Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ - ตอนที่ 0 บทนำ
ณ ธารน้ำกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
เสียงกระแสน้ำเชี่ยวกรากกระแทกกับแก่งหินดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง ละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาต้องแสงแดดอ่อน ๆ ได้แปลงกลายเป็นรุ้งกินน้ำที่ดูเหมือนจะปรากฏอยู่อย่างถาวร
บริเวณนี้เป็นจุดที่กระแสน้ำหลักแตกแยกไปสู่แม่น้ำรองสี่สาย ดังนั้นสภาพภูมิประเทศเกือบทั้งหมดจึงผสมผสานไปด้วยแม่น้ำ ละอองน้ำ โขดหิน และต้นไม้ใบสีเขียวปนส้ม กินอาณาบริเวณสุดลูกหูลูกตา
ริมฝั่งด้านหนึ่งมีชายหนุ่มหน้าตาคมคาย แต่งตัวมอซอ ใบหน้าสงบนิ่งขณะจ้องมองไปที่ปลายคันเบ็ดไม้ไผ่ที่อยู่ในมือตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ ข้างตัวเขามีไหเหล้าขนาดย่อมวางเรียงราย แต่ไหเหล้ากว่าครึ่งถูกดื่มกินจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ไหที่ว่างเปล่า
จู่ ๆ คันเบ็ดไม้ไผ่ในมือเขาก็เกิดกระตุก อันเป็นสัญญาณว่าปลากำลังจะติดเบ็ด แต่มันยังไม่ถึงเวลา นี่เป็นแค่การตอดเหยื่อของปลา เขานั่งรออย่างใจเย็นจนกระทั่งคันเบ็ดถูกโน้มลงจากการฉุดกระชากอย่างรุนแรง
คิ้วของชายหนุ่มขมวดเป็นปมก่อนจะตวัดคันเบ็ดขึ้นมาด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย
พลั่ก !
เหยื่อของเขามีขนาดใหญ่กว่าที่คิด รูปร่างมันดูคล้ายคน แต่กลับปกคลุมไปด้วยสาหร่ายสีดำหนาเตอะจนมองไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริง แล้วเขาก็ยืนพิจารณาเหยื่อประหลาดอยู่เช่นนั้นจนกระทั่ง
เฮือก !
ก้อนสาหร่ายที่ดูเหมือนจะไร้ชีวิตกลับฟื้นคืนตื่นขึ้นกะทันหัน ทำให้ชายหนุ่มนักตกปลาถึงกับตกใจร้องเสียงหลง
“นี่มันเหยื่อบ้าอะไรเนี่ย ทำใจหายใจคว่ำหมด”
หนุ่มนักตกปลาบ่นอุบ ขณะจ้องมองมนุษย์สาหร่ายที่กำลังสูดลมหายใจเข้าออกรุนแรง พลางแหวกสาหร่ายที่ปกปิดทั่วใบหน้าออก เผยหน้าตาที่แท้จริง…เขาคือ เหนือภพ นั่นเอง เหนือภพเด็กหนุ่มไร้พรสวรรค์ที่ถูกสายน้ำพัดพามาจากที่ไกลแสนไกล
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มนักตกปลาจะได้พูดคุยกับเหยื่อ เขาก็ถูกเหนือภพคว้าจับแขนไปเสียแล้ว
“โอ๊ย !”
ต่อให้เขาเป็นนักตกปลาที่เก่งกาจเพียงใด แต่เขาก็ไม่คิดว่าเจ้าเหยื่อหนุ่มน้อยนี่จะมีเรี่ยวแรงมากขนาดนั้น แขนเขาคงมีรอยจ้ำรูปนิ้วแน่ ๆ เลย
แต่เหนือภพก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของชายผมยาวรุงรังคนนี้เท่าไหร่ เขาเพียงแต่ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“เจ้ารู้จักกลุ่มภารดาไหม ? ช่วยบอกเส้นทางให้ข้ารู้ที”
หนุ่มนักตกปลาเพียงชำเลืองมองเหนือภพด้วยใบหน้าเรียบเฉย คำพูดของเหนือภพไม่ทำให้เขาแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะมีคนไม่น้อยที่มักจะมาถามเขาเช่นนั้น มีทั้งผู้มีพรสวรรค์และผู้ไร้พรสวรรค์
ที่ตั้งของกลุ่มภารดานั้นไม่ได้เป็นความลับ แต่ก็เป็นเรื่องที่น้อยคนจะรู้ ไม่ใช่เพราะกลุ่มภารดาต้องการปกปิด
แต่เป็นราชสำนักต่างหากที่พยายามปิดข่าว บิดเบือนและลบเลือนข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของกลุ่มภารดา
แต่เขาก็เข้าใจดีว่าการมีตัวตนของกลุ่มภารดา มันเป็นสิ่งคุกคามการปกครองของผู้มีพรสวรรค์มากเกินไป หากที่ตั้งของกลุ่มภารดาถูกเปิดเผยก็จะเป็นการชักนำผู้ไร้พรสวรรค์ให้มารวมตัวกัน และนั่นคงจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อฐานอำนาจของผู้มีพรสวรรค์ ซึ่งผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่ทางราชสำนักไม่อาจรับความเสี่ยงได้แม้แต่น้อย
“ด้วยสภาพเจ้าในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะไปที่กลุ่มภารดาเลย แค่เอาตัวให้รอดจากที่นี่ก็ยังยาก แต่จะว่าไป…เหยื่ออย่างเจ้าก็มีร่างกายที่น่าสนใจ”
เหนือภพคงไม่ทันเห็น แต่เขานั้นกลับเห็นเรื่องราวได้ชัดเจนถึงปฏิกิริยาของเหล็กไหลภายในตัวเขา เมื่อเผชิญเข้ากับเหล็กไหลภายในตัวของเหนือภพ ก็เกิดแสงออร่าสีน้ำผึ้งบนผิวหนังสีเข้ม พร้อมทั้งยังปรากฏรอยอักขระสีทองขึ้นล้อมรอบแขนของทั้งคู่ ก่อนจะจางหายไปเมื่อเหนือภพถอนมือออกจากตัวเขา
สายตาของเขาจ้องลึกไปในดวงตาของเหนือภพ มันเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าระคนความแค้น ความแค้นที่ถูกผู้แข็งแกร่งพรากชีวิตคนที่ตัวเองรัก สายตานี้เขาคุ้นเคยดีที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่คนคนหนึ่งเปราะบางมากจนสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งทางดีและทางร้าย
“เหยื่อน้อย เจ้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้นงั้นหรอ”
“แล้วท่านรู้หรือเปล่าว่ากลุ่มภารดาอยู่ที่ไหน”
“แน่นอนว่าข้ารู้ แต่เหยื่อน้อยอย่างเจ้าเต็มไปด้วยความแค้น ไปที่นั่นก็ไม่มีประโยชน์หรอก กลุ่มภารดาไม่ใช่สำนักแห่งการต่อสู้”
“ไม่ใช่ ?”
สีหน้าของเหนือภพเศร้าหมองด้วยความผิดหวัง ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ท่านไม่ได้หลอกข้านะ ถ้าไม่ใช่ ทำไมคนอื่น ๆ ถึงบอกว่า กลุ่มภารดาช่วยให้ผู้ไร้พรสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นได้”
“ข้าจะหลอกเหยื่อของข้าไปทำไม ข้ากับเจ้าก็ต่างเป็นคนไร้พรสวรรค์ กลุ่มภารดามันก็คือจุดศูนย์รวมจิตใจของผู้ไร้พรสวรรค์ก็เท่านั้น หากเจ้าอยากแข็งแกร่งจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นหรอก ข้าช่วยให้เจ้าสามารถตกปลาตัวที่ใหญ่กว่านั้นได้ เพียงเจ้ายินดีที่จะทำ”
แม้คำพูดของชายนักตกปลาจะฟังดูแปลก ๆ แต่เหนือภพก็ไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อย ต่อให้เป็นคำลวงก็ช่าง ขอเพียงช่วยให้เขาแข็งแกร่งได้ ไม่ว่าอะไรเขาก็ยอมทำ
“ข้าทำ”
“เจ้าจะไม่ผิดหวัง ข้าชื่อทานธรรม เหยื่อน้อยชื่ออะไร”
“เหนือภพ”
‘เหนือภพ’ ทานธรรมครุ่นคิดในใจ เขารู้สึกคุ้นหูเหมือนว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาจากปากใครมาก่อน แต่พอดีว่าเขามีปัญหาด้านความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนิดหน่อย ทำให้นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“เป็นชื่อที่ดี ข้าจะพยายามจำไว้ให้ได้เหยื่อน้อย เจ้ากัดฟันแน่น ๆ นะ ข้าส่งเจ้าไปถึงที่ หากเจ้ารอดกลับขึ้นมาได้ เจ้าก็จะแข็งแกร่ง และสามารถตกได้แม้กระทั่งปลาใหญ่ จงจำคำข้าไว้ จงรอดกลับมาให้ได้แล้วเป็นเหยื่อให้เต็มภาคภูมิ”
ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้พูดขอบคุณหรือถามเพื่อไขข้อข้องใจ สายเบ็ดพิลึกพิลั่นที่ไม่มีแม้แต่ตะขอเกี่ยว มันมีเพียงเส้นโลหะสีขาวนวลเท่านั้นที่เคลื่อนไหวเข้ามาพันรอบตัวของเหนือภพ ผูกรัดไว้จนแน่นก่อนที่เจ้าของเบ็ดจะจับคันเบ็ดไม้ไผ่เหวี่ยงเหยื่อตัวใหญ่ตกลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากสายหนึ่ง จากนั้นเส้นลวดประหลาดก็หดกลับมาสั้นเท่าเดิม
ตู้ม !
แล้วทานธรรมก็มานั่งตกปลาต่อ พร้อมกับยกไหเหล้าข้างกายขึ้นดื่มกิน จนกระทั่งมีสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังของเขาด้วยสายตาไม่พอใจ เมื่อมองไปยังไหเหล้าที่วางระเกะระกะ
เธอเป็นสาวสวยที่เพิ่งผ่านวัยแรกแย้มมาได้ไม่นาน ด้วยรูปร่างอวบอัดของเธออาจทำให้ผู้ชายหลายคนปรารถนาได้สัมผัส ประกอบกับดวงหน้ารูปไข่ที่มีเครื่องหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ดวงตาสีเขียวมรกต เข้ากันได้ดีกับผมเปียเส้นใหญ่สีน้ำตาลคาราเมล
แม้เธอจะไม่สูงเทียบเท่ามาตรฐานของหญิงสาวในอมตะนคร และแม้ว่าเธอจะมีช่วงเอวที่อวบไปบ้าง แต่นั่นกลับไม่ใช่จุดอ่อนของเธอ จุดอ่อนของเธอคือชายซกมกคนนี้ต่างหาก
“นี่ท่าน เหล้าน้ำผึ้งพวกนี้สำคัญกับพวกเรามากแต่ไหน ท่านไม่รู้บางเลยเหรอ ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้ว ท่านจะกินเหล้าอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่เหล้าน้ำผึ้ง ท่านนี่มัน”
เธอตะคอกด้วยน้ำเสียงหวานใสแต่คงไว้ซึ่งความเกรี้ยวกราด ขณะรีบกระชากไหเหล้าที่อยู่คาปากชายหนุ่มออกมา แล้วเก็บไหเหล้าน้ำผึ้งที่เหลืออยู่ไปทั้งหมด
แม้ทานธรรมจะแสดงออกว่าไม่ยินยอม เขาพยายามยื่นมือคว้าไหเหล้า แต่ก็ถูกสตรีที่กำลังเกรี้ยวกราดตีมือดังเพี๊ยะ จนเขาต้องชักมือกลับไป
“เจ้าใจเย็นก่อนอังกาบ ข้าขออีกหน่อยไม่ได้เหรอ”
“นี่ท่าน ท่านยังกินล้างกินผลาญไม่พออีกหรอ รู้ไหมเหล้าพวกนี้ข้าใช้เวลาทำยากเย็นแค่ไหน ปีหนึ่งพวกเราทำได้แค่ร้อยไห แต่ท่านกลับ… นี่ยังไม่ทันพ้นเดือน ท่านก็กินไปแล้วแปดสิบไห เหลือแค่ยี่สิบไห ท่านก็รู้ว่าพวกเราต้องเอาไปแจกจ่ายให้บรรดาจ้าวตึกอีก ท่านจะทำให้ข้าบ้าตายให้ได้เลยใช่ไหม”
อังกาบพูดจบก็มองกวาดทั่วร่างกายของทานธรรม เขายังคงอยู่ในชุดมอซอสวมหมอกฟาง รองเท้าไม่ใส่ เนื้อตัวมอมแมม
หัวคิ้วของหญิงสาวกระตุก เธอกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดดำปูดขึ้นมาราง ๆ
“นี่มันวันอะไร ท่านยังไม่แต่งตัวอีก”
ดวงตาของทานธรรมกลอกไปมา พลางยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีประชุม
อังกาบยิ้มเย็น ก่อนจะเตะเปรี้ยงใส่ใบหน้าของทานธรรม จนเขากระเด็นตกลงไปในกระแสน้ำข้างหน้า
“ข้าให้เวลาท่านยี่สิบนาที ทุกอย่างต้องพร้อม ไม่งั้นข้าจะบอกพ่อข้าให้ถอนชื่อท่านออกจากตำแหน่งจ้าวตึกลำธาร”
“หากข้าไม่ได้เป็นจ้าวตึกแล้ว ข้าจะได้กินเหล้าน้ำผึ้งของเจ้าอีกหรือเปล่า”
“ไม่ได้กินแน่ ถ้าอยากกินก็ต้องทำตัวดี ๆ”
จบคำพูดของเธอ ทานธรรมที่เนื้อตัวมอมแมมก็ขึ้นจากน้ำด้วยกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว พร้อมกับเบ่งกล้ามที่สะอาดสะอ้านให้หญิงสาวดู แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินจนไม่รู้สึกว่ามันแปลกใหม่อะไร มีเพียงความเงียบ และสายตาพึงพอใจเล็ก ๆ จากเธอเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินมาใกล้แล้วพวกเขาก็เดินไปพร้อมกัน
“เหยื่อสำคัญของข้า ! ข้าดีขนาดนี้แล้วขอเหล้าน้ำผึ้งให้ข้าสักไหได้หรือเปล่า”
“ไม่ อย่ามาต่อรอง”
ขณะที่เดินเคียงคู่กันอยู่นั้นสายตาของเขาก็มองไปยังต้นคอของอังกาบที่มีร่องรอยบาดแผลสดใหม่ มันทำให้เขาคิดถึงเรื่องหนึ่งได้
“พวกเหยื่อน้อยของเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกนางไม่เป็นไร ข้าส่งพวกนางไปอยู่ภายใต้การดูแลของจ้าวตึกบุปผาแล้ว ขอเพียงพวกนางมีจิตใจที่เข้มแข็งก็จะผ่านเรื่องเลวร้ายนั้นไปได้”
“เจ้าพวกผู้มีพรสวรรค์นี่ยังไง นับวันยิ่งกระทำป่าเถื่อนกับพวกเราโดยไม่สนบาปบุญคุณโทษ”
สายตาของทานธรรมมีแต่ความเดือดดาล ยิ่งยามนึกถึงภาพศพเด็กสาวไร้พรสวรรค์หลายร้อยคนที่ถูกทิ้งลงน้ำ พวกเธอแต่ละคนล้วนถูกกระทำย่ำยีอย่างป่าเถื่อนแล้วก็ฆ่าทิ้ง
แม้บางส่วนจะรอดมาได้ แต่จิตใจก็บอบช้ำเกินกว่าจะสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ซึ่งสามารถสืบความได้ว่าเป็นฝีมือของขุนนางหลวงผู้หนึ่ง ที่เปิดสถานค้าบริการกามให้กับเหล่าผู้มีจิตใจวิปริต และมีรสนิยมป่าเถื่อน
เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าที่เขาจะตัดสินใจได้ จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาจะต้องไปร่วมประชุมเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงการปะทะกันได้ก็จะดี ไม่เช่นนั้นคงได้ประกาศสงครามระหว่างผู้มีพรสวรรค์และผู้ไร้พรสวรรค์ในสักวันหนึ่ง
“พวกมันต้องได้รับการชดใช้”
ในฐานะที่อังกาบเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเองก็โกรธไม่น้อยไปกว่าใคร
“อ้อ มีอีกเรื่อง เจ้าช่วยเขียนจดหมายให้ข้าหน่อย”
“หืม ?”
อังกาบเป็นเหมือนกองไฟที่กำลังลุกไหม้ แล้วจู่ ๆ ก็มีน้ำมันราดลงมา เธออยากจะตบไอ้ผู้ชายเฮงซวยนี่สักทีให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ใช่เธอไม่รู้ว่าทานธรรมอ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาคนเราเรียนรู้กันได้ เธออุตส่าห์ส่งอาจารย์เก่ง ๆ มากมายมาช่วยสอนเขา แต่ว่าเขาก็ยังเขียนไม่ได้อีก จะไม่ให้เธอโกรธได้ยังไง
“นี่ท่าน เวลาตั้งสองปีท่านไปทำอะไรมาห่ะ !”
“แหม เจ้าก็รู้นี่ ตัวหนังสือมันรู้จักข้า แต่ข้ารู้จักมันซะที่ไหนเล่า เวลาสองปีสำหรับข้า ข้าท่อง กอ ไก่ ถึง ฮอ นกฮูกได้ก็ถือว่าข้าเก่งมากแล้วนะ นี่ยังไม่รวมพยัญชนะที่ข้าเพิ่งจะท่องได้อีก เจ้าต้องชมข้าสิ”
“ได้แค่เนี้ย! ข้าจะทำยังไงกับท่านดีห่ะ ! สักวันถ้าไม่มีข้าสักคน คนทั้งหมู่ตึกลำธารคงได้เลี้ยงควายกินกันทั้งคณะ ฮึ้ยยย”
อังกาบอ่อนใจไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่สุดท้ายเธอก็ทนสายตารบเร้าของทานธรรมไม่ได้
“ก็ได้ นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะ”
ทานธรรมยิ้มกว้าง
“เจ้าช่างเป็นเหยื่อที่สำคัญที่สุดของข้าจริง ๆ”
“เลิกเรียกคนอื่นว่าเหยื่อสักที รีบพูดมาว่าจะให้เขียนอะไร รีบ ๆ เขียน รีบ ๆ ส่ง แล้วก็จะได้รีบไป นี่มันสายมากแล้ว”
“มา ๆ เขียน ๆ”
———————————————-
ผู้ส่ง – ทานธรรม
ที่อยู่ผู้จัดส่ง – ไม่ระบุ
ผู้รับ – ท่านอาจารย์
ที่อยู่ผู้รับ – ต้นโพธิ์โบราณข้างน้ำตก
ถึง…ท่านอาจารย์ที่เคารพรัก
ท่านอาจารย์มีความสุขสงบใจดีอยู่หรือไม่ ข้าหวังว่าท่านจะยังแข็งแรงสมบูรณ์เช่นเดิมนะ ตลอดเวลาที่ข้าออกมาผจญภัยในโลกกว้างนี้ ข้าคิดถึงท่านอยู่เสมอ ท่านไม่ต้องตามหาข้าหรอก เพราะข้ายังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จริง ๆ นะท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้โกหก
ตอนนี้ท่านวางใจได้เลย ข้าได้ส่งว่าที่ศิษย์น้องคนใหม่ไปให้ท่านอาจารย์แล้ว อย่างที่ข้าเคยสัญญากับท่านนั่นแหละ ว่าข้าจะหาศิษย์คนใหม่มาให้ท่าน สุดท้ายข้าก็ทำตามที่พูดนะท่านอาจารย์
ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะเลี้ยงดูและอบรมเขาให้เขากลายเป็นศิษย์สืบทอดของท่านได้อย่างที่ท่านเคยหวังไว้ จากนี้ไปท่านจะไม่เหงาแล้วนะ ข้าดีใจกับท่านด้วยจริง ๆ
ลงชื่อ ทานธรรม
ศิษย์พี่ใหญ่ผู้กตัญญูอย่างสุดซึ้ง
———————————————-