The Overlord of Blood and Iron - ตอนที่ 53: ชะตากรรมของคนทรยศ
The Overlord of Blood and Iron
ตอนที่ 53: ชะตากรรมของคนทรยศ
“อัก”
แม้จะโดนอัดจนน่วมแต่สเลจน์ก็ยังยืนหยัด
ถึงจะพ่ายแพ้และถูกมนุษย์เพียงคนเดียวทุบตี แต่ไม่ว่าอย่างไร ด้วยความภาคภูมิใจในฐานะคนแคระ เขาจะไม่ยอมส่งเสียงร้องครวญครางออกมาให้ใครได้ยินเป็นอันขาด
ข้าว!
ท้าวว!
หมัดของคังชอลอินพุ่งไปทั่วทั้งร่างของสเลจน์ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าผ่า
อีก!
ในที่สุดปากที่ปิดสนิทของสเลจน์เริ่มส่งเสียงครวญครางออกมาเล็กน้อย
“เช่นนั้น…เจ้ากําลังบอกข้าว่ากระดูกของเจ้าค่อนข้างอดทนได้ดีใช่หรือไม่?” คังชอลอิมยิ้มเยาะราวกับว่าเขาชอบใจในความอดทนของสเลจน์ มันคือท่าทางที่ยอมรับว่าถึงอย่างไรสเลจน์ก็ยังไม่ได้ร้ายเลวไปเสียหมด
“อีก…คิดหรือว่าคนอย่างเจ้าจะสามารถควบคุมข้าได้? หึ ไม่มีทาง!! ฮ่าๆๆ!” สเลจน์เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งใส่คังชอลอิน
“โอ้ อย่างนั้นหรือ?” คังชอลอินตอบกลับก่อนจะเริ่มแสดงการโจมตีที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอธิบายออกมาเป็นคําพูดได้ สําหรับเขาแล้วมันยังมีวิธีอีกมากที่จะทําให้คนแคระที่ยังอดทนและยืนหยัดอยู่ตรงนี้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการโจมตีของเขา
“ศึกอัก เอ็ก… อุก… ด้วยแค่นี้เจ้าไม่มีทาง…ทําได้…อ้ากก! ดะ ได้โปรด!”
ทันทีที่คังชอลอินเริ่มใช้กําลังที่แท้จริงของเขาในการทรมาน ปากของสเลจน์ก็เริ่มพ่นคําร้องขอความเมตตาในทันใด
“อ อ้ากกก!! อ๊ากกกก!”
และในไม่ช้า หูของพวกเขาก็ถูกเสียงกรีดร้องแหลมทําลาย
“ได้… ได้โปรด!”
“แค่ฆ่าเอื้อ!!”
“อ๊ากก! หยุด… อีก..โจม..ได้โปรด…”
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา สเลจน์ก็เริ่มอ้อนวอนและร้องไห้ต่อหน้าคังชอลอินราวกับความภาคภูมิใจที่มีอยู่ในตอนแรกเป็นเพียงจินตนาการที่เกิดขึ้น
“การโจมตีที่รุนแรงแบบนี้มันอะไรกัน?”
“ว้าว ข้าไม่มีทางจะทําให้ท่านผู้นาโกรธเป็นอันขาด ไม่อย่างแน่นอน”
นักผจญภัยที่มองดูอยู่เริ่มตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว มันเป็นการโจมตีที่ชวนให้ขนลุกพองสยองขวัญ เขาได้แสดงให้เห็นอย่างแท้จริงแล้วว่าการลงมือฆ่าคนอย่างรวดเร็วโดยไม่ทําให้คนๆนั้นต้องเจ็บปวดนั้นคือความเมตตาในรูปแบบหนึ่ง
“เป็นไปอย่างที่คิดไม่มีผิด มันชวนให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ” ดังชอลอินพึมพําขณะอยู่ในระหว่างการทรมานสเลจน์ หากมีใครบางคนมาบังเอิญได้ยินเสียงพึมพําของเขาในเวลานี้เข้า พวกเขาคงจ้องมองมาเสมือนว่าเขาเป็นคนประหลาดก็เป็นได้
“ช ชอลอิน?” ลีแชรินส่งเสียงเรียกอย่างระวัง เป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกตื่นกลัวเมื่อได้เห็นคังชอลอินทุบตีและทรมานสเลจน์จนกระทั่งถึงจุดที่เขาไม่สามารถพูดเป็นคําได้อีกต่อไป
“แล้วเราควรทําอย่างไรกับเขาต่อ? จะฆ่าเขาตอนนี้เลยหรือไม่?” ลีแชรินเอ่ยถาม
“ไม่” คังชอลอินส่ายหน้าปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้น”
“เราต้องทําให้มันเป็นตัวอย่าง”
“ตัวอย่าง?”
“วันพรุ่งนี้ ข้าวางแผนจะประหารหัวของมันต่อหน้าพลเรือนดินแดนของเจ้าทุกคน จากนั้นพวกเขาก็จะตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่คิดกบฏต่อต้านเจ้า พวกเขาต้องได้เห็นด้วยตาของตัวเองว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเขาคิดในสิ่งที่ไม่สมควรคิดกับรา
ชันย์”
“โอ้…” ลีแชรินอ้าปากค้างเมื่อกระบวนการคิดของคังชอลอินได้สอนให้นางรู้แจ้งเห็นจริง
“ดั่งที่เจ้าว่า…หากข้าฆ่าสเลจน์ในตอนที่ยังสูญเสียอํานาจมันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าที่ควร ข้าเพียงต้องอดทนรออีกหนึ่งวัน…จากนั้นข้าถึงจะสามารถได้สิทธิอํานาจราชันย์กลับคืน…” นางผงกหัวให้กับตัวเองขณะครุ่นคิด
“เจ้าเริ่มเรียนรู้แล้ว” คังชอลอินเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากขึ้นบนใบหน้า ในที่สุดเขาก็สามารถสื่อสารกับลีแชรินเช่นราชันย์กับราชันย์จนได้ มันเหมือนเกือบจะเป็นการสั่งสอบบทเรียนให้แก่ศิษย์ก็ไม่ปาน
“ความตายไม่ใช่สิ่งสวยงาม มันจะเป็นการสังหารที่น่ากลัว เจ้าไม่ต้องการทําเช่นนั้นหรือไม่?”
“ไม่ ข้าเกลียดชายผู้นี้ด้วยใจจริง แม้ข้าจะให้อภัยกับคนแคระคนอื่นแต่เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ข้าไม่สามารถทําเช่นนั้นให้ได้”
“การประหารจะเต็มไปด้วยกองเลือดที่สาดนอง มันจะเป็นความหวาดกลัวที่ปลูกฝังลึกลงไปถึงหัวใจของคนที่ได้มองดู”
“ข้าหวังว่าหากถึงตอนนั้น… ข้าจะสามารถทนรับมันได้ไหว” ร่างกายของลีแชรินเริ่มสั่นคลอนโดยไม่ตั้งใจ คังชอลอินที่กําลังบรรยายถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทําให้นางนึกภาพการประหารที่น่าสยดสยองดั่งที่คังชอลอินกล่าว
“โพดอลส์กี้” คังชอลอินเรียกหาผู้รับใช้
“ขอรับนายท่าน”
“มัดตัวมันไว้ให้ดีแล้วเอาไปขังที่คุกใต้ดินซะ จงตรวจสอบจนแน่ใจว่ามันจะต้องไม่ตายหรือสามารถหลบหนีไปไหนได้จากการผูกมัดของเจ้า”
“เข้าใจแล้วขอรับองค์ราชันย์”
คังชอลอินไม่รู้ว่าจะมีใครที่มีประสบการณ์และน่าเชื่อถือได้เหมือนกับโพดอลส์ด้านการผูกมัดนี้อีกแล้ว
“หึม” หลังจากเหลือบมองสเลจน์ที่กําลังหมดสติ โพดอลส์กี้ก็เริ่มทํางาน
เป็นไปตามที่คาด โพดอลส์กี้พูดมักร่างของสเลจนราวกับเขาเป็นแฮมเพียงท่อนหนึ่ง ขณะมองดูด้วยความรู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกเหมือนกับว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่สเลจน์จะขยับตัวใดๆได้ แม้กระทั่งการขยับนิ้ว
“ชอลอิน …. หากมีข่าวรั่วไหลออกไปแล้วคนแคระเริ่มเคลื่อนไหวประท้วงข้าควรจะทําเช่นไร?” ลีแชรินเผยความกังวลอย่างสมเหตุสมผล
“มันยังมีอีกวิธี” แต่สําหรับคังชอลอินแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหา
“อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะสังหารคนแคระพวกนั้นทั้งหมด?”
“ไม่มีทางเสียล่ะ อัตราการทํางานของคนแคระนั้นคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างมาก พวกเขาเป็นที่หนึ่งในบรรดาเผ่าพันธุ์ที่ชอบการทํางานเผ่าหนึ่ง หากพวกเราฆ่าพวกเขาไปหมดมันจะเป็นการสูญเสียสําหรับเจ้า แล้วมันก็จะเป็นการสูญเสียสําหรับข้าอีกเช่นกันเนื่องจากเรา เป็นพันธมิตรกัน … เช่นนั้นเราจะใช้เขา”
คังชอลอินชี้ไปที่นักปราชญ์มาเจสติกที่กําลังสั่นไหวด้วยความกลัว “ใช้เขาหรือ?”
“เมื่อเจ้าได้เขียนรายชื่อต้องประหาร เหตุผลที่เจ้าต้องการไว้ชีวิตเขาคืออะไร?”
“นั่นเป็นเพราะเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มที่น่าเลื่อมใสของลัทธิ แม้ว่าเขาจะพยายามทรยศข้าอย่างไร แต่ขากลัวการก่อกบฎและการประท้วงที่คนแคระคิดจะทําหากสูญเสียเขา”
“ถูกต้อง”
“อะไรหรือ?”
“หากเราใช้เขา มันคงไม่ยากที่เจ้าจะได้รับความเคารพและอํานาจที่เจ้าต้องการจากคนแคระ”
“โอ้” นางอุทานเมื่อได้รับเส้นทางแห่งแสงสว่าง
“แล้วคนแคระคนนั้น” คังชอลอินชี้ไปที่หัวหน้างานยูราดด์
“ชายคนนั้นยังภักดีต่อเจ้า หากเจ้าสามารถควบคุมเขาได้ เจ้าก็จะได้รับความเคารพและได้ใจจากคนงานขุดเหมืองแร่ทั้งหมด” คังชอลอินได้คํานวณสิ่งที่ต้องทําหลังการทําความสะอาดไว้หมดแล้ว
“60 – 70 คนสูงสุดประมาณนี้ เราต้องฆ่าคนจํานวนมากเท่านั้น พวกคนที่คิดจะช่วยกบฏอย่างแข็งขัน”
“ข้าเข้าใจ”
“เช่นนั้นก็จงเริ่มดําเนินการซะ”
ดีแชรินเดินเข้าไปหายูราดด์ในทันใด
“หัวหน้าแรงงานยูราดด์”
“ขอรับ…ท่านหญิง”
“ข้าไม่มีทางเลือก หากข้าไม่กระทําการเช่นนี้ชีวิตของข้าคงเป็นอันจบสิ้น”
“ข้าเข้าใจขอรับ”
“ข้าต้องการเจ้า ยูราดด์ แม้เจ้าจะยืนอยู่เคียงข้างพวกเขา แต่ข้ารู้ดีว่ามันเป็นเพียงความต้องการที่เจ้าอยากได้นี่ด้าเวลเลียร์กลับคืน”
“ท่านหมายถึง..!”
“ใช่ ข้าไม่มีความตั้งใจจะสละนด้าเวลเลียร์ให้แก่ใคร ข้าวางแผนที่จะนํามันกลับมาหลังจัดการเรื่องราวภายในดินแดนเสร็จ เจ้าช่วยรอข้าเดี๋ยวได้หรือไม่? ข้าสัญญาว่าข้าจะนํามันกลับคืนมา หลังจากนี้อีกเพียงหนึ่งเดือน”
“เพียงหนึ่งเดือน?”
“ใช่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม” ลีแชรินได้แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่และความตั้งใจจริงจากทุกคําที่นางกล่าว
ยูราดด์กัมล้มคุกเข่าเอาหัวแนบพื้นเพื่อทําความเคารพแก่ลีแชรินในทันใด
“ยูราดด์ผู้นี้จะขอปฏิญาณภักดีต่อองค์ราชันย์จนถึงวันที่ข้าหมดสิ้นลมหายใจ โปรดให้อภัยกับความไม่ซื่อสัตย์ของข้าก่อนหน้านี้ด้วยเถอะขอรับ!”
ด้วยเหตุนี้ ยูราดด์และคนงานเหมืองอีก 150 คนที่ได้ติดตามเขา ก็ได้หันมาให้ความเคารพแก่ลีแชรินด้วยเช่นกัน
“เจ้าเป็นนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?” คังชอลอินเอ่ยถาม
นักปราชญ์มาเจสติกคืองานส่วนสําคัญของคังชอลอิน
“ชะ ใช่…”
“เจ้าจะให้การปราศรัยและพูดจาว่าร้ายแก่สเลจน์ในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่?”
เขาต้องการทําให้สเลจนกลายเป็น “ไอ้สัตว์นรกเหลือเดน” ของดินแดนหลังการปราศรัยก่อนการประหาร
“ข้าจะทํา ข้าจะทํามันแน่ๆ! ข้าจะบอกแก่ทุกคนด้วยว่าข้าจะสนับสุนราชันย์ลีแชริน! ให้ข้าได้ทําเถิด ให้ข้าดูแลเรื่องนี้เอง!”
นักปราชญ์มอบสัญญาว่าเขาจะสนับสนุนลีแชรินนับต่อจากนี้ ดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“แล้วถ้าเจ้าพูดเรื่องไร้สาระ?”
“ไม่ ๆ ไม่เด็ดขาด กรุณาไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด…!”
“ข้าจะตั้งใจเฝ้ามองดูมันอย่างดีว่าเจ้าคิดจะทําการแสดงออกมาอย่างไร”
“ได้โปรด ท่าน ให้ข้าได้จัดการ โอ้ท่านหญิง ท่านช่วยประทานอภัยแก่นักปราชญ์ที่โง่เง่าคนนี้ได้หรือไม่ขอรับ?” เขาวิ่งเข้าหาลีแชรินก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้านางเพื่ออ้อนวอน
“ดูเหมือนว่าการชะล้างคนชนชั้นสูงจะเสร็จสิ้นแล้วในตอนนี้ หลังจากนี้อีกไม่นาน อํานาจของนางในการปกครองดินแดนแห่งนี้ก็จะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์
“ตอนนี้ได้เวลากําจัดชิ้นส่วนเน่าเสียอื่นๆต่อ”
“ยูราดด์ เจ้าช่วยพาคนงานของเจ้ากําจัดขยะภายในดินแดนแห่งนี้ได้หรือไม่?”
“นั่น นั่นมัน…” ยูราดด์ลังเลเพราะไม่รู้ว่าคังชอลอินเป็นใคร คังชอลอินที่จู่ๆก็โผล่พรวดพราดเข้ามาแล้วล้มกลุ่มก้อนเหล็กทั้งหมดด้วยพลังอันน่ากลัว ทําให้เขาเกิดความระวังตัว
“ยูราดด์” ลีแชรินกล่าวเรียก “เขาคือราชันย์แห่งดินแดนอื่นที่เป็นพันธมิตรกับเรา”
“อย่างนั้นเองหรือขอรับ”
“เขาจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพจนถึงวันที่เราได้รับชัยชนะและ เอานีด้าเวลเลียร์กลับคืน คําสั่งจากเขาก็ถือเป็นคําสั่งของข้าด้วยเช่นกัน”
จากนั้นความสงสัยและข้อควรระวังบนใบหน้าของยูราดด์ก็ได้หายไป
“แน่นอนขอรับ องค์ราชันย์!” ยูราดด์น้อมรับคําสั่งของคังชอลอินแต่โดยดี
“ดีมาก หากเจ้าสามารถทําสิ่งนี้ได้ดี ข้าจะสํารองชีวิตเจ้ารวมถึงคนงานเหมืองของเจ้าในฐานคนแคระที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไปฆ่าพวกเขาทั้งหมด คิดเสียว่าการกระทําในครั้งนี้เป็นเพียงการกําจัดขยะที่เหม็นเน่าก็แล้วกัน ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้เป็นผู้ตัดสินใจเอาเองว่าใครที่ควรหรือไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อ … เช่นนั้นก็จงไปซะ พิสูจน์ความภักดีต่อองค์ราชันย์ของเจ้า เจ้าจงเริ่มกําจัดขยะอย่างช้าๆ และจงทํามันอย่างเงียบเชียบ”
“ขอรับ!”
“บิลลี่ ส่งนักผจญภัยยี่สิบคนให้มาช่วยยูราดด์”
“ขอรับท่านผู้นํา”
จากนั้นบิลลี่ ยูราดด์ และนักผขญภัยอีกยี่สิบคนก็ได้ออกจากห้องโถงไปในไม่ช้า ด้วยเหตุนี้ “คนชั่ว” ทุกคนของดินแดนโดราโด้จึงได้รับการดูแล
“ในที่สุดมันก็จบเสียที… สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้คือการประหารชีวิตสเลจน์ในวันพรุ่งนี้ แล้วข้าก็จะใช้สิ่งนั้นเป็นโอกาสที่จะได้รับความเคารพและความภักดีจากพลเรือน”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับบทบาทของชายคนนั้น” คังชอลอินจ้องมองไปยังนักปราชญ์ที่กําลังตัวสั่นผวา
“ข้าเชื่อในตัวเขา เขามีความกลัวอย่างมาก ด้วยความกลัวนี้เขาจะไม่สามารถทําการอื่นใดได้”
“ลีแชริน”
“
?”
“เจ้าสามารถมองคนออก”
“เจ้า…หมายถึงสิ่งใด”
“ดั่งที่ข้าพูด มันเป็นความสามารถที่ดีดังนั้นจงทําให้แน่ใจว่าเจ้าได้ฝึกฝนมันมากยิ่งขึ้นเพื่อในอนาคต มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถครอบครองไว้ได้”
หลังจากพูดอย่างนั้นจบ คังชอลอินก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อให้ลีแชรินได้ติดตามเขาออกไป
“ไปกันได้แล้ว”
“ไปที่ใด?”
“เราจําเป็นต้องมีหน่วยอารักขาเจ้าเป็นการส่วนตัว”
เขาต้องการให้นางใช้ [คลังราชันย์]
หลังการกวาดล้าง นางถูกทิ้งให้อยู่เพียงลําพังโดยไม่มีผู้ช่วยส่วนตัวหรือหน่วยอารักขาใดๆ ดังนั้นมันจําเป็นต้องสร้างคนกลุ่มใหม่ขึ้นมาแทนเพื่อปกป้องนาง
นางยึดมั่นในการควบคุมดินแดนของนางอย่างมากและผู้คุมในส่วนนี้จะมีบทบาทที่สําคัญในเรื่องนั้น
ลึกเข้าไปยังดินแดนโดราโด้จะมีโรงยิมรูปโดมตั้งวางอยู่ มันน่าขันที่คนพามาที่นี่ไม่ใช่ลีแชรินหากแต่เป็นคังชอลอินแทน
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเคยใช้กองกําลังแบบใดมาก่อนและข้าก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น” คังชอลอินว่า
“เจ้าต้องแยกถึงความต่างระหว่างกองกําลังที่ใช้อารักขาและกองกําลังที่ใช้ในสงครามให้ได้ เข้าไม่ควรนําทั้งสองสิ่งนี้มาใช้ปะปน” ลีแชรินรับฟังคําแนะนําของคังชอลอินอย่างตั้งใจเพราะนางกลัวที่จะพลาดไปแม้แต่คําเดียว
“กองกําลังที่มีประโยชน์ที่สุดสําหรับเจ้าในตอนนี้คือกองกําลังที่เจ้าจะสามารถควบคุมมันได้แม้จะไม่มีความสามารถพิเศษใดเลยก็ตาม พวกเขาต้องเป็นอะไรที่ง่ายต่อการควบคุม
“เจ้าพูดถูก ข้าไม่สามารถควบคุมกองกําลังใดได้เลยเมื่อข้าออกคําสั่ง”
“เช่นนั้นก็จงเปิดคลังราชันย์แล้วดูกองกําลังที่มีขายอยู่ในตอน
เมื่อได้ฟังคําพูดจากคังชอลอิน ลีแชรินที่ถือครองแกนวิญญาณ อยู่ในมือก็ออกคําสั่งเปิดคลังราชันย์ในทันใด
[คลังร้านค้า]
– ระดับ D, E, F เท่านั้นที่จะสามารถซื้อได้
– ระดับของกองกําลังที่ขายจะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับของราชันย์
[กองกําลังภาคพื้นดิน]
[กองกําลังเคลื่อนที่]
[กองกําลังทางน้ํา
[กองกําลังทางอากาศ]
[กองกําลังพิเศษ]
[กองกําลัง…] (ปลดล็อคเมื่อได้เป็นจอมราชันย์แล้วเท่านั้น)
[รายการที่เกี่ยวข้องกับกองกําลัง]
“เปิดขึ้นมาแล้ว” ลีแชรินกล่าว
“กดเลือกที่เมนูย่อย [กองกําลังภาคพื้นดิน] และ [ครึ่งมนุษย์
“จากนั้นก็เลือก “มนุษย์สุนัข” (ครึ่งคนครึ่งสุนัขตามชื่อที่แนะนํา) ที่อยู่ในระดับ D
“มนุษย์สุนัข..”
“ทหารผู้ซื่อสัตย์”
“มันค่อนข้างแพงที่เดียว ต้องใช้ถึงแปดสิบทอง”
“พวกเขาจะคุ้มค่าอย่างมาก หากให้พูดสั้นๆ พวกเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสําหรับเจ้าในตอนนี้”
“ได้ ข้าจะยอมซื้อสิ่งนี้หากเจ้าพูดมาเช่นนั้น” นางพยักหน้าแล้วขยับนิ้วมือเพื่อกดปุ่มซื้อ
ซึบๆ !
ทันทีที่นางกดตกลง “รูปแบบอันน่าอัศจรรย์” ของวงเวทย์ขนาดมหึมาก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างมนุษย์สุนัขจํานวนมาก
ด้วยความประหลาดใจ พวกเขาดูสง่างามและน่าประทับใจเป็นอย่างมาก
มนุษย์สุนัขทั้งหมดล้วนสวมชุดทักซิโด้สีดําและหมวกที่ยิ่งทําให้ดูเหมือนนายตํารวจชาวอังกฤษ แต่ละคนจะมีอาวุธติดตัวเป็นของตัวเอง ไม่เพียงแค่นั้นแต่หน่วยอารักขาแต่ละคนจะมีส่วนหัวที่แตกต่างกันออกไปซึ่งเป็นไปตามสายพันธุ์สุนัขที่แตกต่างกัน
“เงิน…”
ขณะมองดูการซื้อตรงหน้า คังชอลอินอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าให้กับราคาที่ดินของลาพิวต้าอีกครั้ง
เพราะเขาไม่มีเงินเขาจึงไม่สามารถขยายดินแดนของตัวเองได้ กระทั่งการจะซื้อกองกําลังที่มีราคาเท่าทองแปดสิบแห่งก็ยังไม่อาจทําได้
เขาไม่ได้มีความรู้สึกอิจฉาแต่อย่างใด มันเป็นเพียงความรู้สึกขมขื่นที่เกิดขึ้นเพียงใจในเท่านั้น
หลังจากได้ร่วมมือกับลีแชรินแล้วเขารู้ตัวดีว่าเขาจะร่ํารวยอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไป
ขณะที่คังชอลอินกําลังคิดถึงอนาคตอยู่นั้น ผู้นํามนุษย์สุนัขคนหนึ่งก็ได้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลีแชริน ส่วนหัวของเขามาจากสายพันธุ์โดเบอร์แมนพร้อมกับร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงสมฐานะ
จากนั้นเขาก็กล่าวคําทักทายแก่นางที่มีแต่เพียงมนุษย์สุนัขเท่านั้นที่จะทําเช่นนี้
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านขอรับ! ข้าผู้นี้มีนาทว่าอะนูบิส ข้าจะใช้ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณที่มีเพื่อรับใช้ท่านนับตั้งแต่นี้ไป!”
ตามที่คาด อะนูบิสมนุษย์สุนัขนั้นเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ และความจงรักภักดีอย่างมาก
“ยินดีที่ได้พบเจ้าเช่นกัน อะนูบิส” ลีแชรินพยักหน้ารับ
“นับจากนี้ข้าจะขอแต่งตั้งให้เจ้าและทีมของเจ้าเป็นกลุ่มชนชั้นนําและพลังของดินแดนโดราโด้”
“ขอรับ!”
“ข้าจะมอบหมายงานชิ้นแรกให้กับเจ้า จงคุ้มกันสถานที่แห่งนี้ ในขณะที่ข้าและผู้บัญชาการคั่งของอินกําลังพูดคุยกัน”
“ข้าพร้อมยอมรับคําสั่งในทันใดขอรับ!”
ทันทีที่นางได้ออกคําสั่ง มนุษย์สุนัขทุกคนก็เริ่มออกวิ่งไปยังปลายสุดของโรงยิมเพื่อทําการป้องกัน
“คําสั่งของข้า…กําลังทํางาน”
“มนุษย์สุนัขจะเริ่มต้นความภักดีจาก 100% เต็ม เจ้าจะสามารถรักษาสิ่งนั้นไว้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้า
“โอ้ ขอบใจเจ้ามาก ชอลอิน”
“ไม่จําเป็นต้องขอบคุณ มันอยู่ในสัญญา”
“โอ้ แต่กองกําลังสุ่ม” ที่อยู่ในกองกําลังพิเศษนี้มันคืออะไร? ทําไมถึงได้มีราคาแพงถึงทอง 500 แท่ง?”
“นั่นมัน…” ใบหน้าของคังชอลอินแข็งที่อไปในทันทีเมื่อได้ยินนางพูดถึงกองกําลังสุ่ม
“ข้าขอแนะนําว่าเจ้าอย่าได้ไปแตะต้องมันจะดีกว่า”
“ฮะ?”
“มันคือการพนัน
“การพนัน?”
“เป็นการพนันที่มีคุณภาพต่ําอย่างมาก ตามชื่อเรียกการขาย มันคือกองกําลังสุ่มทั้งหมด เจ้าจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเป็นกองกําลังใดออกมา แต่จากประสบการณ์ของข้า…จากร้อยทั้งร้อยที่ข้าเรียกใช้ มันคืออะไรบางอย่างที่คล้ายกับหน่วยสอดแนมก็อบลินไร้ประโยชน์”
ทันใดนั้นคังชอลก็หวนนึกถึงความทรงจําในอดีตที่เขาไม่ต้องการจดจํามากที่สุดขึ้นมา