The Oger Power สาวน้อยพลังยักษ์ - ตอนที่ 2 สัญญา
ตั้งแต่เช้ามืด ฉันรีบวิ่งไปที่สำนักงานดูแลนักผจญภัย สาขาย่อยใกล้เขตสลัม
สำนักงานดูแลนักผจญภัย ถูกบริหารโดยอาณาจักร มีหน้าที่จัดการทุกสิ่งอย่างเกี่ยวกับนักผจญภัย
โดยส่วนมากจะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกตั้งแต่ประเมินแรงค์ รับคำร้อง ประกาศงาน แจ้งที่ตั้งดันเจี้ยน อนุญาตสร้างกิลด์ ค้นข้อมูล เป็นต้น
แต่ก็มีอีกหน้าที่คือการจับกุมนักผจญภัยที่กระทำความผิด
สำนักงานทุกที่จะมีพนักงานบริการ 24 ชั่วโมง
ฉันกำชับผ้าคลุมหน้าแน่น ก่อนเดินตรงไปที่หน้าเคาน์เตอร์อย่างประหม่า พนักงานสาวยิ้มแย้มแจ่มใสแม้ใกล้จะเปลี่ยนกะของเธอแล้วก็ตาม
“สวัสดีค่ะ ดิฉันเลจจี้ ยินดีให้บริการ ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“สะ สวัสดีค่ะคุณเลจจี้ คือ… ฉันพึ่งเป็นนักผจญภัย พอดี… อยากได้งานทำน่ะค่ะ”
“รับทราบแล้วค่ะ รบกวนขอบัตรนักผจญภัยด้วยค่ะ”
ฉันรีบค้นตามตัว แล้วก็พึ่งนึกได้ว่าเงินไม่พอทำบัตร เลยได้แค่การประเมิน
“มะ ไม่ค่ะ”
“อาจจะหายสินะคะ ไว้ค่อยทำใหม่ตอนวัดแรงค์อีกครั้งก็ได้ค่ะ งั้นขอทราบชื่อกับนามสกุลแทนค่ะ”
“คะ คาลิก้า เนฮิวค่ะ”
“ค่า รอสักครู่นะคะ คุณคาลิก้า เนฮิว”
พนักงานเอาชื่อฉันไปตรวจสอบข้อมูลกับจอคริสทัล ในนั้นมีข้อมูลของนักผจญภัย มอนสเตอร์ อสูร ภารกิจ ฯลฯ
และหลังจากเธอเห็นข้อมูลของฉัน เธอก็ขมวดคิ้วมุ่นแต่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม
“ช่วยเปิดผ้าคลุมหน้าให้ดูหน่อยค่ะ คาลิก้า”
ฉันลังเลที่จะเปิด เพราะกลัวทำเธอตกใจ แต่คุณเลจจี้จ้องฉันอย่างไม่วางตา ฉันจึงรวบรวมความกล้าเปิดให้เธอดู
แล้วรอยยิ้มของเธอก็หุบลง
“ขอโทษด้วยนะคะ เราไม่มีงานให้พวก [แรงค์ F] ที่ทั้งอ่อนแอและอัปลักษณ์อย่างเธอทำหรอกค่ะ ทำไมแรงค์อย่างเธอถึงไม่ไปหางานกับพวกเดียวกันที่ด้านหลังสำนักงานคะ จะมาที่นี่ทำไม”
ใครๆ ก็รู้ว่าที่แห่งนั้น บางคนรองานจนอดตายก็ยังไม่มีใครมาสนใจ ฉันรีบก้มหัวพร้อมกับพูดขอร้องอย่างนอบน้อม
“ขะ ขอร้องล่ะค่ะ จะงานอะไรก็ได้ค่ะ ฉันยอมทำหมด ขอแค่..”
ยังไม่ทันพูดจบพนักงานก็พูดเสียงเย็นชาใส่ แถมสรรพนามยังเปลี่ยนและไม่มีหางเสียงใส่
“ถ้าฉันให้งานแล้วแกทำพัง รู้ไหมว่าพนักงานที่ให้งานโดยไม่ประเมินความสามารถนักผจญภัยให้ดีก็ต้องรับผิดชอบโดนลงโทษไปด้วย ถ้าร้ายแรงมากก็ถึงขั้นไล่ออก แล้วแกสามารถรับผิดชอบมันได้ไหมล่ะ ก็ในเมื่อ [แรงค์ F] อย่างแกมันไม่คู่ควรกับคำว่านักผจญภัยด้วยซ้ำ”
“ตะ แต่ว่า ที่บ้านต้อ..”
“ไม่มีแต่ พูดตรงๆ เลยนะ สำนักงานไม่มีที่ยืนให้ [แรงค์ F] ขยะอย่างแกหรอก มันไม่มีทางและไม่มีวันที่จะเกิดขึ้น รีบออกไปจากที่นี่ซะ มันใกล้จะหมดกะฉันแล้ว ส่วนขยะอย่างแกมันก็เกะกะขวางทางความก้าวหน้าของนักผจญภัยท่านอื่นเขา เอาง่ายๆ แค่ขยะอย่างพวกแกไม่โผล่หน้ามาก็ถือว่าช่วยโลกใบนี้ทางอ้อมแล้วล่ะ”
ฉันตัดสินใจก้มหัวขอร้องอีกครั้ง แต่กลับได้น้ำเสียงแข็งกร้าวตอบกลับมา
“ไสหัวไปซะ! ไม่งั้นจะถือว่าขยะอย่างแกบุกรุกและก่อกวนสำนักงาน! และจะเรียกพนักงานจับกุมมาลากแกไปเข้าคุกในทันที!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉันจึงได้แต่รีบวิ่งหนีออกจากสำนักงานอย่างขลาดกลัว
ห่างไกลจากหน้าทางเข้า ฉันนั่งกอดเข่าอยู่ในซอกตึกเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะเดินไปหางานที่ลานของ [แรงค์ F] ด้านหลังสำนักงาน
ที่นั่นไม่มีทั้งอาคารหรือที่หลบแดดหลบฝน เป็นเพียงพื้นที่โล่งๆ ที่มีคนแรงค์เดียวกับฉันประมาณสิบกว่าคนนั่งๆ นอนๆ อยู่บนพื้นดิน ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย
เพราะผู้หญิงถ้าหน้าตาดีมีทางเลือกมากมาย ทั้งพนักงานเสิร์ฟ แผนกต้อนรับ เมดสาวในกิลด์หรือบ้านขุนนาง ถ้าไร้ความสามารถจริงๆ ถึงจะเสียศักดิ์ศรีแต่ก็ยังทำงานสายขายเรือนร่างได้
ผู้หญิง [แรงค์ F] ที่มาหางานตรงนี้จึงมีแต่พวกที่โดนสังคมทอดทิ้งและไม่มีใครเอาแบบฉัน
ที่นี่ไม่มีความเห็นใจ แต่ละคนต่างเห็นทุกคนเป็นศัตรู เพราะยิ่งมีคนมาเพิ่มงานตัวเองก็ยิ่งลดลง ฉันจึงถูกจ้องขู่ให้กลัวตลอดเวลา
แต่ฉันไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ จึงฝืนทนสายตาพวกนั้น เดินก้มหัวไปหาที่ว่างๆ ด้านหลังสุดนั่งลง
ตั้งแต่นั่งรอ ฉันกลับบ้านไปเตรียมอาหารให้พี่เทียร่ากับน้องเอลด้าสองครั้งด้วยกัน คือ มื้อเช้ากับมื้อเที่ยง
อาหารอย่างเดียวที่เราพอจะหากินได้แบบไม่เสียเงิน คือ ผักที่ขึ้นตามฝั่งคลอง ไม่ก็หญ้าตามรั้วกำแพง
ผักพวกนี้ถ้าไปเก็บช้าก็อด ถ้าเจอคนแข็งแกร่งกว่าต้องยอมให้เขาเอาไป ไม่งั้นอาจโดนซ้อมจนตาย
พวกเราไม่กล้าไปเอาผักหรือสมุนไพรในป่า เพราะมันอยู่ค่อนข้างลึกและอันตราย ต้องใช้ปาร์ตี้แรงค์สูงและเชี่ยวชาญเข้าไป
ส่วนรอบนอกป่า โดนประชาชนกับนักผจญภัยแรงค์ต่ำกวาดไปหมดแล้ว เลยไม่มีสักต้นให้คนอ่อนแออย่างฉันไปเก็บ
วันที่ไม่ได้ผักก็จะกินน้ำคลองต้มประทังชีวิตไป ถ้าโชคดีในน้ำคลองที่เอามาต้มก็จะเจอเศษอาหารเหลือทิ้งอยู่
น้ำคลองถึงจะสกปรก แต่เพื่อไม่ให้อดตายก็เอาผ้ามากรองแล้วต้มนานหน่อย
ครั้งแรกที่กินเข้าไป ฉันกับพี่ก็ท้องเสียและเป็นไข้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน
แต่พอกินมาเป็นปีแล้ว ท้องก็เริ่มอยู่ตัว
แต่กับเอลด้าต้องใช้น้ำฝน ถ้าหมดก็ต้องไปซื้อน้ำสะอาดเท่านั้น ทำให้ฐานะการเงินยิ่งขัดสน
ส่วนฟืนที่ใช้ทำอาหารก็ต้องไปเก็บเอาตามกองขยะ ไม่มีก็ไปเอาแถวป่ารอบนอก
เนื่องจากดาบโดนขโมยไป ในบ้านก็ไม่มีของมีคมอย่างอื่นอีก เวลาเก็บฟืนในป่าฉันจึงต้องปีนต้นไม้ขึ้นไปหักเอากิ่งเล็กๆ โชคดีมากหน่อยก็เห็นอยู่ตามพื้นเพราะมักถูกพวกชาวบ้านเก็บไปจนหมด
ถึงชีวิตมันอยู่ยาก แต่ก็ต้องฝืนอยู่ให้ได้ เพื่อตอบแทนพี่เทียร่ากับดูแลเอลด้าให้โตขึ้นอย่างแข็งแรง
ขณะที่คิด เวลาก็ล่วงเลยมาจนใกล้ค่ำ ซึ่งก็ยังไม่มีใครสักคนเลยที่ได้งานไป ดวงตาแต่ละคนเผยความชินชา
ค่อยมารออีกทีละกัน ต่อให้ต้องนอนเฝ้าที่นี่ ขอแค่มีงานฉันก็จะนอนรอ
ฉันลุกขึ้นเพื่อรีบกลับไปเตรียมอาหารเย็น
แต่ทันทีที่ลุก คนสิบกว่าคนที่นี่ก็ลุกตามและวิ่งไปออกันข้างหน้า
ด้านหน้ามีชายในชุดเกราะสีเงินหรูหราสะพายโล่ยักษ์และเหน็บดาบไว้ที่ข้างเอว แค่ปลอกดาบยังดูแพงขนาดที่ว่าชาตินี้ฉันคงไม่มีวันได้สัมผัส
ชายคนนั้นดูเป็นหัวหน้า รอบตัวเขามีนักผจญภัยอีกกว่าห้าสิบคน แต่ละคนสวมเกราะหนาดูแข็งแกร่งกันทั้งนั้น พวกเขายืนล้อมรอบและให้ความเคารพชายคนนั้น
อยากจะเป็นหนึ่งในนั้นบ้างจัง ถ้าได้เป็น ชีวิตของพวกเราคงจะมีความสุขมากแน่ๆ เลย
[แรงค์ F] คนอื่นๆ นอกจากฉันวิ่งลงไปคุกเข่าแล้วนำเสนอตัวเองกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ผมโดนซ้อมเก่งมากนะครับ ร่างกายผมอึดมาก ใช้ผมเป็นที่ระบายอารมณ์ได้นะครับท่าน”
“ฉันร้องเสียงหมูและทำตัวได้เหมือนหมูมากนะคะ พวกท่านจะต้องขำจนหายเครียดแน่นอนค่ะ ได้โปรดเลือกฉันนะคะ”
“ผมเชื่องเหมือนหมามากเลยครับ ท่านสามารถจูงผมเล่นและออกคำสั่งให้ผมเห่าหรือส่ายตูดได้นะครับ”
“ฉันเป็นโล่มนุษย์ให้ได้นะคะท่าน ตัวฉันทั้งอ้วน เนื้อก็เยอะ บังท่านมิดแน่ๆ ค่ะ ขอแค่เศษตังค์ให้น้องชายกินข้าวก็พอค่ะ”
“ผมเลียตีนเก่งนะครับ จะเลียให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลย เลือกผมไปตีนคุณจะสะอาดแน่นอน”
และอีกมากมายที่ฉันเคยฟังจนชินชาแล้ว สำหรับคนในสลัมอย่างพวกเรา ถ้าทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้หรอก
แต่นักผจญภัยกับผลักทุกคนออกไปหมดเพื่อเคลียร์เส้นทาง ส่วนคนที่เป็นหัวหน้าเดินตรงมาที่ฉัน
“สะ สวัสดีค่ะท่าน”
ฉันก้มหัวลงทักทายอย่างนอบน้อม
“เธอคือคาลิก้าใช่ไหม ถึงจะปิดหน้าปิดตา แต่ผมพอจะจำเสียงเธอได้”
“เอ๊ะ ท่าน… เป็นใครเหรอคะ รู้จักชื่อของฉันได้ยังไง?”
“ผมเพื่อนสมัยเด็กของเธอ เอโตสไง จำได้หรือยัง”
พอพูดชื่อฉันก็นึกออกในทันที เอโตส คือเพื่อนสนิทที่อยู่บ้านติดกันกับครอบครัวฉัน สมัยยังอยู่ที่อาณาจักรเก่า
“ว้าว เธอดูเปลี่ยนไปมากเลย ทั้งสูง ทั้งหล่อ ดูดีมากเลย”
“ฮ่าๆๆๆ ขอบใจนะ กว่าจะมาถึง [แรงค์ B] และตั้งกิลด์ได้ ก็ลำบากน่าดูเลย”
“โห เอโตสสุดยอดเลย ได้เป็นถึงเจ้าของกิลด์เลยเหรอเนี่ย”
“อื้ม ผมตั้งเป้าจะเป็น [แรงค์ S] ให้ได้อยู่แล้วน่ะ”
เอโตสตอบกลับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ไม่น่าแปลกใจเลย ก็เอโตสนิสัยดีมากมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เข้ากันได้ดีกับทุกคน แถมร่างกายก็แข็งแกร่ง ขนาดพี่เทียร่าที่ฝึกต่อสู้มาก่อนตั้งหลายปีก็ยังไม่เคยชนะเอโตสได้เลยสักครั้ง
ตอนเด็กเขายังชอบมาพาฉันไปเล่นด้วยบ่อยๆ อีกด้วย แถม…
เค้ายังเคยขอฉันแต่งงานเมื่อเราโตขึ้นด้วย แต่มันก็เป็นแค่สัญญาวัยเด็กนั่นแหละ ตอนนี้ฉันไม่คู่ควรกับเค้าอยู่แล้ว
ตอนนี้เค้าคงหาแฟนสาวสวยได้แล้วนั่นแหละ ไว้ตอนทั้งคู่แต่งงาน ฉันกับครอบครัวจะไปอวยพรให้นายแน่นอน
ตอนนี้ฉันขอแค่คิดเรื่องเอาตัวเองกับครอบครัวให้รอดก็พอ
ซึ่งโชคดีมากเลย ถ้าเค้าเป็นหัวหน้ากิลด์ งั้นครอบครัวฉันก็มีทางรอดแล้ว
“นี่เอโตส ฉันของานนายทำหน่อยได้ไหม จะงานง่ายๆ แบบไหนก็ได้ พอดีต้องใช้เงิน…”
เอโตสยกมือขึ้นหยุดให้ฉันพูด
“ถ้าเธอนั่งอยู่ที่นี่แปลว่าเธอ [แรงค์ F] ใช่มั้ย”
“ใช่ แต่ฉันไม่บังอาจเข้ากิลด์นายแน่นอน ขอแค่ให้งานฉันก็พอ นายอยากให้ฉันทำอะไร ฉันจะตั้งใจทำเต็มที่เลย”
“คาลิก้า อย่ามาใช้ความเป็นเพื่อนสมัยเด็กมายัดเยียดความอ่อนแอเพื่อเกาะผมกินสิ ผมน่ะเกลียดพวกนิสัยขี้เกียจแล้วเกาะคนอื่นกินเหมือนเธอมากเลยนะ”
“…เอ๊ะ!!?”
“ผมแค่ทักทายเพราะเคยรู้จักกันเฉยๆ หรือเธอยังมโนฝังหัวว่าผมจะยอมแต่งงานกับเธอจริงๆ”
“มะ ไม่ใช่ คือพี่เที…”
เพียะ!
ฉันโดนเอโตสตบจนหน้าหัน แรงจนเลือดกำเดาฉันไหลออกมา
“ตื่นได้แล้วคาลิก้า ดูสารรูปอัปลักษณ์ของตัวเองซะบ้าง ถ้ามองไม่เห็นก็ยื่นหน้าไปส่องในน้ำคลองซะ ต่อให้เสนอตัวให้ผมทำฟรีๆ ผมยังไม่อยากจะแตะต้องเธอเลยสักนิด เธอมันไม่คู่ควรกับผม เพราะงั้นเลิกฝันเฟื่องซะที”
นี่มันเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ฉันจึงรีบเถียงกลับไป
“ไม่ใช่นะ! ฉันแค่อยากได้งานเพื่อเอาเงินไปรักษาคนในครอบครัว ฉันไม่ได้คิดเรื่องสัญญาตอนเด็กเลยจริงๆ”
“อืม ทำถูกแล้ว ที่ไม่คิดว่าเรื่องระหว่างเราจะเป็นจริง”
เอโตสหันไปรับผ้าสะอาดจากนักผจญภัยลูกทีมของเขามาเช็ดเลือดออกจากมือข้างที่ตบหน้าฉัน
“แต่ว่าผมขอแนะนำอะไรหน่อยนะ [แรงค์ F] แบบเธอไม่มีวันเอาตัวรอดได้หรอก เพราะงั้นทิ้งครอบครัวใกล้ตายพรรค์นั้นไปดีกว่า เธอจะได้ประหยัดค่าอาหารแล้วมีชีวิตหายใจบนโลกนี้ได้นานขึ้นอีกหน่อย”
พูดจบก็โยนผ้าผืนนั้นใส่หน้าฉัน
“เอาไปสิ ถือซะว่าเป็นของชดเชยที่ผมยกเลิกสัญญาแต่งงานปากเปล่าในตอนเด็ก หลังจากนี้เธอเป็นได้แค่คนแปลกหน้า อย่าบังอาจทักทายหรือเสนอหน้ามาให้ผมเห็นอีกละ พอดีได้กลิ่นแล้วอยากจะอ้วก”
แล้วเอโตสก็เดินหันหลังจากไป
ฉันกำผ้าแล้วปาใส่หลังหัวเขา พร้อมกับตะโกนว่า อย่ามาดูถูกกันนะ ใครจะไปอยากได้คนนิสัยเสียแบบแกมาเป็นคู่ชีวิตกัน ต่อให้เหลือแกเป็นผู้ชายคนเดียวบนโลก ฉันก็ไม่มีวันเลือกแกหรอก
แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะถ้าอยากรอดชีวิต ฉันต้องรู้จักเจียมตัว
ตอนนี้ฐานะของเราต่างกันเกินไป ฉันไม่ควรทำอะไรให้เอโตสขุ่นเคืองใจ เพราะมันจะไม่ใช่แค่ฉันที่จะเดือดร้อน
ฉันก้มลงเก็บผ้าผืนนั้นใส่กระเป๋าอย่างเจียมตัว
“เข้าใจแล้วค่ะ ท่าน…”
แล้วเอโตสก็เดินจากไปพร้อมกับลูกกิลด์ของเขา
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบและสิ้นหวัง
ต่างคนต่างทยอยกลับที่นั่งเดิมของตัวเอง
ฉันนั่งรออยู่อีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง แต่ก็ดูไร่วี่แวว
วันนี้คงหางานไม่ได้แล้วล่ะ ฉันจึงตัดสินใจเดินกลับบ้าน
“เฮ้ย! พวก [แรงค์ F] ท่านไจเกีย หัวหน้ากิลด์ [เขี้ยวประกายแสง] ของพวกเราอยากได้คนไปช่วยในดันเจี้ยน ใครสนใจก็ตามมา”
หืม!? งานเหรอ
“ท่านครับ ไม่ทราบว่า รับกี่คนแล้วต้องทำอะไรบ้างเหรอครับท่าน”
“ท่านไจเกียจะเป็นคนตัดสินเอง หยุดพูดมากแล้วตามมา”
ทุกคนรีบก้มหัวขอบคุณเป็นการใหญ่ก่อนจะรีบเดินตามไป ส่วนฉันก็ไม่ลังเลที่จะตามไปเหมือนกัน
ยังไงฉันก็กำชับเอลด้าไว้แล้ว ว่าถ้าฉันกลับไปช้าแปลว่ามีงาน ให้เอลด้าทำอาหารกินกันไปเลย
ฉันจึงไปเข้าร่วมอย่างไม่เป็นกังวลอะไรมากนัก