The Overlord of Blood and Iron - ตอนที่ 51: ทําความสะอาด
The Overlord of Blood and Iron
ตอนที่ 51: ทําความสะอาด
ทันทีที่ได้ฟังคําพูดของลีแชรินจนจบ ใบหน้าของกลุ่มคนแคระก็แข็งกระด้างขึ้นในทันใดแต่มันก็แค่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
กลุ่มคนแคระเริ่มจ้องมองไปที่นางด้วยความคลั่ง กระทั่งบางคนก็ไม่สามารถมีดวงตาที่รู้สึกขบขันปนอยู่ร่วมด้วยแต่อย่างใด คําพูดของนางที่ฟังดูแล้วไม่มีอะไรไปมากกว่าการแสดงถึงภัยคุกคามต่อพวกเขา
ลงโทษสําหรับคนที่ไม่เชื่อฟัง?
จะฆ่าพวกเขาอย่างนั้นหรือ?
มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สําหรับราชันย์ผู้ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยอํานาจเท่านั้น ไม่ใช่ราชันย์ที่อ่อนแอนเช่นคนอย่างนาง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรจริง ๆ นางผู้หญิงโง่ ฮ่า ๆ” นักปราชญ์มาเจสติกกล่าวพร้อมกับลูบเครายาวสีขาวของเขา
“เจ้าบอกจะช่วยพวกเรานํานีด้าเวลเลียร์กลับคืนแต่กลับมา พวยพุ่งแต่เรื่องราวไร้สาระแทน…ดูเหมือนราชันย์ของพวกเราจะเสียสติไปแล้วละมัง ถึงได้กล้าลากพวกเราออกมายามดึกเช่นนี้”
เมื่อพูดเช่นนั้นจบ นักปราชญ์มาเจสติกก็จ้องมองไปที่ลีแชรินราวกับว่านางเป็นเพียงแมลงตัวหนึ่งที่เขาจะสามารเหยียบย่ำให้ตายเมื่อไหร่ก็ยังได้
“หึ ๆ อย่าบอกข้านะว่าเป็นเพราะไอ้ขี้เมาที่มาพบกับท่าน ในครั้งก่อนถึงได้กล้าพูดอะไรเช่นนี้? ท่านหญิง?” สเลจน์กล่าวคําเฉือดเฉือนราวกับต้องการฉีกร่างของนางออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซะให้รู้เรื่องรู้ราว
“ขี้เมา? รอบตัวข้าไม่มีใครที่ขี้เมาทั้งนั้น ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร ผู้ช่วยสเลจน์”
“ฮ่า ๆ หยุดทําท่าเสแสร้งเสียที”
“เสแสร้ง?”
“เจ้าพูดถึงเรื่องนี้กับ “โพดอลส์กี้” คนที่มาจากบ้านเกิดเจ้าไม่ใช่หรืออย่างไร?” สเลจน์กล่าวด้วยท่าที่ภูมิใจ
“แม้ท่านหญิงจะพยายามหลบหนีจากโชคชะตานี้อย่างไร แต่ดูเหมือนนางจะยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตของนางกําลังตกอยู่ในกํามือของใคร ฮ่า ๆ ๆ”
“เช่นนั้นเจ้าก็คงได้ยินบทสนทนาของข้าทั้งหมดแล้ว…กล้าดีอย่างไรถึงได้มาสอดแนมราชันย์ผู้ครองดินแดนของเจ้า” สี น้าของลีแชรินเยือกเย็นอย่างไม่มีที่เปรียบ
“กล้า? หึ พูดจบหรือยัง?”
“หากเจ้าสอดแนมในเรื่องส่วนตัวของราชันย์ แม้กระทั่ง “กล้า” ก็ไม่ใช่คําที่แสดงออกถึงสิ่งที่ควรให้อภัย เจ้าไร้ซึ่งทั้งความเคารพและความภักดี สเลจน์”
“เรียกข้าว่าไร้ซึ่งความเคารพและความภักดีอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ เจ้าเป็นดั่งที่ข้าว่าสเลจน์ เจ้าเป็นเพียงคนทรยศที่ไร้ค่า และไม่ว่าเจ้าจะร้องขอมากเพียงใดแต่ข้าไม่มีแผนที่จะช่วยให้เจ้าได้มีชีวิตรอดไปจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้อีกต่อไป”
“ช่วยชีวิตข้า? ฮ่า ๆ ๆ ๆ” สเลจน์หัวเราะราวกับว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมากที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาได้ฟังมา
“เฮ้อ…นางแพศยาโฉดเขลา”
และเขาก็ได้ข้ามเส้นอย่างไม่อาจถอยกลับมาได้ในที่สุด
“ทะ…ท่านผู้ช่วยสเลจน์”
คนแคระที่ถือพลั่วก้าวเข้ามายืนขวางระหว่างทั้งสองคน
“แม้ราชันย์จะใช้คําพูดเกินจริงไปบางคํา แต่ท่านไม่ก้าวล้ำเส้นไปหน่อยหรือขอรับ? แม้นางจะไม่ช่วยพวกเราทวงคืนนี้ ด้าเวลเลียร์แต่นางก็ยังเป็นราชันย์ของพวกเรา”
คนแคระคนนั้นก็คือผู้นําคนงานทั้งหมดที่อยู่ในนี้ด้าเวลเลียร์ หัวหน้าแรงงานยูราดด์
“ข้าว่าท่านควรขออภัยที่ล่วงเกินราชันย์ไปเสียจะดีกว่านะขอรับ”
ยูราดด์ไม่คิดสนใจเรื่องการต่อสู้เพื่อสิทธิทางอํานาจ สิ่งที่เขาให้ความสนใจมีเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือการนําภูเขานีด้าเวลเลียร์กลับคืนและทํางานต่อไป เขาเป็นหนึ่งเดียวที่ยังคงภักดีต่อราชันย์ลีแชริน
“หุบปากไปซะ เจ้าคนแคระโง่เง่าและรู้แต่วิธีการทํางานในเหมือง”
สเลจน์มองอย่างหยามหมิ่นไปที่ยูราดด์
“ขออภัย?”
คนแคระล้วนแต่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก แม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่เกี่ยงไม่ได้ว่ายูราดด์มีลําดับฐานะที่ต่ำกว่าสเลจน์ แต่เขาก็ไม่สนใจและเริ่มจ้องมองมีดสั้นที่เขาพกติดตัวด้วยมา
“ท่านเรียกข้าว่าคนโง่เง่าอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ข้าจะเรียกคนโง่ว่าคนโง่ไม่ได้หรืออย่างไร?”
“ไอ้สารเลวนี่! หลังจากพูดจาหยามหมิ่นองค์ราชันย์เช่นนั้น แล้วเจ้ายังกล้าพูดจาเย้ยหยันคนอื่นด้วยปากที่โสมมของเจ้าเช่นนี้อีกหรือ?”
“ฮา! ไอ้คนแคระที่โง่เง่า” สเลจน์พูดพลางส่ายหัว
“มันก็เหมือนกับเจ้า นังแพศยาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั่น จะเป็นผู้นําของเราได้อย่างไร?”
“แน่นอนว่านางคือผู้นําของพวกเรา ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นใครไปได้อีก? ฮา! ผู้ช่วยสเลจน์ ไม่สิสเลจน์ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนทรยศของดินแดนจริง ๆ” หลังพูดเช่นนั้นจบ ยูราดด์ก็นําพลั่วมโหฬารของเขาขึ้นพาดไว้ที่ไหล่
“แม้ข้าจะเห็นด้วยกับเจ้าว่าเราควรลองนํานีด้าเวลเลียร์กลับคืนมาด้วยตัวเองแต่ข้าไม่สามารถดูหมิ่นราชันย์ผู้ปกครองดินแดนของเราได้ สเลจน์ เจ้าคือคนทรยศต่อดินแดน” ใบหน้าของยูราดด์ขึ้นสีแดงไปด้วยความโกรธเหมือนกับว่าเขาต้องการพุ่งเข้าหาสเลจน์เพื่อเอาชนะในตอนนี้ให้จงได้
แต่สเลจน์ยังคงสงบนิ่ง
“นี่คือเหตุผลที่ว่าทําไมข้าถึงเรียกเจ้าว่าคนแคระที่โง่เง่า เจ้าไม่รู้หรือว่านางแพศยาคนนี้คิดวางแผนเพื่อกําจัดพวกเราอยู่”
“แผนการ?”
“เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางมีสหายมาจากบ้านเกิดที่ชื่อ โพดอลส์กี้มายังดินแดนของเรา ทั้งสองดูเหมือนจะได้พูดคุยกันเรื่องการยึดครองโดราโด้ด้วยการนํากองทัพของราชันย์อีกคนเข้ามา คนทรยศที่แท้จริงไม่ใช่ข้า แต่เป็นนาง!” สเลจน์ ตะโกนลั่น
“อะ อะไรกัน?”
“นํากองกําลังจากภายนอกเข้ามางั้นรึ?!”
“ที่ข้ารู้ถึงกลิ่นเหม็นคาวที่มาจากนางได้เป็นอย่างดี นางเพียงแกล้งทําเป็นคนนิ่งเงียบและคนดีก็เท่านั้น”
กลุ่มคนแคระที่เดิมทีก็ไม่ได้มีความพอใจในตัวนางเริ่มคุยโวกันเสียงดัง
“กําลังภายนอก!” แม้แต่สมองของผู้ชอบธรรมก็ยังว้าวุ่นไปกับคํา ๆ นั้น
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือสเลจน์?” นายพลสมิธเอ่ยถามย้ํา
“แน่นอนนายพล”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้าส่งชายที่ชื่อแอนท์วานไปสอดแนมนางเพราะข้าคิดว่า นางน่าสงสัย และโดยไม่คาดคิด…”
“ข้าได้ยินเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับท่านนายพล ข้าขอสาบานต่อหน้าเคราคนแคระของข้าว่าสิ่งที่ท่านผู้ช่วยกล่าวมานั้นเป็นความจริง” เอนท์วานกล่าวเสริมด้วยอารมณ์ที่เต็ม ไปด้วยความรุนแรง
“มะ ไม่น่าเชื่อ” นายพลสมิธว่าก่อนจะยกขวานรบขึ้นมือ เพื่อตรงเข้าหาลีแชริน
“นายพลสมิธ! แม้ท่านจะขุ่นเคืองแต่ท่านไม่สามารถทําร้ายองค์ราชันย์ได้นะขอรับ!” ยูราดด์เข้ามาขาวทางกั้น
“หลบไป”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง! ลองคิดดูอีกที่สิขอรับ ท่านไม่ควรทําร้ายองค์ราชันย์ของพวกเรา!”
“นางคนนี้ไม่ใช่ราชันย์คนข้า!” สมิธตะโกนก้อง
“เฮ้อ…แม้แต่นายพลก็ยังพูดเช่นนั้น เกรงว่าข้าคงต้องปฏิบัติต่อเจ้าเช่นคนทรยศด้วยเหมือนกัน”
“เจ้าคนงานโง่!”
“เจ้าคนทรยศ!”
ทั้งสองคนต่างจ้องเขม็งต่อกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ขณะที่พวกเขากําลังเผชิญหน้ากันอยู่นั้น สเลจน์ก็ส่งเสียงหัวเราะในลําคอและยิ้มเยาะก่อนจะนํา “พวกนั้น” เข้ามา
“กลุ่มค้อนเหล็ก จงทําลายยูราดด์ซะ”
ด้วยเสียง “ตู้ม!” ที่ดังขึ้น ประตูที่ทํามาจากเหล็กดามัสกัส ราคาแพงที่มีอยู่ในนิทานปรัมปราถูกเปิดออกเพื่อให้กลุ่มคนผู้มีอํานาจสูงสุดของดินแดนโดราโด้ “กลุ่มค้อนเหล็ก” เดินเข้ามา
“เจ้ากล้าทําลายทรัพย์สินของดินแดน! เจ้ายังมีหน้าเรียกตัวเองว่าเป็นกองทัพที่ยอดเยี่ยมแห่งโดราโด้ได้อย่างไร?!” แม้ยูราดด์จะตะโกนและพยายามวิ่งเข้าหาพวกเขามากเพียงใด มันก็ยังไม่เป็นผล
ยูราดด์ที่เป็นเพียงคนขุดแร่ไม่มีทางต่อกรกับพวกชนชั้นสูง และกองกําลังขั้นยอดของกลุ่มค้อนเหล็กนี้ไปได้
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ท่านหญิง ได้โปรด ท่าน…”
พ้าว!
หนึ่งในกลุ่มค้อนเหล็กออกหมัดใส่ยูราดด์ตรงเข้ากับส่วนกระเพาะอาหารและเป็นแรงที่มากพอที่จะทําให้มนุษย์สลบ
“ฮ่า ๆ ๆ! แล้วอย่างนี้เจ้ายังจะทําอย่างไรต่อได้อีก?”
สเลจน์และกลุ่มค้อนเหล็กเริ่มเดินตรงเข้าหาบัลลักค์ที่ลีแชรินกําลังนั่งอยู่ด้วยท่าที่สบายพลางยิ้มเยาะ
“แผนการของเจ้าจบสิ้นแล้ว หรือข้าควรพูดว่ามันจบสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าคิดวางแผนการนี้แล้วดี?”
“ หมายความว่าอย่างไร?” ลีแชรินถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
“โพดอลส์กี้คนนั้นถูกจองจําเป็นนักโทษ”
“ไม่มีทาง…”
“ฮา! นางแพศยาหน้าโง่! มันไม่คิดช่วยเจ้ามาตั้งแต่ต้น! มันมาเพราะหวังทรัพยากรและทองมากมายที่เจ้ากําลังครอบครองนี้ต่างหาก ไม่เพียงเท่านั้นแต่มันควรจะถูกจองจําอยู่ในห้องขังและกําลังถูกทรมาน และในท้ายที่สุดข้าก็ได้ขังมันเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ข้าทนมาตลอดจนถึงตอนนี้” นางไม่คิดสนใจคนอื่น
“ไม่จําเป็นต้องมีเมตตากันอีกต่อไป” ความโกรธที่เดือดพล่านในตัวนางในที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อย
แม้นางจะพยายามนําคนแคระและโดราโด้ไปสู่ยุคที่รุ่งเรืองเพียงใด แต่ความเพิกเฉยคือสิ่งเดียวที่นางได้รับแล้วมันก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เมื่อขณะนี้นางกําลังถูกรุกรานโดยราชันย์ดินแดนอื่น
แต่ความจริงที่ว่านิสัยใจดีมีเมตตาของนางในตอนแรกได้ แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นหายนะสําหรับนางมากเพียงใด แต่นางไม่สามารถทําอะไรได้นอกจากถูกลากไปมาและอดทน
“ถึงเวลาเริ่มทําความสะอาดกันเสียที” นางพูด
“ข้าไม่สามารถทนรับเรื่องตลกที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นและไร้สาระเช่นนี้ได้อีกต่อไป หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็จงคุกเข่าซะ นี่จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย”
“ฮา!” สเลจน์ไม่สนใจและยังยิ้มเยาะไปที่นางอย่างไม่เก รงกลัว
“ทั้งหมดที่เจ้ารู้คือการพูดพร่ําไปเรื่อย เจ้าคิดจริงหรือว่า พวกข้าจะเชื่อในคํากล่าวนั้น?” นั่นคือสิ่งที่สเลจน์ได้พูดจนกระทั่ง…
“เจ้าช่างเลวร้ายยิ่งกว่าขยะเน่าเหม็นเสียอีก”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเยือกเย็นและเรียบนิ่งอย่างรุนแรง กล่าวดังขึ้นมา
“ถ้าราชันย์ของเจ้าบอกให้เจ้าคุกเข่าก็จงคุกเข่า เหตุใดต้องมาพูดมากและโต้แย้งนางเช่นนั้น?”
และคน ๆ นั้นก็คือเขา
“จงฆ่าทุกคนที่ไม่ได้คุกเข่า แน่นอนว่าเว้นมันคนนั้นไว้” คังชอลอินพูดขณะชี้ไปที่สเลจน์
และทันใดนั้น กลุ่มเงาทมิฬพลันปรากฏกายจากทางหน้าต่างเพื่อกระโจนเข้ามาเติมเต็มความว่างเปล่าของห้องโถงราชันย์