Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 31 การเปลี่ยนแปลงแสนเลวร้าย
ชายชราวิ่งไปอีกไม่กี่ก้าวก็พุ่งออกจากอาณาเขตของ ‘เวทดับแสง’ ได้ในที่สุด สายตาเขาไม่ชินกับแสงรำไรที่สะท้อนจากตะไคร่น้ำ
แค่แสงสะท้อน แต่ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ของเหลวสีเขียวกลิ่นเหม็นฉุนบางอย่างพุ่งใส่หน้าเขาเต็มๆ
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องของชายชราทำให้คนอื่นๆ ตกใจกลัว แจ็กสันหันขวับกลับไปมองตามสัญชาตญาณ แม้จะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม
เขายกมือขึ้นปิดดวงตาทั้งสองข้าง ผิวหนังดำไหม้อย่างรวดเร็ว สร้างความเจ็บปวดมหาศาลในขณะที่เขากลิ้งเกลือกไปมาอยู่บนพื้น หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็พลัดตกลงไปในสายน้ำ
เสียงนั้นทำให้แจ็กสันและเหล่าอันธพาลตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ทว่าพวกเขาเคยกระทั่งควักอวัยวะคนเป็นๆ จิตใจจึงโหดเหี้ยมไร้ปรานีมานานแล้ว ดังนั้น ในสถานการณ์อันตรายร้ายแรงเช่นนี้ พวกเขาจึงเอาชนะความกลัวได้และพุ่งตัวเข้าหาลูเซียนอย่างบ้าคลั่ง
การหลบหนีคือทางตาย ความหวังเดียวของพวกเขาคือการสู้!
แต่ด้วยพวกเขาอยู่ห่างจากลูเซียนราวยี่สิบเมตร ทั้งยังมัวแต่ลังเลกว่าจะตัดสินใจได้ก็ตอนนี้ จึงก้าวเท้าได้เพียงสองก้าวก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นราวกับมันมิเคยหายไปที่ใด
“วิ่ง! วิ่งไปหาเงานั้นให้ได้! มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่เราจะรอดจากเวทมนตร์ชั่วร้ายนั่น!” ณ ตอนนี้แจ็กสันและอันธพาลคนอื่นต่างมีเพียงความคิดนี้ในหัว พวกเขาต่างไม่เคยรับมือกับนักเวทมาก่อน จึงลืมไปเสียสนิทใจว่าพวกตนสามารถเขวี้ยงกริชในมือออกไป เพราะแม้จะพลาดเป้า พวกเขาก็ยังทำให้ผู้ใช้มนตร์ตกใจจนควบคุมพลังจิตไม่ได้ หรือร่ายคาถาผิด
แต่เมื่อพวกเขาวิ่งมาจนเห็นชายลึกลับเต็มๆ ตา ความเร็วก็พลันตกลง
ชายคนนั้นคือลูเซียน!
ความพิศวงพลันหายไป แทนที่ด้วยความอาฆาตพยาบาท แจ็กสันและคนอื่นๆ ขบฟันกรอดพุ่งตัวเข้าไปใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงอีกสองสามเมตร หมายทิ่มแทงเจ้าหนุ่มชั่วผู้นี้ให้พรุนไปทั้งร่าง
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น แจ็กสันเห็นว่าลูเซียนดันมือขวาออกมา แล้วลำแสงโปร่งใสราวคริสตัลที่แผ่ไอเย็นเยียบก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว และปะทะเข้ากับใบหน้าของอันธพาลอีกคนอย่างจัง แม่นยำราวกับจับวาง
ชั้นน้ำแข็งเบาบางก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แช่แข็งทั้งดวงตา จมูก และปากของอันธพาลที่อยู่ด้านหลังแจ็กสัน
ไอเย็นแทรกซึมเข้าไปถึงในสมอง ส่งผลให้ความคิดของอันธพาลผู้นั้นช้าลง และสูญเสียพละกำลังส่วนใหญ่ไปก่อนที่จะทันได้ทำให้น้ำแข็งบนใบหน้าแตกจนกลับมาหายใจได้
เขาหายใจไม่ออก จึงทิ้งตัวลงแล้วโขกศีรษะกับพื้น
แจ็กสันได้สติในตอนนั้นเอง และตระหนักได้ในที่สุดว่าลูเซียนที่อยู่ตรงหน้าเขาหาใช่เด็กหนุ่มยากไร้ที่ยอมให้เขารังแกอีกต่อไป แต่เป็นพ่อมดที่มีพลังเวทลึกลับน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง!
พ่อมดชั่วร้าย!
ทว่าเขาหาใช่คนโง่ ตรงกันข้ามเลย เขาคือคนเฉลียวฉลาดและช่างสังเกต ภายใต้ใบหน้าธรรมดาที่มักยิ้มแย้มอยู่เสมอคือจิตใจที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อน เขารู้ดีว่าลูเซียนจะไม่มีทางปล่อยเขาไป แต่เขาก็สะกดกลั้นแรงกระตุ้นที่คอยบอกตนเองว่าให้อ้อนวอนขอความเมตตาจากลูเซียน ก่อนจะถีบตัวกระโจนเข้าหาหมายจ้วงแทงลูเซียนด้วยกริชในมือ
แจ็กสันวิ่งเข้าหาทางด้านข้างของลูเซียนจนเหลือระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตร แต่ทันใดนั้นร่างกายเขาก็รู้สึกหนักอึ้ง ตัวที่โน้มไปข้างหน้าขณะวิ่งเต็มฝีเท้าทำให้เขาสูญเสียสมดุลและกำลังจะล้มหน้าคว่ำ
“บัดซบ!” ในช่วงเวลาสำคัญเขาดันมาสะดุดล้ม แจ็กสันพลันหวาดเกรงเมื่อตระหนักว่าตนตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงเพียงใด เขาเหวี่ยงมือไปมาอย่างบ้าคลั่ง พยายามรักษาการทรงตัว แต่เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา สิ่งที่เขาทำจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ถ้ารู้ว่าจะล้มลง ณ เวลานี้ อย่างน้อยแจ็กสันก็อาจพยายามขว้างกริชออกไป แทนที่จะทำได้เพียงล้มลงกลิ้งเกลือกกับพื้น
ก่อนที่จะใช้ ‘เวทสาดพิษ’ ลูเซียนได้เรียกใช้เวทป้องกัน ‘บ่วงคุ้มภัย’ หน่วงเอาไว้แล้ว ซึ่งเวทมนตร์นี้สามารถคงอยู่ได้สองนาที
เพราะลูเซียนคุ้นเคยกับเวทมนตร์บทนี้มาก เพียงเปล่งเสียงเบาๆ เขาก็กระตุ้นให้เกิดแรงสั่นสะเทือนได้แล้ว ดังนั้น หลังจากที่ร่ายคาถาของ ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ เสร็จ ลูเซียนก็ฉวยโอกาสที่ศัตรูยังสับสนอยู่ในความมืด เรียกใช้มนตร์บทนี้อย่างลื่นไหลโดยที่แทบไม่มีเสียง
ลูเซียนกระโดดไปด้านข้าง หลบแจ็กสันที่กำลังจะล้มลง และเฝ้ามองอีกฝ่ายพยายามขยับมือไปมาเพื่อทรงตัวอย่างเย็นชา พร้อมกับใช้กริชของเขาเองแทงใส่คออย่างแม่นยำและเยือกเย็นด้วยการขยับมือเพียงครั้งเดียว
แรงโน้มถ่วงทำให้เลือดไม่สาดกระจาย กลับตกลงที่พื้นราวกับกลีบดอกไม้สีเลือด ลูเซียนไม่แตะต้องตัวเขาด้วยไม่อยากให้เสื้อผ้าของตนเปรอะเปื้อน
เสียงร้องครวญครางไม่อยากตายของแจ็กสันติดอยู่ที่ลำคอ ก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงลงไปบิดเร่าด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นพลางพยายามกรีดร้อง ทว่าไม่นานชีวิตที่เต็มไปด้วยความผิดบาปของเขาก็จบลง
อันธพาลอีกคนที่แม้จะโขกศีรษะจนน้ำแข็งบนใบหน้าแตกกระจาย แต่ดวงตา จมูก และปากที่ถูกแช่แข็งไปแล้วก็ยังทำให้การตอบสนองของเขาช้าลงมาก จึงถูกลูเซียนใช้กริชสังหารอย่างง่ายดาย
ส่วนชายชราผู้เผยแพร่ลัทธินอกรีตนั้นตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำครู่หนึ่งก็หยุดนิ่งไป ก่อนจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปติดกับตาข่ายลวดหนาม
หลังจากที่เห็นว่าชายชราเสียชีวิตแล้ว ลูเซียนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะในบรรดาทั้งเก้าคน ชายชราคือคนที่เขาเป็นกังวลมากที่สุด ด้วยไม่รู้ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับลัทธินอกรีตจะมีความสามารถพิเศษแปลกๆ อะไรหรือไม่
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในยี่สิบวินาทีเท่านั้น อาณาเขตความมืดจากเวทมนตร์ดับแสงยังไม่หายไปด้วยซ้ำ มันยังคงแผ่ปกคลุมทางเดิน สายน้ำดำมืด และตาข่ายลวดหนาม
ส่วนสองขอทานที่ถูกสหายของตนจ้วงแทงนั้นยังคงนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น
อันธพาลและขอทานบางคนที่ตกลงไปในน้ำเพราะความหวาดกลัวต่อนักเวทลึกลับนี้ต่างพยายามควานหาตาข่ายลวดหนามด้วยความสิ้นหวังเพื่อหนีออกไปยังแม่น้ำเบเล็ม แต่ไม่ว่าจะขยับซ้ายหรือไปขวา พวกเขาก็หาท่อระบายน้ำไม่พบเสียที
ลูเซียนคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ากลุ่มนั้นมีคนมากกว่า และเขาอาจจะสังหารได้ไม่ครบทุกคน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการขับไล่คนที่เหลือให้หนีออกไปยังแม่น้ำเบเล็มทางท่อระบายน้ำ แล้วไปเจอกับผีดิบใต้น้ำที่ข้างนอกนั่น!
ที่ลูเซียนต้องฝากความหวังไว้กับผีดิบใต้น้ำ ก็เพราะอย่างไรเสียเขาร่ายเวทมนตร์ต่อเนื่องได้จำกัด และเขาก็ยังไม่ได้เรียน ‘เวทลมหายใจโฮแมนซ์’ เวทมนตร์โจมตีเพียงหนึ่งเดียวในระดับฝึกหัด
ทว่าลูเซียนก็พยายามที่สุดที่จะกำจัดทุกคนให้ได้ ดังนั้นจึงได้ให้อาณาเขตของ ‘เวทดับแสง’ ปกคลุมทั้งสายน้ำดำมืดและท่อระบายน้ำ
เมื่อเห็นว่าอีกสองคนที่อยู่ในน้ำนั้นยังหาท่อระบายน้ำไม่เจอ ลูเซียนก็รู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มจะมุ่งไปยังทิศทางที่ดี
แต่แน่นอนว่ามันย่อมมีปัญหาเช่นกัน นั่นคือ ลูเซียนมองไม่เห็นตำแหน่งของสี่คนที่เหลือในอาณาเขตเวทดับแสงอย่างชัดเจน เขาทำได้เพียงพึ่งพาการแผ่พลังจิตเพื่อสัมผัสถึงตำแหน่งของอีกฝ่าย และไม่สามารถใช้เวทมนตร์โจมตีได้
ขณะรอให้อาณาเขตเวทดับแสงหายไป ลูเซียนก็ฉวยโอกาสนี้ฟื้นฟูพลังจิตให้คืนกลับมาโดยเร็ว การใช้เวท ‘บ่วงคุ้มภัย’ นั้นกินพลังจิตเขาไปถึงครึ่งหนึ่งของเวทมนตร์ระดับฝึกหัดอีกสามบท ตอนนี้ลูเซียนแทบไม่มีพลังจิตพอจะใช้ ‘เวทสาดพิษ’ หรือ ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ สักครั้งด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านไปหลายวินาที สการ์ที่ชนกับผนังกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างลนลานแล้วออกวิ่ง ทว่าจู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างวูบ ทำให้เขาต้องรีบหลับตาลง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความหวาดกลัวก็ทำให้เขาแข้งขาอ่อนแรงจนร่วงลงไปกองกับพื้น พลางกระซิบพึมพำ “พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดอภัยให้ข้า อภัยให้ข้าเถิด อภัยให้ข้า”
นั่นเป็นเพราะเขาเห็นนักเวทผู้ชั่วร้ายที่ดูเหมือนจะมีใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามและแผ่รังสีน่าหวาดหวั่นอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเรืองรองห่างออกไปราวยี่สิบเมตร
เมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับภัยอันตราย บางคนก็เลือกที่จะสู้กลับ และบางคนก็เลือกที่จะคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาและยอมแพ้
เมื่อลูเซียนเห็นว่าสภาพจิตใจของสการ์นั้นย่ำแย่เต็มทน มันเป็นโอกาสอันดีงามที่เขาควรจะใช้ ‘เวทเนตรดารา’ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ระดับฝึกหัดที่ส่วนใหญ่แล้วใช้ในการสะกดจิตและทำให้มึนงง คาถานั้นร่ายได้รวดเร็ว แต่ช่วงเวลาในการทำให้เกิดผลทั้งสองอย่างนั้นแตกต่างกัน การทำให้มึนงงนั้นเพียงต้องสบตากับเป้าหมาย มันก็มีประโยชน์ในระหว่างการต่อสู้ ส่วนการสะกดจิตให้สำเร็จนั้นจะต้องจ้องตาเป้าหมายมากกว่าสิบวินาที และถ้าสะกดจิตให้เป้าหมายทำในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจมากๆ ฝ่ายนั้นก็สามารถหลุดจากภวังค์การสะกดจิตได้ มันจึงได้ผลน้อยกว่า ‘มนตร์มหาเสน่ห์’ ของเวทมนตร์ระดับสูง
แต่ในตอนนี้ หากว่าสการ์ที่สภาพจิตใจไม่มั่นคงถูกสะกดจิตด้วย ‘เวทเนตรดารา’ ทั้งสองปัจจัยนี้อาจทำให้เกิดผลลัพธ์เทียบเท่า ‘มนตร์มหาเสน่ห์’ ได้สักครึ่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็จะสามารถสะกดจิตให้สการ์ไปจัดการกับคนอื่นๆ ที่พยายามหลบหนีแล้วปลิดชีพตนเองได้อย่างง่ายดาย
แต่ในตอนที่ลูเซียนกำลังจะร่ายคาถานั้นเอง เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูเต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็ดังฝ่าอาณาเขตความมืดที่กำลังจะหายไปในไม่กี่วินาทีนี้
เสียงนั้นดังขึ้นอย่างฉับพลันและหยุดไปทันทีที่มันดังขึ้น ทำให้ลูเซียนรู้สึกประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ไม่นาน เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดอย่างสาหัสสากรรจ์ท่ามกลางความมืดมิดนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง และเงียบหายไปทันทีที่มันดังขึ้น
ลูเซียนหยุดเตรียมตัวจะร่าย ‘เวทเนตรดารา’ แล้วก้าวถอยหลังมาอยู่ใน ‘บ่วงคุ้มภัย’ เพื่อป้องกันตัวเอง จากนั้นจึงร่าย ‘เวทลำแสงแช่แข็ง’ เตรียมพร้อมไว้
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่สู้ดี กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดและอันตราย!
สการ์หันหลังกลับไปมองด้านหลังแล้วก็ต้องตัวแข็งทื่อเป็นไม้แกะสลัก
ช่วงเวลาของอาณาเขตจากเวทดับแสงหมดลงแล้ว ความมืดมิดพลันหายไปโดยไม่บอกกล่าว และทั้งลูเซียนทั้งสการ์ก็ได้เห็นภาพอันโหดเหี้ยมน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นในสายน้ำดำมืด
อันธพาลคนหนึ่งถูกมือซีดเซียวบีบคอแน่น กะโหลกศีรษะของเขาแบะอ้า เผยให้เห็นสมองสีขาวภายในนั้นซึ่งกำลังถูกลิ้นสีดำไล้เลียกินอย่างตะกละตะกลาม
เจ้าของลิ้นนั้นคือปีศาจรูปร่างเหมือนมนุษย์ มันมีขนาดเหมือนมนุษย์ทั่วไป ทว่าผิวหนังของมันกลับขาวซีด บวมเป่งและเน่าเปื่อยไปทั้งตัว กล้ามเนื้อบนหน้าของมันคล้ายจะผุกร่อนออกมาได้ทุกเมื่อ และแทบจะมองเห็นกระดูกสีขาวข้างใต้นั้น
ภายใต้เส้นผมยาวถึงไหล่ที่เหมือนสาหร่ายสีเขียวนั้นคือกระบอกตาที่ไร้ลูกนัยน์ตา กลับมีดวงไฟสีขาวจางสองดวงเล็กๆ ที่ลุกโหมอยู่ในหลุมสีดำนั้น
มันบีบคออันธพาลผู้นั้นด้วยมือซีดๆ เพียงข้างเดียว แสดงให้เห็นว่ามันมีพละกำลังเหนือมนุษย์ธรรมดาไปไกลมาก
ร่างของขอทานอีกคนที่สมองถูกกินจนเกลี้ยงแล้ว ลอยไปตามกระแสน้ำ และตรงไปยังตาข่ายลวดหนาม
ส่วนขอทานอีกคนที่อยู่บนทางเดินใกล้ๆ กับปีศาจตนนั้นยืนแนบตัวติดกับผนัง และเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาก็ขาอ่อนลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นพลางสวดอ้อนวอน “ท่านเจ้ามหาลัทธิอาเจนต์ ความเงียบนิรันดร์ โปรดอำนวยพรให้ทาสรับใช้ของท่าน…”
สการ์ล้มลงทันทีที่เห็นปีศาจตนนั้น ราวกับว่ามันแผ่พลังน่าหวาดเกรงเหนือธรรมชาติออกมา แม้แต่ลูเซียนที่อยู่ห่างออกไปกว่ายี่สิบเมตรยังรู้สึกตื่นตระหนก
เมื่อลูเซียนเห็นปีศาจตนนั้น เขาก็จำได้ในทันทีเพราะเขาหวั่นๆ ว่ามันจะโผล่มาสักพักแล้ว
ผีดิบ! ผีดิบใต้น้ำ! ผีดิบใต้น้ำแห่งแม่น้ำเบเล็ม!
แม่มดอยากจะจับตัวมันมาตลอด เขาจึงอ่าน ‘หนังสือภาพ’ และทั้งจดทั้งจำลักษณะพิเศษของมันมา
ด้วยเพราะเป็นสัตว์ประหลาดเผ่าพันธุ์ผีดิบ ผีดิบใต้น้ำจึงมีความต้านทานต่อมนตร์สะกดจิต มนตร์มหาเสน่ห์ มนตร์มายา และมนตร์ทำลายกำลังใจ ทั้งยังต้านทานพิษ ความง่วง อัมพาต อาการสั่น และโรคภัยอื่นๆ มันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่เหนื่อยล้า ไม่อ่อนแรง ไม่จำเป็นต้องหายใจ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แข็งแกร่งทนทานได้ทั้งน้ำแข็งและพิษ แต่กลัวไฟกับเวทมนตร์แห่งแสงเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ลูเซียนตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ได้ก็คือ ผีดิบในบันทึกของแม่มดนั้นไม่ได้มีเปลวไฟซีดจางในดวงตา แม้ว่าเปลวไฟทั้งสองของผีดิบใต้น้ำตนนี้จะมีขนาดเพียงปลายเข็มก็ตาม
……………………………………….