Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ - ตอนที่ 39 จัดหนักเจ็ดวันเจ็ดคืน
“มีอะไรรึอังกาบ หาคนไม่ได้หรอ ที่นี่คือหอร้อยบุปผา มีผู้หญิงมากมายนับร้อยจะหาสักคนที่ร่วมหลับนอนกับศิษย์น้องข้ามันยากขนาดนั้นเชียวหรือ”
ทานธรรมพูดจบก็หันไปมองหน้าสาวสวยผู้เป็นจ้าวตึกบุปผาที่ทรงอิทธิพลเหนือหอนางโลมทุกแห่งในละแวกนี้ เธอเลิกคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่าเธอเองก็แปลกใจเช่นกัน
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้หญิง”
อังกาบพูดเสร็จก็เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ทานธรรม
“แล้วมันอยู่ที่อะไร ถ้าเป็นเรื่องเงินล่ะก็ เท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง ขอเพียงช่วยศิษย์น้องข้าได้ก็พอ”
“มันก็ไม่ใช่อีก”
“แล้วมันอะไรก็รีบ ๆ บอกมาสิ”
“ร่างกายของศิษย์น้องท่านร้อนเป็นไฟเลย หญิงคณิกาที่นี่ล้วนเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ที่อ่อนแอ แค่จะแตะต้องตัวศิษย์น้องของท่าน พวกนางยังบอกว่าร้อนจนผิวจะสุกหมดแล้ว”
อังกาบรู้สึกหงุดหงิดคิดไม่ตกว่าควรจะทำเช่นไร ถ้ายังแก้ฤทธิ์ว่านกระทิงคลั่งไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงการรักษากระดูกและบาดแผลเลย เพราะคงไม่มีหมอคนไหนแตะต้องเหนือภพได้ในตอนนี้
จ้าวตึกบุปผาได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหล
“ศิษย์น้องท่านเป็นอะไรหรือคะ ข้าพอจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า”
เมื่อทานธรรมเล่าเรื่องเกี่ยวกับว่านกระทิงคลั่งให้เธอฟัง เธอก็เอา ตำราจอมปราชญ์ ออกมาเปิดดู ใช้เวลาไม่นานเธอก็พบคำตอบว่าวิธีแก้ว่านกระทิงคลั่งนั้นมีเพียงแค่วิธีเดียว ก็คือการสมสู่แบบชายหญิง
แต่มันไม่ง่ายเลย ว่านกระทิงคลั่งมันเพิ่มกำลังให้มากก็จริง แต่หากกินมากเกินไปก็ต้องแลกกับอาการเจ็บปวดที่แสนสาหัส จนถึงขั้นหมดสติ ว่านชนิดนี้ไม่ได้ทำให้เกิดอารมณ์ใคร่จนอวัยวะเพศแข็งตัวเพียงอย่างเดียว ผลลัพธ์ของมันไม่เหมือนว่านราคะอื่นๆ ตรงที่จะมีอารมณ์มากจนอาจขาดสติปลุกปล้ำผู้อื่น เมื่อเสร็จกิจก็จะสิ้นฤทธิ์ไปเอง และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ หากใช้มากเกินไปร่างกายจะร้อนดุจเหล็กที่ถูกไฟเผา ยากมากที่จะหาคนมาร่วมรัก หากไม่รักกันจริงหรือไม่มีความอดทนมากพอ ผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะต้องตายเพราะถูกความร้อนเผาผลาญร่างกาย
เหนือภพนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียง ตัวของเขาเป็นสีแดงก่ำ ดูร้อนแรงและอันตราย ทุกครั้งที่ใช้ผ้าชุบน้ำแตะบนตัวเขาก็จะเกิดเสียงดังซ่า น้ำในผ้าระเหยไปในทันทีราวกับโดนเตารีดร้อน
“ให้ข้าทำเถอะ”
“พวกข้าด้วย”
กลิ่นแก้ว ใบหลิว และแตงทองต่างพากันเข้ามารุมล้อมอังกาบ พวกเธอรีบมาในทันทีเมื่อทราบข่าวของเหนือภพ พวกเธอต้องการช่วยเขาเนื่องจากพวกเธอนั้นแตกต่างจากสายลับทั่วไปของตึกบุปผา แม้จะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี มีโอกาสได้กินเนื้อพิเศษเพื่อเสริมร่างกายให้แข็งแกร่งทำให้ทนทานกว่าสตรีในหอคณิกาทั่วไป
อย่างน้อยชายคนนี้ก็เคยช่วยชีวิตพวกเธอไว้ แม้เขาจะโกหกพวกเธอว่าเป็นจ้าวตึกทานธรรม แต่โกหกก็โกหก บุญคุณก็คือบุญคุณ ต้องแยกเรื่องนี้ให้ชัดเจน
เมื่ออังกาบพอได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าพาคนอื่นออกไป โดยทิ้งเหนือภพไว้กับสามสาว ในขณะที่เธอกำลังจะเดินกลับก็สวนทางกับทานธรรมและจ้าวตึกบุปผาคนใหม่ เธอโบกมือให้หญิงสาวพราวเสน่ห์อย่างเป็นกันเอง
“จะกลับแล้วหรอพราวจันทร์ คราวหน้าถ้าว่างก็มาเยี่ยมพวกพี่อีกนะ”
พราวจันทร์แย้มยิ้มแล้วก็ค้อมหัวให้อังกาบนิด ๆ อย่างสง่างาม
“ค่ะพี่สะใภ้ ว่าแต่เรื่องปวดหัวของพี่เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คนจากตึกของเจ้ามารับอาสาช่วยแล้ว จากนี้ก็คงทำได้แค่รอเท่านั้น”
พราวจันทร์ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเรื่องนี้มันถึงกวนใจเธอ หรือจะเป็นเพราะศิษย์น้องของพี่ชายบุญธรรมที่ชื่อภพคนนั้น อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะว้าวุ่นใจเช่นไร แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงดูเย้ายวนอยู่เช่นเดิม
“พี่คะ ศิษย์น้องของพี่ชื่ออะไรคะ”
พราวจันทร์เอียงแก้มน้อย ๆ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองทานธรรมราวกับกำลังยั่วเย้า
“เหนือภพน่ะ”
เมื่อคำตอบหลุดออกจากปากของทานธรรม แววตาของพราวจันทร์ก็สั่นไหวในทันที เธอชะงักเงียบไปพักใหญ่ แต่ทานธรรมก็ไม่ได้สนใจเธอ เขาเดินตรงเข้าไปหาอังกาบราวกับหนุ่มน้อยที่ชอบป้อยอสาว
อร๊าาา…
โอ๊ยยย…
อูย…
เสียงครวญครางของสามสาวดังออกมาถึงข้างนอกเลยทีเดียว อังกาบกับทานธรรมหันมายิ้มให้กันอย่างยินดีแล้วก็โอบเอวกันเดินจากไป ส่วนพราวจันทร์นั้นยังคงยืนนิ่ง สายตามองตรงไปยังทางเดินข้างหน้า แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่ามือเรียวงามทั้งสองที่กุมกันอยู่บริเวณหน้าท้องของเธอกำลังสั่นไหวอย่างคุมไม่อยู่ กำไลข้อมือทั้งสองข้างกระทบกันจนเกิดเสียงกรุ้งกริ๊งเบา ๆ
“ข้าลืมไป ข้ามีธุระที่อื่นต่อ ขอลาพี่และพี่สะใภ้ตรงนี้นะคะ”
พราวจันทร์ย่อกายถอนสายบัวอย่างแช่มช้อย แล้วก็หมุนกายจากไปในทิศทางตรงกันข้าม ทานธรรมเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
“เป็นอะไรของเขากัน เจ้าน้องคนนี้”
“เธอเพิ่งจะได้รับตำแหน่งจ้าวหอบุปผาไม่นาน ก็คงมีเรื่องมากมายให้สะสาง ว่าแต่ท่านเถอะ ท่านจะยืนตรงนี้อีกนานเท่าไหร่”
อังกาบหน้าแดงขณะกระตุกแขนของทานธรรม ทานธรรมเห็นท่าทางเช่นนั้นเขาก็อุ้มอังกาบขึ้นมาแนบชิด จากนั้นก็พากันหายลับเข้าไปยังห้องที่จองไว้เป็นพิเศษ
เมื่อทานธรรมและอังกาบจากไปแล้ว พราวจันทร์ก็กลับมาปรากฏกายอยู่หน้าห้องของเหนือภพ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวนี้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะหอร้อยบุปผาร้างผู้คนหรือมีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดี แต่เป็นเพราะว่านายเหนือหัวของผู้คนที่นี่ก็คือเธอ ‘พราวจันทร์’ แม้ที่นี่จะไม่ใช่ตึกบุปผา แต่ด้วยอิทธิพลของเธอ มันก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
แอ๊ดดด
ประตูหน้าห้องเปิดกว้างโดยมีพราวจันทร์ยืนกุมมือเด่นอยู่ตรงกลางประตู ชุดสีแดงสดของเธอแผ่ออกอย่างงดงาม ช่างแตกต่างกับใบหน้าของเธอยิ่งนัก ดวงตาของเธอฉายแววดุดัน ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างระงับอารมณ์ ปลายจมูกเชิดเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็ทำให้สามสาวที่อยู่ในห้องเกรงกลัวได้แล้ว
“นะ นะ นายหญิง”
กลิ่นแก้ว ใบหลิว และแตงทองผงะทันทีที่เห็นนายหญิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเธออยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย กลิ่นแก้วนิ่งค้างอยู่ในท่าที่กำลังจะคร่อมเอวเหนือภพ ใบหลิวและแตงทองนั่งตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ส่วนชายหนุ่มคนเดียวในห้องกลับยังนอนเปลือยหมดสติอยู่เช่นเดิม โดยที่พญาอสรพิษของเขายังคงชี้ตั้งอยู่เช่นนั้น
“ว้ายย”
กลิ่นแก้วผงะกายถอยออกมาเมื่อทนความร้อนไม่ไหว รวมทั้งอายที่จะต้องทำเรื่องอย่างว่าต่อหน้านายหญิงอีกด้วย
พราวจันทร์กวาดตามองทั่วห้องก็พบว่า หญิงสาวทั้งสามคนยังไม่สามารถนำตัวเองสวมใส่เข้ากับเหนือภพได้ ไม่ว่าจะพยายามมากเช่นไรก็ตาม แตงทองมีแผลคล้ายถูกลวกที่ต้นขา ใบหลิวก็มีแผลที่ทรวงอกข้างขวา ฝ่ามือบวมพอง ส่วนกลิ่นแก้วดูจะเจ็บหนักที่สุด เหงื่อโซมกาย ฝ่ามือพุพอง ช่วงขาทั้งหมดบวมเป่ง เธอคงเป็นคนที่พยายามมากที่สุดแล้ว
“ออกไปให้หมด”
พราวจันทร์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แววตาลึกล้ำแลดูอำมหิตไม่น้อย
“เจ้าค่ะ”
กลิ่นแก้วรับคำอย่างว่องไวแล้วก็รีบลากเพื่อนสาวทั้งสองออกไปด้วย สาวงามของหอคณิกาคนอื่นคงไม่เข้าใจ แต่เธอเข้าใจดีที่สุด เนื่องจากว่าเธอเป็นคนรับใช้ที่ใกล้ชิดนายหญิงคนใหม่มากที่สุดแล้ว
ปกตินายหญิงจะไม่มีท่าทางโหดเหี้ยมเช่นนี้ เธอเคยเห็นครั้งเดียวเท่านั้นในครั้งที่จ้าวตึกบุปผาคนก่อนถูกลอบสังหารโดยพวกผู้มีพรสวรรค์ นายหญิงพราวจันทร์โกรธมาก แล้วเธอก็บุกไปสังหาร ‘บ้านเนตรพิฆาต’ บ้านของฮันเตอร์กลุ่มนักฆ่านั้นจนตายทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครคัดค้าน ไม่มีใครกล้าลองดีกับจ้าวตึกบุปผาคนใหม่อีกเลย
พราวจันทร์ย่างเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น แม้แต่เตียงนอนผ้าไหมอย่างดีก็ยังไม่อาจรองรับความร้อนจากกายเขาได้ เสียงกรุ้งกริ๊งจากกำไลข้อเท้าของเธอดังก้องท่ามกลางความเงียบ เธอกวาดสายตาพิจารณาร่างเปลือยของชายหนุ่มโดยปราศจากความเขินอาย จนกระทั่งสายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่ข้อมือด้านในของเขา มันคือตราสัญลักษณ์ฮันเตอร์รูปเหรียญที่มีตัวอักษร F อยู่ตรงกลาง
“พี่ภพ…”
พราวจันทร์พูดอย่างแผ่วเบา ขณะทรุดกายช้า ๆ มานั่งข้างเหนือภพด้วยความรู้สึกประดังประเด เขาคือคนที่เธอคิดว่าตายไปแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็พบว่าเธอคิดผิด ความรู้สึกคิดถึง ห่วงหา หึงหวง ดีใจ เสียใจ คละเคล้ากันจนดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา
เธอค่อย ๆ ปลดเสื้อผ้าทีละชิ้น ผิวขาวใสนวลเนียนอวดโฉมออกมาโดยไม่มีใครเห็น เมื่อก่อนตอนที่เธอยังไม่ได้รับตำแหน่งจ้าวตึกบุปผา เธอเคยเป็นถึงดาวเด่นของหอหมื่นบุปผาที่เมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความงาม ร้องรำทำเพลง ศิลปะ การดนตรี หรือการเดินหมากต่าง ๆ ล้วนไม่มีหญิงใดเทียบเธอได้ ชายหนุ่มแก่มากมายล้วนยอมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงเพื่อให้ได้หลับนอนกับเธอสักครั้ง ทว่าไม่มีใครเคยได้รับสิทธิ์นั้น แต่สำหรับผู้ชายคนที่นอนอยู่ตรงหน้านี้ เธอกลับยินดีมอบกายให้โดยไม่หวังสิ่งใด
พราวจันทร์ถอดชั้นในตัวน้อยออกเป็นชิ้นสุดท้าย แล้วร่างเปล่าเปลือยของสาววัยกำดัดก็ทาบทับไปบนร่างกายล่ำบึ๊กแสนร้อนฉ่า
7 วันผ่านไป
ตะวันเริ่มทอแสง พร้อมกับเสียงบรรดาสัตว์ปีกออกหากิน ผสมผสานกับเสียงคึกคักตามแบบฉบับของเมืองใหญ่
เหนือภพตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย แต่ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างประหลาด เขามองร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองที่นอนอยู่บนพื้นไม้เย็นเฉียบ แล้วก็เห็นคราบเลือดติดอยู่ตรงหว่างขา
“หืม ?”
จากนั้นเขาก็กวาดตามองรอบห้อง เขาเห็นข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น หมอน ผ้าห่มดูเหมือนถูกรื้อทิ้ง ถ้วยชามอาหารน้ำดื่มถูกกินแล้วก็ทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบตรงมุมห้อง
“เอ๋ ? มีคนมาช่วยจัดกระดูกให้ข้าหรอ”
เหนือภพยืดแขนยืดขาทดสอบดูก็พบว่าร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานแค่ไหน สงสัยจะมีหมอมาช่วยรักษาเขาระหว่างหลับ
ฟุดฟิด ฟุดฟิด
ทั้งหมดนั้นยังไม่ทำให้เขาแปลกใจได้เท่ากับกลิ่นหอมอย่างหนึ่งที่ลอยเคว้งอยู่ในบรรยากาศ มันเป็นกลิ่นของไม้จันทน์หอมที่อบอวลอยู่ทั่วร่างกายของเขา ทั่วที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม แม้แต่ที่พื้นก็มีกลิ่นนี้เช่นกัน
เหนือภพยกแขนตัวเองขึ้นมาดม จนมั่นใจว่าบนร่างกายของเขามีกลิ่นนี้อย่างแนบแน่น
“กลิ่นนี้มาจากไหนนะ เอ๊ะ ลูกพ่อทำไมเช้าวันนี้ถึงได้หลับไม่ตื่นล่ะ”
เขามองส่วนที่ควรจะชูชันทุกครั้งที่ตื่นนอน แต่วันนี้มันกลับสงบนิ่งราวกับว่ามันเพิ่งเจอศึกหนักมา เขาส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก็หันไปสนใจค้นหาเสื้อผ้าที่มีในห้องมาใส่ ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องที่ยังติดค้างในใจ
‘กลิ่นหอมแบบนี้ ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยได้กลิ่นมาก่อน’
“โอ้ ศิษย์น้องสาม เจ้าตื่นแล้ว”
ทานธรรมเอ่ยขึ้นในขณะที่เขาดันประตูเข้ามา วินาทีถัดมาที่เขามองเห็นสภาพห้องได้ชัดเจน เขาก็ผิวปากเป็นเชิงล้อเลียน
“เจ้านี่ไม่เบานะ จัดหนักเจ็ดวันเจ็ดคืนเลย สมัยข้าแค่สองวันสามคืนก็คางเหลืองแล้ว”
เหนือภพมีสีหน้าเซ็ง เขารู้ว่าศิษย์พี่หมายถึงอะไร ถึงเขาจะใช้ชีวิตเยี่ยงนักบวชมานาน แต่พระอาจารย์ก็สั่งสอนเขามาบ้าง เกี่ยวกับธรรมชาติการใช้ชีวิต การสืบพันธุ์ของมนุษย์ และแม้ว่าเขาจะอยากลองเรื่องอย่างว่าสักครั้ง แต่เขาก็อยากบรรเลงมันด้วยตัวเองกับคนที่เขารัก
‘นี่อะไร ครั้งแรกของข้ากลับถูกใครก็ไม่รู้แย่งชิงไป ถึงจะทำเพื่อช่วยข้าก็เถอะ มันยากหรือไงที่จะปลุกข้าขึ้นมาร่วมบรรเลงด้วยกัน ปล่อยให้ข้านอนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ได้’
แค่คิดเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไร้น้ำยา รู้ถึงไหนอายถึงนั่น