This Star is a bit Salty - ตอนที่ 5 ตั้งแผงขายแตงกวา
วันต่อมา หลี่หานตื่นแต่เช้า
พ่อกับแม่ของเขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาเก็บแตงกวาให้เต็มตะกร้า
หลี่หานมีมอเตอร์ไซค์อยู่ที่บ้านและเขาวางแผนที่จะใช้มันไปตลาดในเขตเมืองชวงหลงพร้อมกับแตงกวา
จากหมู่บ้านไปยังถนนชวงหลงห่างออกไปไกลกว่า 10 กิโลเมตร การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์จึงเป็นสิ่งที่สะดวกที่สุด
หลังอาหารเช้า หลี่หานและพ่อของเขาได้ช่วยกันมัดตะกร้าแตงกวาให้ติดกับหลังมอเตอร์ไซค์
ตอนนี้เขาพร้อมที่จะไปแล้ว
แม่ของหลี่หานมักจะพูดซ้ำ ๆ ว่าให้ใส่ใจเรื่องความปลอดภัย และแน่นอนว่าหลี่หานย่อมทำตามแต่โดยดี
ด้วยการขับขี่มอเตอร์ไซค์ ทำให้เขาสะดวกสบายมากขึ้น
เขาสตาร์ทมอเตอร์ไซค์และเริ่มออกเดินทาง
จากปากทางถึงทางเข้าหมู่บ้านมีทางคอนกรีตกว้างประมาณ 1 เมตรที่ทำให้มอเตอร์ไซค์วิ่งได้สะดวก
ระหว่างทางเขาได้เจอกับชาวบ้านที่ตื่นกันแต่เช้ามองมาที่เขาที่มีตะกร้าที่เต็มไปด้วยแตงกวาด้วยท่าทางตกใจเล็กน้อย
“เสี่ยวหาน นายเพิ่งกลับมาก็ต้องไปขายแตงกวาแล้วเหรอฦ พ่อนายอยู่ไหน?”
“เสี่ยวหาน นายจะขายมันได้เหรอ?”
หลี่หานตอบกลับว่าเขาขายได้แน่นอนพร้อมกับยิ้ม
หลังจากนั้นไม่กี่นาที หลี่หานก็มาถึงหน้าหมู่บ้าน
จากหน้าหมู่บ้านไปยังถนนชวงหลง จากนี้ไปจะเป็นทางหลวง
ถนนไม่กว้างนัก สามารถขับขี่ได้ด้วยรถยนต์คันเล็ก ๆ และบางช่วงยังไม่สามารถผ่านได้ด้วยรถยนต์อีก
แต่สำหรับมอเตอร์ไซค์แล้วนับว่าเป็นถนนที่กว้าง
สิบนาทีต่อมาหลี่หานก็มาถึงหน้าทางเข้าเมืองชวงหลง
ถึงแม้ว่าเขาจะมาถึงแต่เช้า แต่ถนนแห่งนี้ก็ดูมีชีวิตชีวาแล้ว
ตลาดชวงหลงเป็นสถานที่หลักสำหรับชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อไปตลาด เมื่อใดก็ตามที่มีงานประเพณี ชาวบ้านจะมาซื้อหรือขายของที่นี่
มีตลาดของเกษตรกรอยู่ใจกลางตลาดซึ่งเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าเกษตรและสินค้าสดเช่นผัก เนื้อสัตว์และสัตว์ปีก
อย่างไรก็ตาม พ่อค้าที่อยู่ที่นี่มักจะเป็นพ่อค้าที่พิเศษหน่อย
หากคุณทำการซื้อขายส่วนตัว คุณไม่จำเป็นต้องไปที่ตลาดนั้น คุณสามารถหาได้ตามสองข้างทาง
หลี่หานกำลังหาที่ตั้งแผงลอยอยู่
มุมถนนก็ถือว่าเป็นที่ที่ดี ด้วยผู้คนที่สัญจรไปมามากมาย ถือว่าเหมาะสำหรับตั้งการแผงลอย
นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีคนซื้อขายเยอะ
เมื่อหลี่หานขับมอเตอร์ไซค์มาถึง เขาก็เห็นว่ามีแผงขายของมากกว่าหนึ่งโหลกระจายอยู่รอบ ๆ โดยพวกเขาทั้งหมดเป็นชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงที่มาขายผัก สัตว์ปีก ปลา และอื่น ๆ
หลังจากที่หลี่หานเลือกพื้นที่จอดมอเตอร์ไซค์ได้แล้ว เขาก็แกะตะกร้าแตงกวาออกจากหลังมอเตอร์ไซค์
ด้วยท่าทางของหลี่หาน ทำให้พ่อค้าและลูกค้าแถว ๆ นั้นค่อนข้างแปลกใจ
เพราะว่ามันแปลกมากจริง ๆ ที่จะมีคนที่ยังหนุ่มและหล่อมาขายผัก
หลี่หานเป็นคนเดียวที่ทำแบบนี้
ทุก ๆ คนค่อย ๆ ยิ้มออกมา หลี่หานก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด
ชีวิตที่แล้วเขาเสียเวลาไปมากจนเขารู้สึกแย่
เขาวางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ข้าง ๆ และเริ่มปูแผ่นผ้าสี่เหลี่ยมข้างหน้าเขา นี่คือแผงลอยแบบง่าย ๆ
หลังจากนั้นเขาก็มองดูแตงกวาที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่และวางไว้บนผ้า
ตอนนี้แผงลอยของเขาก็ได้ตั้งเสร็จแล้ว
หลี่หานหยิบปากกาเมจิกออกมาเขียนบนกระดาษแข็งที่เขามี “2หยวนต่อหนึ่งจิน” และก็นำมันไปวางไว้ข้าง ๆ แตงกวา
*หนึ่งจิน=ครึ่งกิโล
วิธีนี้จะทำให้คนที่มาซื้อไม่ต้องถามราคาเขาในทุกครั้งและหลี่หานก็ไม่อยากจะตอบคำถามมากนัก
คนซื้อที่อยู่ข้าง ๆ ถามขึ้น “พ่อหนุ่ม นายมีแตงกวามาขายงั้นเหรอ?”
ใช่ หรือ ไม่?
ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา
ตอนนี้ยังไม่มีคนมาซื้อแตงกวาของเขา แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนเพราะว่าเหตุผลที่เขามาขายแตงกวาก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่ติดเหล้า แต่ตัวเขานั้นไม่อยากกินเลยเลือกมานั่งขายแตงกวาแทน
แต่เขาก็พยายามหาทางที่จะรีสตาร์ทระบบใหม่อีกครั้ง
ตามคำสั่งสุดท้ายของระบบ หลังจากที่เขาทำตามต้องการก่อนหน้านี้แล้ว ระบบจะพยายามเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
โดยความต้องการของเขานั้นมีสองประเด็นหลัก ๆ คือการได้รับเงินจำนวนหนึ่งและกลับบ้านไปเพื่อเปิดร้านค้าหรือฟาร์มเล็ก ๆ
เขานั้นได้รับเงินมาเรียบร้อยแล้วหนึ่งแสนหยวน เพราะฉะนั้นปัญหา “การได้รับเงินจำนวนหนึ่ง” ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือการตั้งแผงลอยขายผัก นี่มันนับเป็นร้านค้าเล็ก ๆ ไหม?
ในความคิดของหลี่หาน เขาคิดว่ามันนับเป็นร้านค้าเล็ก ๆ ด้วย
แต่ระบบจะคิดเหมือนเขาไหม?
หลี่หานกำลังหาคำตอบ
แต่มันก็แค่การตั้งแผงลอย ระบบจะทำงานได้งั้นเหรอ…
หรือว่าจะไม่ได้กันนะ?
ตอนนี้ได้เพียงแค่รอเท่านั้น
หรือว่าระบบจะตอบสนองก็ต่อเมื่อได้ทำการซื้อขายนะ?
บางทีอาจจะตอบสนองหลังจากได้ทำการซื้อขายเป็นครั้งแรก
“พ่อหนุ่ม มีแตงกวาขายไหม?”
มาแล้ว โอกาสในการขายของครั้งแรก
หลี่หานพยักหน้า
2หยวนต่อครึ่งกิโลนั้นถือว่าไม่แพงเลย หลี่หานคิดว่าลุงคนนี้ต้องซื้อแน่
ส่วนสาเหตุที่คุณลุงถามแบบนี้เป็นแค่ความเคยชินเวลาซื้อของ
คุณลุงลังเลซักพักและก้มลงมาหยิบแตงกวามาสามลูกแล้วส่งให้หลี่หาน
หลี่หานรับมันมาชั่งน้ำหนักเอาใส่ถุงและยื่นให้คุณลุง
และคุณลุงก็จ่ายเงิน การขายของครั้งแรกของเขาสำเร็จไปด้วยดี
ระบบ…
ก็คงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บัดซบเอ้ย!
หลี่หานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ถ้าหากตั้งแผงลอยขายผักไม่ได้ ถ้างั้นเขาก็คงต้องเช่าร้านค้าแล้วเริ่มทำธุรกิจ
นี่มันง่ายกว่าการทำฟาร์มอีก
ด้วยจำนวนเงินหนึ่งแสนหยวนนั้นเพียงพอจนเหลือซะด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม หลี่หานไม่ได้รีบและยังคงขายแตงกวาต่อไป
อาจเป็นเพราะเวลาในการตั้งแผงลอยนั้นน้อยเกินไปจนทำให้ระบบคิดว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในการรีสตาร์ท?
หลี่หานจึงตัดสินใจที่จะเปิดต่อ แต่ถ้าหากมันยังไม่เวิร์ค เขาจะไปเช่าร้านและเริ่มทำธุรกิจ
โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น
“หลี่หาน เราอัดเพลงเสร็จแล้วนะ ส่งก๊อปปี้ไปให้นายแล้วด้วย”
เป็นข้อความจากซูอวี่ฉิง
“จิ้งจอกขาวกับบัณฑิต” อัดเสร็จแล้วงั้นเหรอ? ค่อนข้างไวเลยทีเดียว
อีกอย่าง เวลานี้ซูอวี่ฉิงตื่นแล้วงั้นเหรอ?
หลี่หานตอบกลับ “ขอบคุณครับ งานหนักหน่อยนะครับ”
“ถึงบ้านแล้วเหรอ?”
“ใช่ครับ พึ่งถึงเมื่อวาน”
“นายจะเขียนเพลงใหม่อีกครั้งตอนไหน?”
“ยังไม่แน่ใจเลยครับ”
ในความหัวของหลี่หานนั้น มีเพลงคลาสสิคอีกหลายเพลงจากชีวิตก่อนของเขา แต่เขาอาจจะก๊อปปี้มันไม่ได้
เนื้อเพลงนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่กุญแจหลักคือดนตรี
เพลงที่เรียบง่ายอย่าง “จิ้งจอกขาวกับบัณฑิต” นั้นทำให้หลี่หานต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแต่ง แต่ถ้าหากเป็นเพลงที่ซับซ้อนกว่านี้ เขาคงทำมันไม่ได้
ดังนั้น ลืมมันไปได้เลย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ต้องการที่จะเป็นนักร้องหรือคนดังอยู่แล้ว มันไม่สำคัญว่าเขาจะเขียนเพลงหรือไม่
หากเขาไม่สามารถรีสตาร์ทระบบได้ มีหวังเขาคงได้ก๊อปปี้เพลงคลาสสิคเก่า ๆ ของสหรัฐอเมริกาอีก
แต่บางทีเขาก็อาจจะก๊อปปี้เพลงคลาสสิคจากในชีวิตที่แล้วของเขาอีก
เพื่อทำให้เพลงคลาสสิกของชีวิตก่อนหน้านี้กลายเป็นเพลงคลาสสิกในโลกนี้เช่นกัน
ด้วยวิธีอาจจะทำให้ชีวิตของเขานั้นมีค่ามากขึ้นจากการเกิดใหม่
หลังจากเงียบไปซักพัก ข้อความใหม่ก็เข้ามา “นายมีแผนที่จะเปิดร้านขายของแล้วทำฟาร์มอยู่ที่บ้านจริง ๆ เหรอ?”
“ใช่แล้ว ผมจะทำมันแน่นอน ตอนนี้ผมก็กำลังขายแตงกวาอยู่ที่ตลาด”
“ขาย…แตงกวา? นายขายมันยังไง?”
“ขายเป็นแผงลอยข้างถนนไง”
“อะไรนะ?….”
“มีอะไรหรือเปล่า?คุณซู…”
“ไม่ ๆ …มันโอเคแล้ว นายเอาแตงกวาจากที่ไหนมาขายเหรอ?”
“อืมมม ผมปลูกมันที่บ้าน ถ้าหากกินไม่หมดก็จะเอามาขาย ถึงจะมีไม่มากเท่าไหร่ก็เถอะ”
“โอ้…โอเค ๆ ๆ”
“……”