The Overlord of Blood and Iron - ตอนที่ 27: ความแค้นของคังชอลอิน
ตอนที่ 27: ความแค้นของคังชอลอิน
คังชอลอินทิ้งเรื่องราวการพบเจอกับลีแชรินไว้เพียงเบื้องหลัง เขาขับมัสแตงมุ่งหน้าไปยังตลาดที่อยู่ใกล้กับจังหวัดคย็องกี บูชอน ที่ ๆ แม่ของเขาทำงานเปิดร้านขายผลไม้ในตลาดแห่งนี้มาแล้ว 20 ปี
ใช่…
หากอเล็กซ์ รอสต์ไชลด์เป็นดั่งคนที่เกิดมาพร้อมกับความมั่งคั่งและเอกสิทธิ์พิเศษที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด คังชอลอินก็เป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เพียงผู้เดียวภายหลังผู้เป็นพ่อได้จากไปนั้นแต่ที่เขายังเยาว์วัย
‘นั่นไง’
แม่ของเขามีชื่อว่าปาร์คซุนจา เขาสามารถสังเกตเห็นแม่ตัวเองที่กำลังทำตัวให้อบอุ่นด้วยเครื่องทำความร้อนเก่า ๆ จากที่ไกล ๆ ได้
ตอนนี้มันก็เย็นมากแล้ว
ร้านค้าอื่น ๆ ต่างพากันทยอยดึงบานประตูเหล็กลงจนเกือบหมด คุณย่าคุณยายที่ขายของต่าง ๆ อยู่บนพื้นก็เริ่มเก็บของเตรียมกลับบ้านกันแล้วทั้งนั้น มีเพียงปาร์คซุนจาคนเดียวที่ยังไม่ยอมเคลื่อนไหวไปไหน สายตาของเธอเอาแต่จับจ้องอยู่กับข่าวในทีวี
“แม่จะทำงานให้หนักเพื่อจะได้หาเงินมาให้ลูกได้เยอะ ๆ ลูกจะได้มีเงินไปสร้างบ้านดี ๆ ตอนแต่งงาน”
คังชอลอินจดจำสิ่งที่ปาร์คซุนจาคอยกับพูดกับเขาอยู่เสมอได้ดี
บ้านดี ๆ
ปาร์คซุนจาที่ไม่สามารถอยู่อาศัยในอพาร์ทเมนท์ดี ๆ ได้แต่กลับพร่ำบอกเขาอยู่เสมอว่าเธอจะหาบ้านดี ๆ มาให้เขาอยู่ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นบ้านเช่าดี ๆ สักหลัง เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เธอจะปิดร้านช้ากว่าใครเพื่อนอยู่เสมอ มันคือความมุ่งมั่นในการหาเงินของเธอเพราะไม่ต้องการส่งลูกชายออกเรือนไปมือเปล่า
“ลูกหรอ?”
ปาร์คซุนจาที่เห็นถึงการมาของคังชอลอินกล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“มาทำอะไรที่นี่ล่ะหึ?! นี่มันวันธรรมดาไม่ใช่หรือไง… แล้วก็ไม่ยอมติดต่อหาแม่มาบ้างเลยนะ!”
“แม่ … ผมกลับมาแล้ว”
คังชอลอินยิ้มขณะทำตัวต่างไปจากตอนปกติ เจ็ดปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาหาแม่เลยสักครั้ง
คังชอลอินช่วยปาร์คซุนจาปิดร้านและกลับบ้านเพื่อไปทานอาหารค่ำร่วมกัน
ขณะที่ทานผลไม้ตรงหน้าหลังทานอาหารเสร็จเขาก็พูดขึ้นว่า
“แม่ ผมเปลี่ยนงานแล้วนะ”
คังชอลอินตัดสินใจทำอะไรบางสิ่ง
“เปลี่ยนงานหรอ? ทำไมล่ะ? ที่ทำอยู่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง?”
ปาร์คซุนจาดูจะประหลาดใจกับข่าวใหม่ของลูกชายตัวเองไม่น้อย
ไม่ใช่เรื่องแปลกกับอาการตอบสนองที่เกิดขึ้น
เกาหลีใต้ในช่วงปี 2020 เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวอย่างคังชอลอินที่ต้องต่อสู้เพื่อหางานท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบตะวันตกและภาวะการว่างงาน
“การแข่งขันที่ไร้จำกัดต่อการทำงาน!” เป็นสโลแกนและคำพูดที่แพร่กระจายในหมู่เด็กรุ่นใหม่ ด้วยยุคสมัครที่การหางานทำได้เป็นเรื่องที่ยากจึงไม่แปลกที่ปาร์คซุนจาจะเป็นกังวล
“ต้องไปเป็นเด็กฝึกอีกแล้วงั้นเหรอ? โธ่ แล้วแบบนี้จะไปมีงานเป็นจริงเป็นจังกับเขาสักทีไหม? ถ้างั้นก็มาทำงานที่ร้านกับแม่…”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
คังชอลอินส่ายหน้าปฏิเสธ
“พอดีผมได้รู้จักกับประธานบริษัทการค้าเลยตัดสินใจย้ายไปทำงานที่บริษัทนั้นแทน มันไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรแต่เดี๋ยวเขาจะจดทะเบียนบริษัทเร็ว ๆ นี้แล้ว และมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะกลายเป็นบริษัทขนาดกลาง อีกทั้ง…คราวนี้ผมยังได้เป็นพนักงานเต็มตัวเลยด้วย”
“พนักงาน?”
“ใช่ มันเป็นเรื่องทางการค้าที่ต้องไปที่อื่น ๆ มากมายแต่รายได้ที่นี่มันดีกว่ามากเพราะงั้นผมเลยลาออกจากที่เก่า”
ทันใดนั้นดวงตาของปาร์คซุนจาก็เป็นประกายด้วยความสดใส
“เรื่องจริงใช่ไหม?”
“จริงสิ”
“โอ้…ประธานคนนั้นเป็นใครกัน? ถึงได้รับชอลอินของแม่เข้าทำงาน…เขาจะต้องได้รับการสรรเสริญจากพระผู้เป็นเจ้า!”
“ท่านประธานควอนฮยองวู เขาเป็นที่รู้จักกันดีในธุรกิจการค้า ถึงเขาจะมีอายุประมาณ 80 ปีแต่เขาก็ยังแข็งแรงพอที่จะทำงานภาคสนามได้”
คังชอลอินกล่าวอ้างถึงชายชราควอน
เขารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องมาโกหกแม่แบบนี้ แต่คนบนโลกยังคิดว่าแพนเจียเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินกว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะดีใจหากได้รู้ว่าลูกชายของตัวเองได้ไปยังสถานที่ดังกล่าว มันจะเป็นการดีกว่าถ้าบอกเรื่องโกหกสีขาวไปเล็กน้อยเหมือนอย่างที่เขาทำไปเมื่อครู่นี้ แล้วถ้ามีโอกาสก็ค่อยบอกความจริงแก่เธอในภายหลัง
นอกจากนี้สำหรับเขาที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างแพนเจียอยู่บ่อย ๆ การกล่าวอ้างว่าเขาทำงานเกี่ยวกับการค้าจะเป็นข้อแก้ตัวที่ดีในการหลีกเลี่ยงความกังวลและข้อสงสัยจากปาร์คซุนจาได้
“โอ้ งั้นหรอ ๆ ดีแล้วล่ะ… พ่อของลูกที่มองลงมาจากสวรรค์คงจะดีใจเป็นที่สุด!”
ปาร์คซุนจาที่พูดถึงพ่อผู้ล่วงลับของคังชอลอินทันใดก็พลันน้ำตาไหลขึ้นมาซะอย่างนั้น
‘ผมจะดูแลแม่เอง’
คังชอลอินเฝ้ามองปาร์คซุนจาพร้อมปฏิญาณในใจว่าเขาจะเป็นลูกชายที่แตกต่างไปจากก่อนหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายและทอดทิ้งให้แม่ต้องอยู่เพียงลำพัง
“ไม่ได้การละ”
จู่ ๆ ปาร์คซุนจาที่คิดอะไรได้ก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ชอลอิน ลูกต้องไปเข้าเรียนภาษาตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย เดี๋ยวค่าเรียนแม่จะจ่ายให้”
ใบหน้าของคังชอลอินแข็งทื่อไปในทันทีเมื่อได้ยิน ราวกับว่าเขาถูกตีที่ด้านหลังศีรษะ
“ลูกบอกว่าเป็นงานการค้าที่ต้องบินไปที่อื่นมากมายแต่ลูกไม่เก่งภาษาต่างประเทศเลยไม่ใช่เหรอ?”
ปาร์คซุนจาพูดถูก
คังชอลอินที่ปาร์คซุนจารู้จักรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมีความสามารถในการทำงานที่ต่างประเทศ มันเป็นความจริงที่เขาไม่มีทั้งพื้นฐานหรือรายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถนี้ที่แน่ชัด
‘หัวไวกับเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ตลอดจริง ๆ’
คังชอลอินถูกทำให้ผงะไปครู่หนึ่งแต่มันก็แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น
“お母さん, 俺外国語上手ですよ.” (แม่ ผมเองก็เก่งภาษาอื่นนะ)
ปาร์คซุนจาดูสับสนทันทีที่เขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นออกมาโดยไม่คาดคิด
“Meanwhile, I learned to speak in English” (ระหว่างนี้ผมได้เรียนเรื่องการพูดเป็นภาษาอังกฤษ)
คังชอลอินเริ่มพูดภาษาต่างประเทศที่หลากหลายมากขึ้น
“所以, 别担心.” (เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วง)
แค่นี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด
หลังจากนั้นคังชอลอินก็ได้แสดงความสามารถในการพูดภาษาต่างประเทศอีกมากมายที่ปาร์คซุนจาไม่อาจเข้าใจและไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือภาษาของประเทศไหน
“แม้ผมจะไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่น อังกฤษและจีนได้อย่างคล่องแคล่วแต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วในการทำงานของผม มันอาจอึดอัดใจไปบ้างแต่ผมสามารถเรียนรู้ได้อย่างช้า ๆ ระหว่างการทำงาน อีกทั้งมันก็เลยวัยที่ผมจะต้องไปเรียนอะไรแบบนั้นแล้วด้วย ตอนนี้ผมทำงานแล้วนะ”
“นี่ลูกเรียนรู้ได้ถึงขนาดนี้เชียว?”
“แน่นอน”
ได้เรียนงั้นเหรอ?
เพราะอาการมึนเมาจากยาที่ได้มาจากต้นไม้วิเศษที่แพนเจียเลยทำให้เขาเชี่ยวชาญภาษาอื่น ๆ ได้ตามอำเภอใจแม้จะไม่เคยศึกษาอย่างเป็นทางการมาก่อนก็ตามต่างหาก
เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนภาษาในเมื่อวัน ๆ ก็ยุ่งอยู่แต่กับการลงดันเจี้ยนและการทำสงคราม
“โอ้ย ลูกแม่นี่นะ แม่ภูมิใจในตัวลูกมากจริง ๆ เพราะโรงเรียนมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากดังนั้นแม่จึงไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อการศึกษาที่ดีให้ลูกได้ … แต่ … แม่ภูมิใจมาก … ”
ดวงตาของปาร์คซุนจาเปลี่ยนสีแดงจาง ๆ ก่อนจะมีน้ำตาไหลออกมาในที่สุด
‘โธ่…”
คังชอลอินไม่ได้คาดหวังว่าแม่ของเขาจะร้องไห้จนต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจแบบนี้ เขาค่อย ๆ ปลอยโยนแม่ของตัวเองเบา ๆ แต่เธอก็ยังเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
“ชอลอิน แม่ขอโทษ แม่ควรสนับสนุนการศึกษาลูกให้ดีมากกว่านี้แท้ ๆ … ทั้ง ๆ ที่ลูกชายแม่ฉลาดขนาดนี้….”
คังชอลอินที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไปอย่างกระทันหัน โดยธรรมชาติแล้วเขาเป็นคนใจร้อนและไร้อารมณ์ดังนั้นเขาจึงเพียงเข้าไปกอดแม่ที่ร้องไห้อย่างหนักแทน
เมื่อพายุแห่งความเศร้าของปาร์คซุนจาสงบ คังชอลอินก็หยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าของเขา
“อะไรหรอลูก?”
“ท่านประธานชอบการทำงานของผมมากเพราะงั้นเขาเลยให้โบนัสผมมาก่อน เก็บไว้นะแม่”
“ไม่เอา ๆ เก็บเอาไว้ไปใช้ตอนแต่งงานเถอะ แม่ไม่ต้องการอะไรแบบนี้หรอก… พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็… ชอลอิน แม่อยากอุ้มหลาน ถ้าเป็นหลานสาวได้ก็จะดีมาก แม่ไม่เคยมีลูกสาวมาก่อน แล้วตอนนี้ลูกชายของแม่ก็ได้เป็นพนักงานเต็มตัวแล้วเพราะงั้นลูกต้องคิดเรื่องแต่งงานได้แล้วนะรู้ไหม?”
เมื่อการแต่งงานที่น่ากลัวปรากฏขึ้นในบทสนทนา ทันใดนั้นความกลัวก็ได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนใบหน้าของคังชอลอิน
‘เวรกรรม…’
ตลอด 10 ปีที่เขายุ่งอยู่กับการทำสงครามเขาไม่มีเวลาได้ไปออกเดทกับผู้หญิงหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานอะไรแบบนี้มาก่อน
เขาเคยใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ กับผู้หญิงทรงเสน่ห์อยู่บ้างแต่นั่นเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืน สำหรับคังชอลอินที่ได้ยินแม่ของตัวเองเอ่ยถึงเรื่องอยากอุ้มหลานสาวมันค่อนข้างเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับเขามาก
“ผมเพิ่งมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งได้ไม่นาน… มันยังเร็วเกินไปนะแม่ที่จะมาพูดเรื่องอะไรพวกนี้ ไว้ให้ผมมั่นคงกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกัน”
“แม่รู้ ๆ แต่… ลูกสามารถไปเจอกับผู้หญิงดี ๆ ในปีนี้ได้ก่อนใช่ไหม? เพราะงั้นแม่จะขอพูดอีกครั้งว่าแม่อยากได้หลานสาว”
ปาร์คซุนจาที่เน้นย้ำคำว่า “หลานสาว” จนทำให้คังชอลอินต้องเกิดอาการตัวเย็นทุกครั้งเมื่อได้ยิน แม้แต่คังชอนอินผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้แค่เพียงลูกชายที่ไร้พลังเมื่อต้องอยู่ต่อหน้ามนุษย์แม่ที่น่ากลัว
แต่หลังจากนี้ไปเขาไม่อาจรู้ได้
ทั้งคังชอลอินและแม่ของเขาปาร์คซุนจาต่างก็ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องที่จะเกิดในอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้า
วันต่อมา
หลังจากทานอาหารเช้ากับแม่ของเขาเสร็จ คังชอลอินก็ขับมัสแตงมุ่งหน้ากลับโซลในทันใด
เขาไปจ่ายเรื่องเงินที่กู้ยืมมาจากธนาคารและคนอื่น ๆ รวมถึงได้ซื้อมัสแตงมาเป็นของตัวเองในที่สุด ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่สามารถซื้อรถที่ดีกว่านี้ได้เพราะสถานะทางการเงินที่ยังไม่แน่นอนของดินแดน
ในคืนนั้น
คังชอลอินได้มุ่งหน้าไปยังตึก 63 เพื่อกลับโลกแพนเจีย
มีทหารสองคนและนักวิจัยอีกสองคนที่มากจากรัฐบาลเฝ้าระวังอยู่รอบ ๆ อาคารแต่ไม่มีใครเข้ามาหยุดห้ามเขาสักคน
แม้ว่าตึก 63 จะทำหน้าที่เหมือนประตูมิติแต่ก็ถูกจำกัดพื้นที่ไว้แค่ด้านนอกของอาคารเท่านั้น ด้านในตึกยังคงเปิดให้ใช้งานได้ตามปกติ นอกจากนี้เขายังไม่จำเป็นต้องเข้าไปในอาคารเพื่อจะกลับแพนเจียแต่อย่างใด ในการจะไปกลับยังแพนเจียนั้นขอแค่อยู่ภายในรัศมี 2 กม. ของอาคารที่ตั้งตำแหน่งประตูมิติก็พอ
ชึ้บ!
คังชอลอินเปิดประตูโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมาเห็นหรือไม่
“กลับแพนเจีย”
เมื่อเขาออกคำสั่งเสร็จ แสงสีทองที่ส่องลงมาจากตึก 63 ก็ได้สาดลงมาที่ตัวของคังชอลอินก่อนที่เขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเพื่อกลับแพนเจีย
“นายท่าน ยินดีต้อนรับการกลับมาเจ้าค่ะ”
คนที่เข้ามาต้อนรับการกลับมาของเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูเซียผู้ช่วยส่วนตัว
แต่… ลูเซียกลับดูไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อน
ปกติลูเซียมักมีกลิ่นอายของความดื้อรั้นและความกระตือรือร้นอยู่ตลอดแต่ตอนนี้นางกลับกลายเป็นคนที่นิ่งสงบและดูเหมือนกำลังหลบซ่อนความเกรี้ยวกราดอะไรไว้บางอย่าง
ถึงกระนั้นนางก็ยังส่งยิ้มกว้างมาให้คังชอลอินผู้เป็นราชันย์ของนางเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา
ทว่าใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นกลับเป็นใบหน้าที่ดูจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ใช่… ใบหน้าของนางแข็งทื่อเกินความจริงจังไปไกลต่างหาก
‘ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น’
คังชอลอินที่ได้เห็นใบหน้าของลูเซียผิดแปลกไปจากเดิมก็ตระหนักได้ในทันทีว่าคงมีบางสิ่งที่น่ารำคาญเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มัน…”
“พูดมา”
“เจ้าค่ะองค์ราชันย์ อย่าได้ประหลาดใจนะเจ้าคะ”
ลูเซียทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เกิดการสูญเสียของคนงานสี่คนและมดห้าตัวเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของคังชอลอินนิ่งเรียบ
“สาเหตุการตาย…ไม่สิ ใครทำ? ใช่ราชันย์หรือไม่?”
ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุทั่วไปที่เกิดในสถานที่ก่อสร้างไม่มีทางที่ลูเซียจะมีอาการตอบสนองแบบนี้ได้ นี่หมายความว่าจะต้องเป็นราชันย์หรือไม่ก็…
“สัตว์ประหลาด?”
ใบหน้าของคังชอลอินแปรเปลี่ยนเป็นการแสดงออกถึงความโกรธแค้นทันใด
เขาได้กลับไปที่โลกเพื่อทำข้อตกลงทางธุรกิจ ตามหาตัวควักจอง และกลับไปเยี่ยมแม่ที่ไม่ได้เจอมานาน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนเขาได้กลับมายังแพนเจียพร้อมความเบิกบานและสบายใจ แต่แรงงานที่มีค่าของเขากลับต้องมาเสียชีวิตด้วยเรื่องที่ไม่ใช่เหตุ
สำหรับคังชอลอินที่มีความหวงแหนในสิ่งที่เป็นของเขาอย่างมากและเป็นคนที่เห็นถึงคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเขาอยู่ตลอดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเดือดดาลกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“สัตว์ประหลาดเจ้าค่ะ” ลูเซียตอบ
“ประเภทใด?”
“มังกรพีคอดเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาของคังชอลอินเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของมังกรพีคอด
มังกรพีคอด
สัตว์ประหลาดที่เป็นมังกร แต่ก็ไม่ถือเป็นมังกรโดยสมบูรณ์
แน่นอนว่าที่แพนเจียจะต้องมีมังกรอาศัยร่วมอยู่แต่โดยปกติแล้วพวกมันจะเป็นมังกรแดง, ทอง, น้ำเงินหรืออะไรทำนองนั้นและเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ การมีอยู่ของมันนั้นน้อยมากจนยากที่จะพบเจอแม้แต่ครั้งเดียวได้ทั้งชีวิต ตลอดสิบปีที่อยู่แพนเจียมาเมื่อครั้งก่อน คังชอลอินเคยเห็นเพียงมังกรสีน้ำเงินมาครั้งเดียวเท่านั้น
ถึงจะเป็นสายพันธุ์ที่แยกย่อยแต่มังกรพีคอดก็ยังเป็นสัตว์ที่หายาก มันมีประมาณสิบสายพันธุ์ที่ต่างกันออกไป… แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็ยังมีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ในตัวและไม่ใช่สัตว์ประหลาดประเภทแบบที่จะออกล่าได้ง่าย ๆ
หากเป็นคังชอลอินที่ยิ่งใหญ่ดั่งเช่นอดีตที่เรียกสายพันธุ์แยกย่อยของมังกรว่าเป็น “มังกรปลอม” คงจะคิดหาวิธีแหย่เล่นกับมันเพื่อความหรรษา แต่สำหรับคังชอลอินในตอนนี้มังกรพีคอคคือภัยคุกคามที่ร้ายแรง
“มังกรพีคอค … จากเทือกเขาดราโกเนียใช่หรือไม่?”
เทือกเขาดราโกเนียตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของลาพิวต้า เช่นเดียวกับชื่อเรียก มันเป็นที่รู้จักมาเนิ่นนานว่าที่แห่งนี้เป็นเสมือนบ้านของมังกรและสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ
“ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“หึ! … การบุกรุกของมังกรพีคอคในช่วงเวลาแบบนี้ … ข้าจะเป็นบ้า”
ตอนนี้มันควรเป็นเวลาที่มุ่งเน้นไปกับกิจการภายในเพื่อสร้างระบบการปกครองของดินแดน การที่มังกรพีคอคบุกเข้ามาในช่วงเวลานี้นั้น คังชอลอินรู้สึกเหมือนถูกคว้านข้อเท้าออกมาจากด้านหลังในขณะที่เขาพยายามจะเดินไปข้างหน้า
“ลูเซีย”
“เจ้าค่ะ”
“นับจากนี้เป็นต้นไปจงไปประกาศดินแดนทั้งหมดที่เราทำสงครามและออกคำสั่งให้ทุกคนจงอยู่แต่ในบ้าน”
“น้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ องค์ราชันย์”
“นอกจากนี้ข้าจะใช้ทักษะพรางตัวของดินแดนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีในอนาคต”
หากมีการโจมตีจากมังกรพีคอคที่ชื่นชอบในการกินเนื้อมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งย่อมไม่มีทางที่การโจมตีครั้งที่สองจะไม่เกิดขึ้นตาม หากเขาต้องการหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหรือการล้มตายเพิ่มเติม มันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดแล้วที่จะเลือกซ่อนดินแดนแม้ว่ามันจะทำให้เขาต้องเสียทองเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
“สั่งผู้ว่าการแทนทิโมธีให้ช่วยดูแลค่าชดเชยสำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิต อ่า…”
ทันใดนั้นคังชอลอินก็เหมือนคิดอะไรบางสิ่งได้อย่างกระทันหัน ลูเซียรีบหันไปพูดอย่างรวดเร็วว่า
“ทหารคุ้มกันเตรียมกำลังเพื่อรอรับคำสั่งและมีอาวุธครบมือ หากนายท่านต้องการ…”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”
คังชอลอินสั่นศีรษะ
“ถ้านายท่านบอกว่าไม่…”
“มังกรพีคอคเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่ง ด้วยกำลังทางทหารของเราในตอนนี้จะทำให้เราได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากเสียเปล่า ๆ ตอนนี้มันถึงเวลาที่เราจะต้องขยายอาณาเขตไม่ใช่การหลั่งเลือดลงผืนดิน”
“แต่นายท่าน การปล่อยมังกรพีคอคต่อไปเช่นนี้อาจส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายอย่างต่อเนื่องได้นะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะปล่อยมันไป ข้าจะดูแลเรื่องทุกอย่างให้เร็วที่สุด”
“แต่อย่างไร… นายท่าน การต่อสู้จะไม่สามารถชนะได้หากปราศจากการนองเลือด…”
“ข้ารู้ แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้เลือดของเราจะไม่เหือดหาย”
“ถ้าเช่นนั้น….”
“นักผจญภัย”
“ข้าจะใช้พวกเขาเพื่ออกตามล่ามันแทนทหารของเรา”
ดวงตาคังชอลอินเป็นประกายของผู้มีอำนาจ
นักผจญภัย
คังชอลอินคิดเตรียมทำการติดต่อกับนักเดินทางข้ามมิติจากโลกเพื่อให้มาช่วยเขาออกตามล่ามังกรพีคอคในคราวนี้
.
.