THE NEXT WITCH’S JOURNEY - ว่าที่แม่มดมือใหม่ - ตอนที่ 2.6 มังกรแห่งคาทาราน
เสียงกรีดร้องนำเอลเดรดกับวาร์ริมายังถนนอีกสาย ชาวบ้านจับกลุ่มมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ห่าง ๆ ราวกับกลัวว่าการเข้าใกล้เกินไปอาจทำให้พวกเขาถูกลูกหลงไปด้วย ที่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวหลังหนึ่ง หญิงวัยยี่สิบต้นกับเด็กชายประมาณห้าหกขวบถูกทหารสวมเกราะหนังสามนายช่วยกันลากออกมาโยนกลางถนน หล่อนยังไม่ทันลุกขึ้นก็ถูกทหารอีกสองนายที่ยืนรออยู่แล้วยึดแขนข้างละคนกดร่างไม่ให้ขยับ ขณะที่เด็กชายหลังจากล้มลงก็ถูกเตะเข้าไปทีหนึ่ง จากนั้นรองเท้าบูทข้างหนึ่งก็เหยียบลงกลางลำตัวเด็กคนนั้น เขาร้องไห้จ้าสลับกับร้องเรียกแม่ ไร้พลังจะดิ้นหนีจากเท้าข้างนั้น
เอลเดรดพบว่าวาร์ริจ้องเด็กชายคนนั้นเขม็ง ตัวแข็งเกร็งจากภาพเบื้องหน้า ไม่ทันไรเขาก็วางมือลงบนไหล่วาร์ริที่ตัวสั่นกำหมัดแน่น น้ำหนักมือของอาจารย์ช่วยให้จิตใจที่พลุ่งพล่านและสับสนของเด็กหญิงสงบลงอย่างรวดเร็ว
วาร์ริสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเงยหน้ามองชายที่ยืนอยู่ข้างกัน เอลเดรดมองตอบคล้ายจะบอกเธอว่าไม่จำเป็นต้องกลัว ตราบใดที่มีข้าอยู่ ข้าไม่มีทางยอมให้มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเจ้าแน่
“ข้าไม่เป็นไร” วาร์ริกระซิบพลางแตะมือเขาบนไหล่ตน
เสียงร้องห่มร้องไห้ขอความเมตตายังคงดังต่อไป ระหว่างที่ทหารนายหนึ่งตอกกระดาษหนังกับกรอบประตูบ้านของหญิงสาวซึ่งถูกพาตัวออกมา ใครบางคนก็ตะโกนลั่นอย่างเกรี้ยวกราด พริบตานั้นฝูงชนเปิดทางให้ชายผิวคล้ำแดดรูปร่างสันทัดไว้เคราแพะวิ่งตรงไปหาหญิงผู้โดนทหารช่วยกันยึดแขนไว้ ทันทีที่เขาเห็นเด็กชายใต้ฝ่าเท้าทหาร ชายคนนั้นก็ถึงกับสติแตกไปเลย เขาพุ่งหาทหารที่กำลังเหยียบเด็กพร้อมเหวี่ยงกำปั้นใส่หน้าฝ่ายนั้น
“ถอยจากลูกข้าเดี๋ยวนี้!” เขาคำราม
ทว่าไม่ทันที่กำปั้นจะสัมผัสกับส่วนหนึ่งส่วนใดของอีกฝ่าย ชายผิวคล้ำแดดผู้เป็นพ่อของเด็กชายก็โดนทหารนายที่อยู่ใกล้กันชิงชกท้องเสียก่อนแล้วตามด้วยหมัดกระแทกใบหน้าส่งเขาลงไปนอนสำลักกับพื้น ในที่สุดทหารคนที่เหยียบเด็กก็ยอมถอนเท้าออก แต่ก็เพียงเพื่อเปลี่ยนไปกระทืบผู้เป็นพ่อเท่านั้น
“เฮ้ย ๆ เพลา ๆ หน่อย เดี๋ยวมันก็ตายหรอก” เพื่อนทหารเข้าไปจับไหล่ห้ามหลังจากมันเหยียบสีข้างไปได้สองครั้ง “หัวหน้าย้ำมาว่าหมอนี่จะต้องปลอดภัยนะเว้ย!”
“ก็มันกวนประสาทข้านี่หว่า” เจ้าคนที่เพิ่งกระทืบชายผู้โชคร้ายยักไหล่ “ไอ้เวรตะไลนี่พยายามจะทำร้ายข้าเชียวนะ”
“ช่วยไม่ได้นี่ ก็เอ็งไปเตะลูกมันก่อนทำไมล่ะวะ” อีกฝ่ายแสร้งนิ่วหน้า พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นทหารทั้งสองก็เริ่มระเบิดเสียงหัวเราะ
“พอได้แล้ว!” นายทหารบนหลังม้าเพียงคนเดียวที่นี่ร้องสั่งเจ้าสองคนนั้นพร้อมโบกมือไล่ให้พวกมันถอยจากชายที่นอนกุมท้องอยู่บนพื้น หมวกโลหะรูปทรงคล้ายถังน้ำกับแผ่นเกราะอกสัมฤทธิ์ที่สวมบ่งบอกถึงตำแหน่งที่สูงกว่าทหารทั้งหมด “ทาดาซี่ เอกูล เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ามีความผิดอันใด”
วินาทีหนึ่ง ชายบนพื้นราวกับนึกอยากจะพ่นคำผรุสวาทออกมาทว่าก็เปลี่ยนใจ “ข้า- ข้าน้อยไม่ทราบ”
“สืบเนื่องจากหมู่บ้านมัวเรกรากแห่งนี้อยู่ในเขตปกครองของท่านเกรทเทรันแห่งเมืองโทไรเทส จึงเป็นหน้าที่ของผู้อาศัยทุกคนในการเสียภาษีให้แก่ท่านเจ้าเมือง” นายทหารพูด บังคับม้าเดินเหยาะ ๆ เข้าใกล้ชายบนพื้นผู้ถูกเรียกว่าทาดาซี่ เอกูล “แต่เจ้า เอกูล เจ้าไม่ได้จ่ายภาษีในเวลาที่กำหนด”
“เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่- ข้าไม่ได้ค้างภาษี! ข้าน้อยจ่ายภาษีของปีก่อนไปแล้วเรียบร้อย!” ทาดาซี่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอยู่ในท่าคุกเข่าทั้งสองข้าง และเขาก็ได้แต่อยู่ในท่านั้นด้วยถูกทหารสองนายกดไหล่ไม่ให้ยืนขึ้น “หากท่านต้องการหลักฐาน ข้าน้อยสามารถนำมามอบให้นายท่านดูได้ ข้าน้อยเก็บมันไว้ที่-”
“ข้าไม่ได้พูดถึงภาษีของปีก่อน” นายทหารว่า “แต่เป็นภาษีพิเศษของปีนี้ต่างหาก!”
“ภะ- ภาษีพิเศษ?” ทาดาซี่เอียงคอ วาร์ริบอกได้ว่าเขาพยายามสุดความสามารถที่จะมองข้ามเสียงร้องไห้หวาดกลัวของลูกเมียตน เขาสะดุ้งตอนที่เจ้าคนที่เคยเหยียบร่างลูกชายถีบเด็กน้อยที่คลานไปเกือบจะถึงแม่จนล้มตะแคงแล้วนั่งยอง ๆ ใช้มือกดหลังดันให้ติดพื้นห่างจากผู้เป็นแม่เพียงฟุตเดียว มันดูจะสนุกสนานกับการดิ้นรนของคนทั้งสองไม่น้อย “หยุดนะ!ได้โปรดเถอะ!!!”
“กาทอส พอได้แล้ว พวกเจ้าก็ด้วย ปล่อยตัวพวกเขาซะ” นายทหารบนหลังม้าพูดอย่างเบื่อหน่าย
สิ้นคำสั่ง หญิงสาวกับลูกชายก็หลุดจากการยึดจับ คนทั้งคู่ปรี่เข้ากอดกันแน่น ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็กลัวจนไม่กล้าส่งเสียงออกมาอีก ได้แต่ตัวสั่นระริกมองทาดาซี่ซึ่งยังคงถูกบังคับให้ต้องคุกเข่าต่อไปอย่างสิ้นหวัง
“เจ้าเป็นนายพรานใช่หรือไม่ เจ้าเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ในป่ารูลลัม” นายทหารเอ่ยเสียงสูงเป็นเชิงถาม
“ใช่ขอรับ” ทาดาซี่ตอบ “แต่ป่ารูลลัมไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามโดยท่านเจ้าเมืองนี่ขอรับ”
“แล้วเจ้าก็เคยล่าสัตว์ที่ป่าใกล้ภูเขาเอรัมทีรันมาแล้วด้วย”
“บางทีข้าน้อยจะเดินทางไปเก็บขนแพะภูเขาที่ภูเขาเอรัมทีรันตามใบสั่งประมาณเดือนละครั้งหรือสองครั้งขอรับ”
นายทหารสบตากับทหารที่ก่อนหน้านำกระดาษหนังไปตอกติดกรอบประตู ซึ่งฝ่ายนั้นพยักหน้าเล็กน้อยให้กับหัวหน้าของตน
“ข้าขอประกาศความผิดของเจ้า” นายทหารบนหลังม้าประกาศเสียงดัง “ด้วยกฎการเก็บภาษีพิเศษฉบับใหม่สำหรับอาชีพพรานและคนหาของป่าที่อาศัยในเขตปกครองของนายท่านเกรทเทรัน ข้าขอประกาศให้เจ้า ทาดาซี่ เอกูล พรานแห่งหมู่บ้านมัวเรกราก เป็นหนี้นายท่านจำนวนหนึ่งพันเหรียญทองรวมดอกเบี้ยแล้ว!!!”
“นะ หนึ่ง หนึ่งพันเหรียญทอง!!!” ทาดาซี่ตาเหลือก ขณะที่หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเขาจู่ ๆ ก็ร้องไห้ดังขึ้น “เป็นไปได้ยังไง ข้า- ข้าน้อยไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่ามีภาษีพิเศษนี่ด้วย แล้ว- แล้วหนี้พันเหรียญทองนี่มัน-”
“ข้าก็กำลังบอกเจ้าอยู่นี่ไงว่าเจ้ามีความผิดฐานเพิกเฉยต่อภาษี”
“ไม่! เป็นไปไม่ได้! ข้าเพิ่งเดินทางไปชำระภาษีเมื่อเดือนก่อน แล้วเจ้าหน้าที่ที่นั่นก็ยืนยันแล้วว่าข้าชำระครบถ้วน นี่น่ะ- นี่ต้องเป็นการใส่ความแน่ ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับภาษีอาชีพพรานมาก่อนเลย พวก- พวกท่านจัดฉากยัดข้อหาข้า!!!”
“ระวังปากเจ้าด้วย!” นายทหารตวาดลั่น “นี่เป็นประกาศทางการของท่านเกรทเทรัน! เจ้ากล้ากล่าวหาท่านเจ้าเมืองว่าจัดฉากใส่ความเจ้างั้นเรอะ! กับสามัญชนไร้ค่าอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”
“ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นขอรับ!” ทาดาซี่รีบพูดอย่างหวาดกลัว
“เส้นตายของเจ้าคืออีกหนึ่งเดือนให้หลัง”
“หนึ่งเดือน!?! ปะ เป็นไปไม่ได้ขอรับ ข้าไม่มีทางหาเงินเยอะขนาดนั้นได้ในเวลาแค่นี้หรอก”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” น้ำเสียงของนายทหารอ่อนลง ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างที่แม้แต่ผู้ฟังที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างวาร์ริก็ยังสัมผัสอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้ “แต่นับว่าดวงเจ้ายังดีอยู่ พูดกันว่าเจ้าเป็นนักแกะรอยที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านนี้ เพราะงั้นนายท่านก็เลยมีข้อเสนอมาให้เพื่อแลกกับการยกหนี้ทั้งหมด”
“ข้อเสนอหรือขอรับ”
“ถูกต้อง ถ้าเจ้ายังพอมีสมองอยู่บ้างก็จงตอบรับเสีย” นายทหารบนหลังม้าผงกศีรษะเป็นสัญญาณให้ทหารสองนายปล่อยมือจากทาดาซี่ “เจ้ามีเวลาตัดสินใจหนึ่งวัน แต่ข้าต้องขอเตือนสักหน่อยนะว่าท่านเจ้าเมืองไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการถูกปฏิเสธนักหรอก”
“ข้าตกลง!” ทาดาซี่เอ่ยขึ้นทันที ชัดเจนว่าเขาล่วงรู้ชะตาของตัวเองดี “ข้ายอมรับข้อเสนอของท่านเจ้าเมือง”
“ดีมาก” นายทหารยิ้มแสยะ “เช่นนั้นเจ้าก็มากับพวกข้า เราต้องรีบเดินทางทันที เจ้าเองก็คงอยากแจ้งข่าวดีนี้กับท่านเจ้าเมืองเร็ว ๆ ใช่ไหมล่ะ”
“รอประเดี๋ยวนะขอรับ แล้วลูกเมียของข้าล่ะ พวกเขาเกี่ยวข้องกับข้อเสนอด้วยหรือขอรับ” ทาดาซี่ถามขึ้นทันทีที่เห็นทหารดึงแขนหญิงสาวที่กอดเด็กชายอยู่ขึ้น โดยมีทหารอีกนายชี้มือสั่งคนทั้งสองให้เดินไปยังรถม้าสีดำเรียบ ๆ ที่จอดอยู่ไม่ไกล
“ไม่เกี่ยวโดยตรงหรอก” รอยยิ้มของนายทหารบนหลังม้ากว้างขึ้นอย่างชั่วร้าย “แต่ท่านเจ้าเมืองคิดว่าลูกเมียของเจ้าน่าจะเป็นแรงจูงใจที่ดี ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ในระหว่างที่เจ้าต้องเหนื่อยยากอยู่ข้างนอก ลูกเมียของเจ้าจะได้พักผ่อนอย่างสุขสบายในคฤหาสน์ของท่านเจ้าเมืองเลยทีเดียวเชียว”
“เลวร้ายชะมัด” ชายร่างผอมสวมเสื้อผ้าเก่าโทรมข้างหน้าเอลเดรดกับวาร์ริพึมพำกับตัวเองและส่ายหัว ขณะที่ทาดาซี่ถึงกับขาอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นร้องโหยหวนราวกับสัตว์ที่เจ็บปวด
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เอลเดรดถามชาวบ้านที่เพิ่งพูดกับตัวเองคนนั้น
“ก็ไอ้เจ้าเมืองชั่วน่ะสิ มันเอาอีกแล้ว” อีกฝ่ายกระซิบตอบหลังจากก้มมองเอลเดรดขึ้น ๆ ลง ๆ หนึ่งรอบ “มันไม่มีหรอกไอ้ภาษีพิเศษอะไรนั่น แค่หาเรื่องยัดข้อหาให้ทาดาซี่เท่านั้น”
“พวกเอ็งมองอะไรกันวะ! แยกย้ายไปได้แล้ว! หรืออยากจะโดนภาษีพิเศษเหมือนกัน!!!”
คำพูดของทหารประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงมากลางวง ทำเอาเหล่าชาวบ้านแตกฮือทั้งที่ไม่ทันพูดจบดีด้วยซ้ำ เอลเดรดเร่งฝีเท้าตามชายหนุ่มร่างผอมออกห่างจากกลุ่มทหารเพื่อสอบถามเพิ่มเติม
“แล้วพวกเขาจะยัดข้อหาให้นายพรานคนหนึ่งไปเพื่ออะไรล่ะ ข้าไม่เห็นว่าอาชีพล่าสัตว์จะทำเงินได้มากมายเท่าไหร่ โดยเฉพาะหนี้ตั้งพันเหรียญทอง ต่อให้ล่าสัตว์ไปตลอดชีวิตก็ไม่มีทางใช้หนี้คืนได้แน่ ๆ ”
“นั่นก็เพราะพวกมันไม่ได้ต้องการเงินไงล่ะ!” ชายหนุ่มตอบ ผิวของเขากร้านแดดจากการทำงานหนักกลางแจ้งเป็นเวลานาน “เจ้าไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหมล่ะ ไม่แปลกที่จะไม่รู้ แต่เจ้าเมืองคนปัจจุบันนี่สารเลวตัวพ่อเลย เห็นว่ามาจากตระกูลขุนนางใหญ่ที่ทำผิดอะไรสักอย่างในเมืองหลวงเลยโดนสั่งย้ายมา ที่นี่ก็ได้แค่นี้แหละ เป็นที่ชุบตัวให้กับพวกลูกหลานชั่วช้าของคนใหญ่คนโต”
เอลเดรดพยักหน้ารับรู้ พวกเขาเดินมาหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายชาวบ้านหันมองซ้ายขวาก่อนกลับมาพูดเสียงปกติเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีทหารในบริเวณนี้
“ทุกคนรู้ว่าเจ้าเมืองชื่นชอบผู้หญิงมาก มันไม่สนหรอกว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือแต่งงานแล้วหรือไม่ ขอแค่หน้าตาดีเท่านั้นเป็นพอ พวกเราน่ะ เมื่อไหร่ที่รู้ว่ามันจะเดินทางมาที่หมู่บ้านก็จะให้ผู้หญิงสาวทุกคนแอบอยู่แต่ในบ้าน แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งหรอกที่จะโชคดี”
“งั้นนี่ก็เพราะเจ้าเมืองอยากได้ตัวภรรยาของนายพรานสินะ” เอลเดรดตั้งข้อสังเกต “จะว่าไปแล้วหน้าตาของหล่อนก็ไม่เลวเลย แม้จะมีลูกแล้วแต่ก็ยังดูไม่ต่างจากสาวรุ่นเท่าไหร่”
วาร์ริหันขวับไปจ้องอาจารย์ของตนอย่างกังขา
“ก็เป็นไปได้ แต่ข้าเชื่อว่าเหตุผลจริง ๆ คงเป็นเรื่องอื่นมากกว่า” ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่ทราบว่าท่านได้ข่าวเรื่องมังกรหรือไม่”
“มังกรหรือ?”
“ใช่ มังกร ลือกันว่ามีมังกรปรากฏตัวขึ้นที่หมู่บ้านเชนลันด์ ถัดจากหมู่บ้านนี้ไปทางเหนือน่ะ มังกรที่ว่าโจมตีปศุสัตว์ที่นั่นหลายครั้ง ล่าสุดเห็นว่ามีคนตายด้วย เจ้าก็ได้ยินที่นายกองโรมูรันด์ถามทาดาซี่ว่าเขาเคยไปป่าใกล้กับภูเขาเอรัมทีรันใช่ไหมล่ะ คิดยังไงนี่ก็เป็นการยัดข้อหาเพื่อบังคับทาดาซี่ให้ยอมเป็นคนนำทางไปหารังมังกรชัด ๆ ข้าค่อนข้างมั่นใจทีเดียว”
“สรุปก็คือเจ้าเมืองต้องการคนนำทางเพื่อไปกำจัดมังกรที่ภูเขาเอรัมทีรันงั้นสินะ” เอลเดรดพยักหน้า “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยไขความกระจ่างให้พวกเรา”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงเวลาเลวทรามแบบนี้ถ้าชาวบ้านอย่างเราไม่ช่วยกันเองก็ไม่มีใครมาช่วยแล้วละ” ชายหนุ่มชาวหมู่บ้านยิ้มฝืน ๆ “ท่านนักเดินทางเองก็ระวังตัวนะครับ เป็นไปได้ก็รีบไปจากหมู่บ้านนี้ดีกว่าก่อนจะไปเตะตาเจ้าหน้าที่สารเลวสักคนเข้า ข้าแนะนำให้เดินทางลงใต้ไม่ก็ตะวันตกจะดีกว่า เพราะทิศตะวันออกจะเป็นเส้นทางไปเมืองโทไรเทสที่ไอ้เจ้าเมืองชั่วนั่นปกครองอยู่ และข้ายืนยันว่าที่นั่นน่ะเลวร้ายกว่าหมู่บ้านนี้เยอะ ส่วนทางเหนือ… อีกสักวันสองวันเจ้าเมืองก็คงส่งกองทหารออกไปจัดการกับมังกรแล้วละ ท่านไม่อยากบังเอิญเจอกองทหารของมันแน่ ได้ยินว่านายกองบางคนชอบบังคับนักเดินทางที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้เข้าร่วมกองทัพเป็นทหารระดับล่างด้วย”
“ข้าสัญญาว่าจะระวัง” เอลเดรดนิ่วหน้าที่ตีความได้ทั้งกังวลแล้วก็นึกขันในเวลาเดียวกัน จากนั้นเขาก็ล้วงเอาห่อสมุนไพรเล็ก ๆ จากกระเป๋าส่งให้ชายหนุ่ม “นี่เป็นของตอบแทนเล็กน้อยสำหรับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่าน ข้าเชื่อว่าสมุนไพรรักษาแผลนี้คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย”
ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณก่อนจากไป เอลเดรดออกเดินในทิศตรงกันข้ามโดยมีวาร์ริติดตามเงียบ ๆ ระหว่างที่อาจารย์ของเธอจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
“อาจารย์ ข้าสงสัยนะคะ” ในที่สุดเด็กหญิงก็ไม่อาจอดรนทนต่อความสงสัยได้อีกต่อไป เธอไม่รอให้อาจารย์อนุญาตให้ถามด้วยซ้ำ “แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยชมผู้หญิงหน้าไหนมาก่อนจนเชื่อแล้วด้วยว่าท่านเป็นพวกตายด้าน ไหงคราวนี้ถึงไปชมผู้หญิงคนนั้นล่ะ ยิ่งกว่านั้นหล่อนยังเป็นภรรยาของชายอื่นอยู่แล้วด้วย”
“ ‘ตายด้าน’ เนี่ยนะ? เจ้าไปเอาคำนี้มาจากไหนกัน” เอลเดรดถามยิ้ม ๆ
“พวกตาแก่ในหมู่บ้านเก่าของข้าชอบพูดกันน่ะ”
“เจ้าเนี่ยนะ จำแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“อาจารย์ยังไม่ได้ตอบข้าเลย”
“ที่ข้าชมหล่อนก็เพื่อแสดงอารมณ์ร่วมกับชายคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาก็ออกจะชื่นชอบผู้หญิงคนนั้นไม่น้อย เวลาคนเรามีความเห็นบางอย่างตรงกัน การจะตีสนิทก็ยิ่งง่ายขึ้น”
“งั้นท่านก็โกหกน่ะสิ”
“ข้าโกหกตรงไหนหรือ”
“ก็ท่านชมภรรยานายพรานว่าสวยทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ได้คิดอย่างนั้น” วาร์ริให้เหตุผล
“ข้าไม่ได้โกหก ตามความคิดของข้า มนุษย์ทุกคนทั้งชายและหญิงล้วนมีความงดงามในแบบของตัวเอง ซึ่งของหล่อนคือลักษณะความอ่อนเยาว์กว่าหญิงในวัยเดียวกัน ข้าก็แค่เอาความจริงส่วนนั้นมาพูด” เอลเดรดตอบ “วาร์ริ ในชีวิตของข้าเคยมีภรรยาเพียงสามคน และก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไปตราบจนวันที่ข้าตาย ความปรารถนาทางโลกไม่ใช่เป้าหมายของข้าอีกต่อไปแล้ว”
“นั่นแหละที่เรียกว่าตายด้าน” เด็กหญิงฉีกยิ้มยียวน เอลเดรดเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ
ตอนนั้นเองที่วาร์ริเริ่มตระหนักบางสิ่งขึ้นมาได้เมื่อเหลือบไปเห็นเงาหลังคาที่ฉายลงมาบนพื้น
“นี่พวกเรากำลังจะไปไหนต่อหรือคะ” เธอรีบถาม
“เขาบอกว่าหมู่บ้านเชนลันด์อยู่ทางเหนือใช่ไหมล่ะ”
“อาจารย์ ท่านคงไม่ได้จะ-” วาร์ริอ้าปาก สีหน้าตื่นตระหนกกับความคิดแผลง ๆ ที่จู่ ๆ ก็ดูจะเป็นจริงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ถ้าเรารีบกันสักหน่อยก็น่าจะล่วงหน้าไปก่อนกองทหารเจ้าเมืองได้” เอลเดรดตอบด้วยเสียงร่าเริง “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว เราจะไปดูมังกรกัน!”