Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ - ตอนที่ 19 ท่านพันผู้เคร่งครัด
“ผ่านมาตั้ง 6 ปีแล้ว ยังไม่มีการพัฒนาเลย”
เหนือภพบ่นอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นสภาพของรถเทียมเกวียนที่พังทลายลงไปทันทีที่เขาก้าวขาขึ้นบนบันไดของมัน
“นายท่าน ถึงท่านไม่พอใจข้า ก็อย่าได้ทำลายข้าวของของข้าสิขอรับ”
สารถีร้องขึ้นอย่างอัดอั้น เมื่อเห็นสภาพตัวรถที่เทียมอยู่กับม้าอสูรหักครึ่งลงต่อหน้าต่อตา พร้อมกับม้าอสูรที่ร้องตกใจเพราะถูกเชือกรั้งคอแทบหัก ส่วนลูกค้าคนใหม่ในชุดสีรุ้งนั้นกลับยืนนิ่ง
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับข้าที่ไหนละ รถเจ้าไม่มีมาตรฐานเองต่างหาก”
เหนือภพตอบโต้ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า ต่อให้เขาไม่สวม ‘ชุดเกราะมัจฉาเจ็ดสีอิทธิฤทธิ์เหลือหลาย ทั้งโลกาไม่มีศาสตราวุธใด เจ็ดแสงยิ่งใหญ่ไร้คู่ต่อกร’ ร่างกายของเขาก็หนักมากอยู่แล้ว เพราะเนื้อสัตว์อสูรที่เขากินเข้าไป ทำให้มวลกล้ามเนื้อของเขาหนาแน่นขึ้นและหนักขึ้น ยิ่งรวมกับชุดเกราะมัจฉาเจ็ดสีอีก น้ำหนักตัวเขาก็เลยพุ่งทะยานไปไกล
พอเหนือภพคิดแบบนั้นเขาก็หันไปมองด้านหลังตามเส้นทางเดินที่เขาเดินผ่านมา มีรอยรองเท้าที่จมลึกลงไปบนพื้นหินเล็กน้อย
เหนือภพมองสารถีที่กำลังคร่ำครวญแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสาร เขาไม่รู้นี่ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะในมุมมองเขาชุดเกราะแสนหนักนี่ก็เป็นเพียงเสื้อผ้าปกติธรรมดา ออกจะเบาสบายด้วยซ้ำ
“เอาเถอะ ข้าชดใช้ให้เจ้าก็ได้ ”
เหนือภพยื่นเหรียญเงินสองเหรียญให้กับสารถี พร้อมกับถามย้ำ
“แค่นี้พอหรือเปล่า”
“นายท่านแค่ซื้อตัวรถยังพอได้ แต่ค่ารักษาม้าอสูรของข้าเกรงว่ามันจะไม่พอ”
เหนือภพกัดฟัน เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกไถเงิน แต่ก็เพิ่มให้อีกหนึ่งเหรียญเงิน ก่อนจะพูดตัดบทไปว่า
“ข้ามีแค่นี้ละ ถ้าอยากได้เพิ่มก็ไปเอาจากผู้เฒ่าที่โรงเตี๊ยมสำราญใจโน้น”
เขาโยนเหรียญเข้าอกเสื้อของสารถีอย่างแม่นยำ ก่อนจะสาวเท้าออกไปเขาก็คว้าชุดคลุมสีเทาดำที่พาดอยู่บนไหล่ของสารถีไปด้วย แม้มันจะมีรอยปะด้วยผ้าหลากสีเต็มไปหมดแต่เหนือภพก็ไม่สนใจ
“ข้าขอเป็นของขวัญละกัน”
“เอ๊ะ นายท่านนั่นมันเสื้อคลุมของข้า”
เหนือภพเดินมุ่งหน้าออกจากประตูพร้อมกับชูมือโบกไปมา
“เจ้าไม่ไปส่งข้าก็ได้ แต่เจ้าจะให้ข้าหนาวตายหรือไง”
เหนือภพเดินออกจากเมืองด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ขณะที่เงยหน้ามองฟ้าเป็นระยะเขาก็ถอนลมหายใจออกมา หากน้ำหนักตัวเขายังมากแบบนี้ เขาคงต้องเดินทั้งชีวิตแน่
เหนือภพคิดขณะกระชับเสื้อคลุมให้แน่น และยกฮู้ดมาคลุมศีรษะเอาไว้ ต่อให้เขาแข็งแกร่งอย่างไร ผิวหนาแค่ไหน แต่ผิวหนังของเขาก็ไม่ได้ตายด้าน มันยังคงรับรู้ร้อนหนาวได้ตามปกติ ความร้อนระอุจากแสงแดดสามารถทำให้เขากระหาย กระแสลมที่โบกพัดยามค่ำคืนก็ทำให้เขาหนาวสั่นได้เช่นกัน
หากเดินทางไปเมืองสินธุด้วยรถม้า ใช้เวลาสามวันก็ถึง แต่หากไปด้วยการเดินเท้าก็จะล่าช้าไปถึงสองวัน เหนือภพในสภาพมอซอกระชับเสื้อคลุมแน่น บัดนี้เสื้อคลุมของเขามีฝุ่นผงเศษใบไม้ และคราบเลือดของสัตว์อสูรที่เขาฆ่ามันมาตลอดทางเปื้อนกระจายเป็นหย่อม ๆ
เมื่อเขามาถึงประตูเมืองสินธุสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินก็คือ
“พวกเจ้าเป็นฮันเตอร์จากที่ไหนข้าไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น ที่นี่มีกฎ และพวกเจ้าต้องทำตาม ข้า พันศรีวะรา ผู้ดูแลเรื่องราวต่าง ๆ ของเมืองสินธุ ไม่อนุญาตให้ฮันเตอร์ต่างถิ่นที่ไม่มีใบอนุญาตผ่านเข้าเมืองเด็ดขาด !”
เสียงโห่ร้องของฮันเตอร์จำนวนมากดังขึ้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าขอเพียงฮันเตอร์ไม่ทำผิดกฎหมาย ก็ถือว่าตราสัญลักษณ์ฮันเตอร์ที่ข้อมือขวาเป็นใบอนุญาตที่แท้จริง และได้รับการยืนยันจากองค์เจ้าแคว้นว่าสามารถใช้งานได้
แต่เจ้าโง่นี่มันเป็นใคร อ้างตัวว่าเป็นพัน แต่กลับไม่รู้กฎเกณฑ์ง่าย ๆ แค่นี้
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ไอ้บ้านี่มันได้ตำแหน่งมาเพราะความสามารถ หรือเพราะเงินในถุงของมันกันแน่ บัดซบฉิบหาย”
ฮันเตอร์แรงค์ E ที่ยืนอยู่ข้างเหนือภพทั้งสบถและเอ่ยมาอย่างหงุดหงิด คนยิ่งรีบ ๆ กลับต้องมาเจอกับพวกบ้าอำนาจ
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะย่อตัวลงแล้วดีดมันขึ้นสู่ฟ้า กระโดดเกาะกำแพงเมืองสูงแล้วก็กระโดดไปอีกสามครั้ง เขาก็ผ่านพ้นกำแพงที่สูงกว่าสามสิบเมตรของเมืองมาได้ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของเหล่าฮันเตอร์ที่รู้สึกว่า ‘ความคิดนี้ไม่เลว’ พอมีคนหนึ่งเริ่ม อีกคนก็ทำตาม จนกลายเป็นภาพที่ทำให้นายพันหน้าใหม่อย่างศรีวะราหน้าตึงเลยทีเดียว
“บัดซบ ! ไปจับพวกมันมาให้ได้โดยเฉพาะไอ้หัวโจกที่กระโดดไปคนแรก”
“ครับผู้พัน”
เหล่าทหารตอบรับด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนหนักแน่น แต่แววตากลับรู้สึกดูถูกผู้พันคนนี้ พวกเขาจึงวิ่งออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจอยากจะตามจับคนนัก และต่อให้พวกเขารู้สึกเต็มใจ ชายคนนั้นที่กระโดดข้ามกำแพงได้โดยใช้การกระโดดต่อเนื่องเพียงสามครั้งแบบนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว พวกเขาเป็นแค่แรงค์ F จะไปทำอะไรได้ แค่ดูก็รู้ระดับพลังแบบนั้นต้องเป็นพวกแรงค์ D แน่นอน
เหนือภพเคลื่อนตัวไปตามอาคารบ้านเรือนเรื่อย ๆ แม้เขาจะพยายามลงน้ำหนักเท้าให้น้อยที่สุด แต่ก็ยังทิ้งรอยเท้าไว้ตามรายทาง นี่เป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลเสียต่อเขาในอนาคต หากอยู่ในสถานการณ์ไล่ล่า ต่อให้เขาเร็วแค่ไหน ก็ต้องมีใครสักคนตามมาพบจนได้
เหนือภพแวะหยุดบนหอคอยสูงแห่งหนึ่ง บนนี้สูงมากและสงบมากด้วย มีเพียงระฆังใบใหญ่กับนกพิราบตัวน้อยเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขา
เขาเปิดแท็บแล็ตขึ้นมาอีกครั้ง พลางหวนคิดถึงครั้งหนึ่งที่เขาเคยเห็นผลไม้ชนิดหนึ่ง มันถูกเรียกว่า ผลขนนก มันมีสรรพคุณในการทำให้ร่างกายเบาลง แต่ตอนนั้นเขายังอยู่ที่วัด แถมราคาของมันยังสูงถึง 100 ล้านพ้อย ทำให้เขาไม่มีปัญญาที่จะซื้อมัน และเขาก็ได้แต่หวังว่าจะเจอมันในตลาดออนไลน์อีกครั้ง
ตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่วัด พระอาจารย์บำรุงเขาด้วยเนื้อสัตว์อสูรพิเศษสามเดือนครั้ง เขากินเนื้อสัตว์อสูรที่นั่นมาทั้งหมด 16 ครั้ง และทำให้เขาค้นพบความลับบางอย่าง เนื้อสัตว์อสูรที่มีสรรพคุณเหมือนกันสามารถทับซ้อนกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้
** บันทึกพิเศษ**
หากจะยกตัวอย่างเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพก็ต้องเท้าความก่อนว่าร่างกายของมนุษย์เราจะมีค่าพลังและความสามารถที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และสมรรถภาพร่างกายโดยกำเนิด ซึ่งปกติจะแบ่งเป็น
พละกำลัง คือเรี่ยวแรงที่ใช้กระทำด้วยกายหยาบ การเตะ การต่อย การแบก ล้วนใช้สิ่งนี้เป็นตัววัด และผู้ไร้พรสวรรค์มักจะมีค่าพละกำลังนี้มากกว่าผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาจะมีค่าพละกำลังแค่ 1 แต่ผู้ไร้พรสวรรค์สามารถมีได้ถึง 2
ความคล่องตัว คือค่าการเคลื่อนไหวทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง การเดิน การเคลื่อนไหวแขนขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าผู้มีพรสวรรค์หรือไร้พรสวรรค์ก็ล้วนเกิดมามีค่านี้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสายเลือดและพันธุกรรม แต่ค่อนข้างแน่ชัดว่าสตรีจะมีค่าความคล่องตัวมากกว่าบุรุษ
ความทรหด คือค่าความอึด ความอดทน และที่แน่ชัดคือค่านี้จะมีมากในกลุ่มผู้ไร้พรสวรรค์ ทั้งยังเป็นค่าที่เหล่าผู้ค้าทาสใช้เป็นตัวชี้วัดมูลค่าของผู้ไร้พรสวรรค์ ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันว่าพวกมันจะตายยาก และทำงานได้คุ้มค่ามากขึ้น
ปราณอาคม คือค่าที่ปรากฏในเหล่าผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น โดยปราณอาคมจะเกิดขึ้นครั้งแรกในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีเท่านั้น หากอายุเกินกว่านี้แล้วยังไม่มีปราณอาคมก็จะถูกนับเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ทันที
การตอบสนอง คือความสามารถที่เกิดจากการฝึกฝน สภาพแวดล้อมที่เป็นตัวกระตุ้นการตอบสนอง หรือถือครองของวิเศษ มันเป็นสัญชาตญาณดิบของร่างกายที่ถูกกระตุ้นขึ้น อย่างเช่นเมื่อมีอันตราย ร่างกายของเราจะตอบสนองเพื่อที่เอาตัวรอดจากอันตรายนั้น การตอบสนองจะพัฒนาได้มากกับสิ่งมีชีวิตที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
ความสามารถพิเศษ คือสิ่งที่ให้คำจำกัดความที่เจาะจงไม่ได้ แต่ที่แน่ชัดคือ ความสามารถพิเศษเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถหลักของร่างกาย อย่างเช่น เหนือภพมีความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด คือร่างกายมีการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองได้ไวกว่ามนุษย์ทั่วไป
นี่เป็น 6 ค่าวัดสมรรถภาพของมนุษย์โดยพื้นฐาน ซึ่งถูกกำหนดโดยสภาฮันเตอร์ส่วนกลางของดินแดนเงาสุริยัน
แล้วมันเชื่อมโยงกับพวกเนื้อสัตว์พิเศษได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น
เหนือภพมีค่าสมรรถภาพพื้นฐาน ดังนี้
(พละกำลัง) : 1
(ความคล่องตัว) : 1
(ความทรหด) : 3
(ปราณอาคม) : 0
(การตอบสนอง) : 1
(ความสามารถพิเศษ) : ฟื้นฟูตัวเอง
แน่นอนว่าค่าพวกนี้จะสามารถพัฒนาเพิ่มได้ด้วยการเติบโตขึ้น และจะลดลงเองเมื่ออายุมากขึ้นตามธรรมชาติ แต่การกินเนื้อสัตว์อสูรพิเศษจะให้ผลที่ต่างกันออกไปนิดหน่อย
อย่างเช่นเหนือภพกินเนื้อช้างคุณภาพต่ำหนึ่งครั้ง ประสิทธิภาพของมันคือเพิ่มพละกำลังให้เขา เนื้อสัตว์คุณภาพต่ำจะให้ผลลัพธ์คือ 1 แต้มของค่าสมรรถภาพของร่างกายจากเดิม ดังนี้
(พละกำลัง) : 1 +(1) ค่าพละกำลังของเขาก็จะถูกปรับให้เป็นระดับ 2 เรี่ยวแรงของเขาจะถูกยกระดับขึ้นมาอีกเท่าของค่าพื้นฐาน นี่คือผลการทำงานของเนื้อสัตว์อสูรของคุณภาพต่ำ
ถ้าหากเป็นเนื้อสัตว์คุณภาพสูงจะให้ค่า สมรรถภาพ 2 แต้ม ในขณะที่เนื้อสัตว์อสูรคุณภาพชั้นเลิศนั้นจะให้ค่าสมรรถภาพถึง 4 แต้ม แต่ว่ามันเป็นเพียงแค่คำบอกเล่าเท่านั้น แม้ตัวเขาเองตอนอยู่ที่วัด แม้จะเต็มไปด้วยสัตว์อสูรหายากเขายังกินแค่เนื้อสัตว์อสูรคุณภาพต่ำเท่านั้น
จากจำนวนเนื้อทั้ง 16 ชนิด และรวมที่เหนือภพเคยกินตั้งแต่ได้แท็บแล็ตมา รวม ๆ แล้วค่าสมรรถภาพร่างกายของเขาอยู่ที่
(พละกำลัง) : 6
(ความคล่องตัว) : 5
(ความทรหด) : 9
(ปราณอาคม) : 0
(การตอบสนอง) : 4
(ความสามารถพิเศษ) : ฟื้นฟูตัวเอง , มวลกล้ามเนื้อหนาแน่น
ในตอนนี้เหนือภพสามารถใช้พละกำลังได้ถึงระดับ 6 และพระอาจารย์ก็ได้สอนให้เขาสามารถควบคุมพละกำลังนั้นได้อย่างใจนึก
แท้ที่จริงมันก็ไม่ได้ยากเลย ขอเพียงเข้าใจหลักการ นั่นคือการเกร็งและการหน่วงกล้ามเนื้อให้นานที่สุด ถ้าโจมตีออกไปเลยนั้นคือ กำลังระดับ 1 เป็นกำปั้นธรรมดา หากเกร็งและหน่วงกล้ามเนื้อไว้นานถึง 2 วินาที หรือเกิน 2 วินาที เขาจะสามารถใช้กำลังระดับ 2 ได้ และแน่นอนว่าถ้าหากต้องการใช้กำลังระดับ 3 ก็จำเป็นต้องหน่วงกล้ามเนื้อให้มากกว่าเดิมอีกหนึ่งเท่าเป็น 4 วินาที
หากเหนือภพต้องการใช้กำลังระดับ 6 เขาก็ต้องหน่วงกล้ามเนื้อไว้นานถึง 32 วินาที เพื่อใช้การโจมตีนี้ระเบิดพลังในครั้งเดียว แต่ในการต่อสู้นั้นสถานการณ์พลิกผันและเปลี่ยนแปลงได้ภายในเสี้ยววินาที ดังนั้นทุกการต่อสู้ที่ผ่านมา เหนือภพจึงมักใช้พละกำลังแค่ระดับ 3 ก็ถือว่ารุนแรงพอจะขุดหลุมกว้าง ๆ ได้มากกว่าสามเมตรแล้ว ต่อให้เป็นสัตว์อสูรแรงค์ E ถ้าโดนไปหมัดเดียว กว่าร่างกายของมันจะฟื้นฟูกลับมาก็เหลือเวลามากพอให้เหนือภพกินข้าวอิ่มเลยทีเดียว
นอกเหนือจากการเพิ่มระดับค่าข้างต้นแล้ว ก็มีกรณีหักล้างได้ด้วย อย่างเช่น เหนือภพมีค่าการตอบสนอง 4 ถ้าหากในอนาคตเขากินเนื้อพิเศษบางอย่างที่มีผลทำให้การตอบสนองช้าลง ค่าการตอบสนอง ก็จะมีค่า 4+(-1) กลายเป็น 3 นั่นเอง
** จบบันทึกพิเศษ**