Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ - ตอนที่ 63 วิชาบ้าอะไรกัน
Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 63 วิชาบ้าอะไรกัน
“ดูนั่นสิเจ้าคะ องค์ชายเตชินท์ได้แสดงความสามารถออกมาเป็นครั้งแรก นี่คือปราณอาคมเดือนดับของ
ราชวงศ์นิรันดร์กาลเป็นแน่ ไม่นึกว่าอดีตองค์หญิงของนิรันดร์กาลที่ไปอภิเษกสมรสกับองค์ประมุขของเมืองอนันต์ จะถ่ายทอดปราณพิเศษนี้ให้แก่องค์ชายเตชินท์ด้วย ว้าว ปราณอาคมเดือนดับช่างสุดยอดสมกับชื่อเสียงนะเจ้าคะ ตรงจุดผิวหนังที่เกิดสีดํามันดูดซับแรงโจมตีได้ทั้งหมดเลย แถมยังนําพลังโจมตีนั้นกลับมาเสริมพละกําลังให้ตัวเองนําไปใช้ตอบโต้ได้เลย”
จากนั้นพิธีกรสาวก็หันไปบรรยายการต่อสู้ของเนตรกัญญากับทีมนาคราชต่ออย่างได้อรรถรส แต่เพียงเท่านี้ตัวแทนจากเมืองอนันต์และเมืองนิรันดร์กาลก็ถือว่ามีหน้ามีตาอย่างมากแล้ว
“เจ้าเรียกควันดําร้ายกาจนั่นกลับมาก่อนจะดีกว่า”
เหนือภพคิดว่าเขาต้องจัดการที่ต้นตอของปัญหาเสียก่อน เฮงเฮงถึงจะรอดไปได้
“แล้วถ้าข้าไม่เรียกล่ะ”
สางลําไพรแกล้งพูดยียวนเช่นนั้นโดยไม่ให้เหนือภพจับได้ว่ากลุ่มวิญญาณวนเวียนอยู่เหนือการควบคุมของเธอแล้ว พวกมันคลั่งมากเกินไป
ทว่าเหนือภพกลับจ้องมองสางลําไพรด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เหมือนคนที่อยากจะต่อสู้สักนิด เขายกมือขวาขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงทักทาย ขณะที่มือซ้ายลอบกําแน่น เขาถอนหายใจเสียงดังก่อนจะชวนสาวคุย
“เจ้านะโชคดีแค่ไหนแล้วที่จับคู่กับข้า ข้านะเป็นคนอ่อนโยน ไม่คิดเล็กคิดน้อย สู้ไปก็เปลืองเงินค่ายาเสียเปล่าๆ เรามาตกลงกันแบบสันติดีไหม”
สางลําไพรขมวดคิ้ว เขาเป็นคนยังไงกันแน่ ก่อนการต่อสู้มีคนบอกกับเธอว่าให้ระวังเหนือภพเอาไว้ เขาเป็นคนที่กลิ้งกลอกหากเผลอหรือเปิดโอกาสให้เพียงเล็กน้อยคนที่จะพ่ายแพ้ก็คือเธอ
ยิ่งเธอเห็นสร้อยเงินแกะสลักกับสร้อยโลหะบนคอพญานาคที่กําลังไล่ล่าทศพลอยู่ ก็ทําให้เธอเริ่มมั่นใจว่าสิ่งที่เธอได้ยินมาเป็นความจริง ทีมมือปราบหลวงไม่ใช่ทีมไร้ความสามารถที่จะถูกจัดการได้โดยง่าย แต่พวกเขาก็ยังถูกทีมชื่อยาวเหยียดนี่ชิงสร้อยมาได้ ดังนั้น สางลําไพรจึงมีท่าที่ระแวดระวัง แม้เธอจะมีพละกําลังไม่โดดเด่น แต่เธอก็มีไม้เด็ดมากมาย เธอไม่เชื่อว่าจะรับมือเหนือภพไม่ได้
“ก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้อยากสู้นักหรอก มีแต่พวกป่าเถื่อนเท่านั้นแหละที่จะทําแบบนั้น”
สางลําไพรยิ้ม เธอเก็บมีดหมอที่ถือไว้ก่อนจะหาที่เหมาะๆ นี้ นั่งลง แล้วก็หยิบเอากระดานชนวนในถุงย่ามของตัวเองออกมาขีดเขียนอะไรบางอย่าง
เหนือภพรู้สึกคาดไม่ถึง ตอนแรกเขาคิดว่าเธอน่าจะอันตราย เพราะสังเกตจากท่าทีของไร้ชื่อ ไร้ชื่อมักโจมตีคนที่แสดงท่าที เป็นปฏิปักษ์ก่อนเสมอ แต่การกระทําของเธอในตอนนี้กลับทําให้เขางงงวยและก็หวาดระแวง
มือที่กําแน่นของเขายังคงกําต่อไปเพื่อรวบรวมกําลังให้ได้ระดับสูงสุด
“เจ้าคิดทําอะไร”
“ดูดวงตัวเอง ถึงข้าจะไม่ชอบขี้หน้าเจ้า อยากฆ่าเจ้าให้ตาย แต่ข้าก็สู้เจ้าไม่ได้อยู่ดี สู้ไปก็เปล่าประโยชน์ เห็นไหม วันนี้ดวงข้าซวยเห็นๆ ดาวอริดันมากดทับซะได้”
สางลําไพรกล่าวตัดพ้อกับตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอเธอหมุนกระดานชนวนที่คํานวณดวงของตัวเองออกมาให้เหนือภพดู เห็นชัดว่าเธอไม่ได้โกหก เพราะตอนเหนือภพได้อยู่กับพระอาจารย์ก็เคยมีโอกาสได้ร่ําเรียนการอ่านกระดานชะตามาบ้างจึงพอเข้าใจได้
เนื้อแท้ของเหนือภพเป็นคนใจอ่อน และจิตใจดี เมื่อเขาเห็นว่าเป้าหมายไม่ได้คิดร้าย แถมเป็นแค่การแข่งขัน ไม่จําเป็นต้องจริงจังขนาดฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง เขาจึงคลายกําปั้นที่กําเอาไว้ออก แต่ผลลัพธ์ของการคลายกําลังระดับ 12 นั้นมันมากเกินกว่าที่เหนือภพจะเข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสลายกําลังระดับ 12 ที่ผ่านมาเขาเคยสลายกําลังระดับ 6 มาก่อน มันจะรู้สึกเหนื่อยเล็กๆ โดยที่ไม่ได้เกิดปัญหาอะไร แต่เศษเสี้ยวพละกําลังระดับ 12 ที่ถูกบีบบังคับให้สลายไปนั้นเมื่อกระจายออกไปมันก็ทําลายพื้นรอบตัว เหนือภพจนแตกร้าวเป็นใยแมงมุม แตกเปรี้ยะกินรัศมีรอบตัวเหนือภพถึงสองเมตร
รอยร้าวเหล่านี้สร้างความตกใจให้แก่สางลําไพรจนดินสอพองในมือที่กําลังขีดเขียนคํานวณดวงชะตาแตกหักคามือ เธอรู้สึกว่าตัวเองคิดถูก เพียงแค่เหนือภพสลายพลังนั้นยังสร้างความเสียหายได้ถึงเพียงนั้น หากมันถูกใช้กับเธอไม่อยากจะคิดเลยว่าเธอจะเป็นเช่นไร
เหนือภพแบมือไปข้างหน้า มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนจะข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี
“ส่งสร้อยของเจ้ามา แล้วข้าจะตัดสินใจอีกทีว่าจะทําอะไรกับเจ้า”
โดยธรรมชาติของคนเราเมื่อต้องเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ถ้าอยากมีชีวิตรอด นอกจากจะหนีก็มีเพียงยอมจํานน จึงจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ แน่นอนว่าสางลําไพรก็เป็นเช่นนั้น เธอไม่อยากเจ็บตัว เธอไม่ชอบเปลืองแรงกับการต่อสู้
เธอกระตุกสร้อยหินแร่มากําไว้ในมือ สายตาอาลัยอาวรณ์และเสียดายเป็นอย่างมาก เพื่อนร่วมทีมอย่างทศพลเห็นดังนั้นก็ร้องตะโกนขัดขวาง แต่เขาจะทําอะไรได้ในเมื่อสภาพของเขาก็ไม่ได้ดีนัก เพราะเขายังคงพัวพันอยู่กับพญานาคโดยไม่อาจสลัดหลุดได้ ส่วนองค์ชายเตชินท์ก็ไม่ได้มีแม้เศษเสี้ยวความหวังที่สางลําไพรจะพึ่งพาได้
เหนือภพยิ้มกว้างเมื่อสร้อยหินแร่ถูกโยนมา เขารับมันขณะตั้งใจจะส่งสัญญาณให้ทุกคนถอนตัว ทว่ายังไม่ทันที่เหนือภพจะได้พูดอะไร เขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ด มือขวาที่กุมจับสร้อยหินแร่กระตุกรุนแรงราวกับถูกสายฟ้าฟาด
ดวงตาของเหนือภพเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นว่ามือขวาของตนกําลังถูกภูตผีสีดําทะมึนกําลังบีบกดข้อมือของเขา กระแสไฟฟ้าสีดําที่อยู่บนตัวพวกมัน พุ่งซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทําให้ร่างกายของเหนือภพอ่อนแรงจนทรุดตัวล้มลงคุกเข่าอย่างไม่อาจต่อต้านได้
“นี่มันวิชาบ้าอะไรกัน”
เหนือภพกัดฟันกรอด พลางหวนคิดถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง เขาพลาดตรงไหนแต่ยังคิดไม่ออก เสียงสวดภาษาบาลีดังต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สางลําไพรก้าวย่างเข้ามาหาเขา
“โสภะคะวา อะทิสะมานิ อุเทยยัง…..อานังคัจฉันติๆ หมัด ธนูมือ !”
พลั่ก !
กําปั้นเล็กนวลเนียนของเด็กสาววัยเพียงสิบแปดปี ยามเมื่อปะทะเข้ากับใบหน้าแข็งๆของเหนือภพมันช่างรุนแรงจนเหนือภพต้องกัดฟันแน่นเลือดกบปาก ร่างกายของเขากระเด็นกระดอนกลิ้งตลบไปกับพื้นนับสิบเมตร
เหนือภพลอบกลืนเลือดลงคอ แต่กลิ่นคาวตลบอบอวลนั้นไม่ได้ ทําให้เหนือภพมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสบายๆแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ขณะปัดฝุ่นที่ติดตามตัวอย่างลําบากเล็กน้อย เพราะภูตผีสีดํายังไม่คลายตัวจากมือของเขา
“อู้ว สนุกดีนะ”
“นี่เจ้า หนังหนานักนะ”
สางลําไพรประหลาดใจมาก หมัดธนูมือของเธอเป็นหนึ่งในคาถาที่ผู้ไร้พรสวรรค์สามารถเรียนรู้ใช้งานได้เพียงแค่มีจิตที่ตั้งมั่น บริกรรมคาถาได้ถูกต้องครบถ้วนก็เพียงพอ แต่ว่าความรุนแรงของมันขึ้นอยู่กับระดับปราณอาคมที่อยู่ในร่างกาย ดังนั้นผู้มีพรสวรรค์ย่อมได้เปรียบอยู่วันยังค่ํา แต่เธอไม่คิดเลยว่าผู้ชายไร้ยางอายคนนี้ จะถูกทนขนาดนั้น นี่หมัดธนูมือของเธอทําอะไรเขาไม่ได้เลยหรือ
เหนือภพยังคงแสดงท่าที่ไม่ยี่หระ ทั้งๆที่ภายในใจของเขากําลังปั่นป่วน เธอเป็นสาวน้อยที่ไม่ธรรมดาเลย หมัดของเธอไม่สามารถทําให้เขามีรอยขีดข่วนได้ก็จริง แต่เขารู้สึกได้ว่าภายในของเขากําลังบอบช้ํา
เหนือภพเกร็งกล้ามเนื้อ พยายามควบคุมสติเพื่อชักนํากระแสอาคมจากเหล็กไหลราชันย์พิภพออกมาทะลวงพันธนาการของภูตผี แต่ว่าพลังเพียงแค่ 10% มันไม่เพียงพอที่จะทําเช่นนั้น หนําซ้ําผ้าประเจียดของพระอาจารย์ที่ถูกลงอาคมเอาไว้ ยิ่งใช้ก็ยิ่งเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา มันเป็นไปตามธรรมชาติ สรรพสิ่งย่อมมีอายุขัย ดังนั้นในตอนนี้มันจึงไม่ใช่วัตถุอาคมที่คงฤทธิ์เฉกเช่นเดิม จนกว่ามันจะได้รับการปลุกเสกอีกครั้ง เขาใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าสัมภาระของตัวเองอย่างยากลําบาก เสมือนมีแรงมหาศาลฉุดรั้งไม่ให้เขาทําตามใจ
ไม่ว่าเหนือภพจะแสร้งทําเป็นผ่อนคลายเช่นไรก็ตาม สางลําไพรก็ไม่ยอมชักช้าอีกต่อไป เธอทั้งเสกคําสาปใส่สายสร้อย ทั้งใช้หมัดธนูมือ แต่ก็ยังล้มเหนือภพไม่ได้ เธอจะต้องรีบปิดฉากการต่อสู้
“อมโคโน งัวทะนู …. อมสวาหะ”
เหนือภพหน้าเปลี่ยนสีเมื่อได้ยินคําศักดิ์สิทธิ์หลุดออกมาจาก ปากสางลําไพร มือซ้ายของเขารีบคว้าจับมีดหมอในถุง ยังไม่ทันที่เขาจะชักมันออกมา วัวธนูเรือนกายใหญ่โตสีดําทมิฬก็พุ่งเข้ามาหาเขาเสียแล้ว
“เห้ย”
วัวธนูสีดําตัวขนาดบ้านหลังย่อมๆ ผิวหนาดํามะเมื่อม เขาแหลมสองข้างยาวโง้งออกมาคล้ายกับแท่งโลหะมันวาว และควันร้อนที่พุ่งออกจากจมูกของมันยิ่งขับเน้นการข่มขวัญศัตรูยามมันก้มหัวลง พุ่งปลายเขาออกไปหาเหนือภพแล้วก็วิ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดพื้นดินสั่นสะเทือน เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ได้ยินเสียงนั้นร่างของเหนือภพก็ถูกวัวธนูขวิดกระเด็นลอยขึ้นเหนือฟ้าในทันที
ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของเหล่าผู้ชมที่จับจ้องไปยังการแข่งขันในครอบแก้ว สถานการณ์ทางด้านมหาวิหารพลิกกลับแล้ว เห็นได้ชัดว่าทีมนิรันดร์กาลกําลังได้เปรียบ วิชาไสยเวทย์ของสางลําไพรเป็นวิชาที่หาผู้ต่อกรได้ยาก แม้แต่ปราณอาคมทั่วไปของผู้มีพรสวรรค์ยังแทบไม่ใช่คู่ปรับของนาง นับประสาอะไรกับผู้ไร้พรสวรรค์ที่ไม่มีแม้ปราณอาคมในร่างกาย ทําให้ยากที่จะต่อต้านไสยเวทย์ได้ ถ้าไม่มีวัตถุอาคมป้องกัน
เหนือภพที่ลอยอยู่กลางอากาศใช้มือซ้ายตวัดมีดหมอตัดไปยังข้อมือขวา เพื่อทําร้ายพวกภูตผีที่สะกดตรึงมือของเขาไว้ มีดหมอของพระอาจารย์ถูกลงอาคมขั้นสูงหลายบท มีอานุภาพที่สามารถปราบภูตผีได้
“กรี้ดดดดด”
เสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมานของวิญญาณดังขึ้นในระยะเผาขนจนเหนือภพหูอื้อ ก่อนจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เหนือภพเมื่อกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ ก่อนที่เขาจะตกถึงพื้น เขาก็บิดตัวม้วนกลับเพื่อที่จะตกลงไปในท่วงท่าที่สวยงาม แต่ว่าความเร็วของวัวธนูนั้นไม่ต่างจากลูกธนูเลย มันเคลื่อนตัวเร็วมากจนสายตาของเขาแทบจับไม่ทัน
ทันทีที่ขาทั้งสองข้างของเขาแตะพื้น กําชับมีดหมอที่อยู่ในมือจนแน่น แต่ยังไม่ทันฟาดออกไป วัวธนูก็พุ่งชนเข้าที่ท้องของเขาอย่างจัง
พลัก !
เสียงของแข็งปะทะเข้ากับก้อนเนื้อดังก้องอย่างน่าหวาดเสียว หากเป็นนักสู้ทั่วไปคงไส้ทะลักสิ้นชีพไปแล้ว แต่เหนือภพกลับไม่ใช่เช่นนั้น ผิวหนังของเขาหนาและแข็งแรงมาก หากเลิกชายเสื้อของเขาขึ้นมาจะเห็นได้ว่ามีเพียงจุดแดงๆสองจุดที่เกิดจากปลายเขาเท่านั้น แต่ความรุนแรงนี้ทําให้น้ําในท้องของเหนือภพแทบจะทะลักย้อนกลับออกมา ร่างกายของเขาลอยคว้างกระเด็นกระดอนไปกับพื้น สภาพดูไม่จืด มีดหมอที่เคยกําชับแน่นกลับกระเด็นหายไปเสียแล้ว
เหนือภพนิ่งไปชั่วขณะ จุกจนไม่อาจเสแสร้งทําท่าผ่อนคลายได้อีกแล้ว
“อันตรายเกินไปแล้ว”