขาต่างจำอานุภาพที่เจี้ยนเฟิงหงใช้ค่ายกลลองกระบี่ได้ดีเหมือนใหม่ อย่างไรเจี้ยนเฟิงหงก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ เป็นผู้คุมการทดสอบมาหลายครั้ง ทั้งเขายังเป็นคนเข้มงวด หลายคนถูกเขาจัดการบนแท่นคอยกระบี่นี้จนสะบักสะบอม มีเพียงศิษย์น้องเสี่ยวซวงที่จะได้การดูแลหลายอย่างเมื่อสู้กับเขา
“ท่ากระบี่ของเจ้าล่ะ? ข้าจะโจมตีแล้วนะ!” เจี้ยนเฟิงหงเตือนอี้อวิ๋นก่อนที่โจมตี นับว่ามั่นใจไม่เบา
ตอนนี้บนร่างอี้อวิ๋นไม่มีพลังแต่อย่างใด การประมือของจอมยุทธ์มักทำการสะสมพลังให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดก่อน บางครั้งลำพังแค่พลังที่สะสมนี้ก็ตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว
อี้อวิ๋นไม่สะสมพลัง การโจมตีหลังจากนี้ของเขาย่อมด้อยกว่าตอนที่สะสมมาก
“สะสมพลังหรือไม่สะสมก็เป็นเรื่องของข้า เจ้าจะสนใจไปทำไม ตลอดเวลาหลายปีที่ข้าฝึกวรยุทธ์มานี้ก็สู้กับคนระดับเดียวกันน้อยมาก แค่สู้กับคนระดับเดียวกับ ทำไมต้องสะสมพลังด้วย?”
หลายสิบปีที่อี้อวิ๋นฝึกยุทธ์มานี้ก็ไม่รู้สู้กับคนที่ระดับสูงกว่ามาแล้วกี่ครั้ง น้อยครั้งมากที่จะสู้กับคนระดับเดียวกัน สาเหตุเป็นเพราะมีไม่กี่คนในระดับเดียวกันที่ถูกอี้อวิ๋นเรียกว่าเป็นคู่ต่อสู้ได้