THE NEXT WITCH’S JOURNEY - ว่าที่แม่มดมือใหม่ - ตอนที่ 2.2 มังกรแห่งคาทาราน
“ข้าน้อยเชื่อว่าผู้เป็นเลิศอย่างนายท่านย่อมต้องเข้าใจท่าทีของหัวหน้าหน่วยอารักขาศาสนจักรใหญ่ในการพบปะวันนี้อย่างแน่นอนขอรับ” ควอนเจพยายามคุมลมหายใจให้สงบ “ท่านหัวหน้าพูดชัดเรื่องการโยกย้ายนายท่านกลับเมืองหลวงไม่ใช่หรือขอรับ หากไม่ได้หมายความตามนั้นจริง ท่านหัวหน้าคงไม่ยอมออกจากเมืองหลวงมาพบท่านโดยตรงหรอกขอรับ”
“ควอนเจ… เจ้านี่นะ ความโง่ของเจ้าทำข้าทึ่งยิ่งนัก” อาไลน์จุปาก “เจ้าคิดจริงหรือว่าคนอย่างมันจะจิตใจดีงามพอคิดช่วยเหลือข้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนน่ะ มันก็แค่พูดให้ตัวเองดูดีเท่านั้นเอง!คงเป็นพ่อนั่นละที่ยัดเงินให้มัน ไอ้ปลิงในคราบนักบุญเอ๊ย! …ซึ่งจะว่าไปแล้ว…”
สีหน้าของอัศวินหนุ่มเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์หลังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในหัว มันเป็นสีหน้าที่ควอนเจเห็นนับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่เรื่องร้าย ๆ จะเกิดขึ้น เอาจริง ๆ นะ สิ่งหนึ่งที่ลูกหลานตระกูลเกรทเทรันมีเหมือนกันก็คือความเลวร้ายที่เก็บเอาไว้ในหัวไม่มิดนี่ละ
“ข้าจำได้ว่ามีข่าวลือถึงความชื่นชอบ ‘พิเศษ’ ของจ้าววิหารเบโดร่า” อาไลน์แสยะยิ้มกับตัวเอง
“ความชื่นชอบ ‘พิเศษ’ หรือขอรับ” ควอนเจก้มศีรษะต่ำซึ่งตรงข้ามกับน้ำเสียงที่สูงขึ้นบ่งบอกว่าไม่เข้าใจความหมายของเจ้านาย แม้ความจริงเขาจะรู้ตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดออกมาแล้วด้วยซ้ำ
“ข้าสงสัยในสติปัญญาของเจ้าจริง ๆ มันมีคนโง่ได้ขนาดนี้อยู่บนแผ่นดินจริงหรือ ไม่หรอก เจ้าน่ะเป็นมาตรฐานของสามัญชนอยู่แล้วนี่นะ” อาไลน์พ่นลมหายใจเสียงดังด้วยความเบื่อหน่ายระคนดูถูก “จ้าววิหารเบโดร่า ไอ้หมูแก่นั่นน่ะชอบเด็กผู้ชายหน้าตาสะสวยเป็นพิเศษ เพราะงั้นเจ้าก็ไปหาเด็กที่คิดว่าน่าจะทำให้มันพอใจได้จากในเมืองสักสองสามคน เอามาล้าง ๆ ขัด ๆ กลิ่นเหม็นสาบสางบ้านป่าเมืองเถื่อนออกแล้วส่งไปเป็นของขวัญซะ บอกว่ามาจากข้ากับหัวหน้าหน่วยอารักขาศาสนจักรใหญ่ เดี๋ยวมันก็จะรู้เองว่าต้องทำยังไงต่อ”
เพื่อให้ตัวเองสุขสบายเลยเลือกทำลายชีวิตกระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ ควอนเจเก็บความไม่พอใจไว้ใต้หน้ากากเรียบเฉยก่อนจะรับคำอย่างว่าง่าย
ควอนเจยังไม่ทันเงยหน้ากลับขึ้นมาเลยตอนที่จู่ ๆ รถม้าพลันหยุดกะทันหัน ผู้โดยสารคนสำคัญที่สุดถึงกับล้มหัวทิ่ม หน้าคะมำไปกระแทกกับเบาะที่นั่งตรงข้าม แผ่นเกราะลำตัวกระทบด้ามดาบตรงเอวเสียงเคร้งดังลั่น
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจเทียบกับเสียงคำรามเกรี้ยวกราดของอาไลน์ได้
“ขับประสาอะไรของแกวะ! อยากตายหรือไง!” ทันทีที่อัศวินหนุ่มกลับมาทรงตัวได้ เขาก็ถีบประตูแล้วพรวดพราดลงจากรถม้าไป ควอนเจใจหายวาบ ไล่ตามไปติด ๆ โดยสัญชาตญาณ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้อาไลน์สงบลงได้ แต่สถานการณ์นึกจะแย่ก็แย่เอาเสียอย่างนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงจะมีการเปลี่ยนตัวคนขับรถใหม่ก็คราวนี้ละ “ข้าจะควักไส้แกออกมาซะ!!!”
“นายท่านโปรดเมตตาด้วย!” ควอนเจเห็นชายกลางคนผิวคล้ำแดดสวมเสื้อผ้าปุปะกำลังอยู่ในท่าคุกเข่าศีรษะติดพื้น ร่างสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวโดยมีอาไลน์เงื้อดาบเตรียมฟาดฟัน หมอนี่ก็คือคนขับรถม้าคนล่าสุด “ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด!”
“นายท่านขอรับ ได้โปรดรอก่อนขอรับ”
“แกกล้าขัดข้าเรอะ! หรือแกก็อยากตายเหมือนกัน!”
“มิกล้าขอรับ” ควอนเจค่อมตัวลงแต่ก็ไม่ถึงกับลงไปคลานกับพื้นเหมือนคนขับรถม้าที่ตนเองก็ยังจำชื่อไม่ได้ “ข้าน้อยหาได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย และก็ไม่สนใจกับชีวิตของเขาด้วย แค่คิดว่าความตายอาจถือเป็นการลงโทษที่หนักเกินไปในกรณีนี้เท่านั้น”
“ยังมีโทษอื่นที่เหมาะสมกับการสร้างความขุ่นเคืองให้ข้าอีกเรอะ! แล้วดูนี่!มันถึงกับทำให้ข้าหลั่งเลือดเชียวนะ!!!”
ควอนเจมองนิ้วจากนั้นก็ใบหน้าของเจ้านายตน เลือดกำเดานั่นคงได้มาจากตอนล้มหน้าทิ่มเบาะแข็ง ๆ นั่นเอง
“เรื่องนั้นขอให้ท่านตัดสินทีหลังเถิด” เขารีบเอ่ยต่อ “ชัดเจนว่าการหยุดรถม้ากะทันหันนั้นมีที่มาที่ไปขอรับ”
ควอนเจผายมือไปทางกลุ่มคนที่ยืนตรงริมถนนห่างจากม้าลากรถสองตัวราวสองเมตร ชายหกคนมีตั้งแต่วัยสามสิบต้นจนถึงหกสิบเกือบเจ็ดสิบปี ทุกคนมีสร้อยเชือกห้อยป้ายไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าฝ่ามือแขวนที่คอ ป้ายนี้สำหรับทหารเฝ้าประตูคือใบอนุญาตเข้าออกเมือง และกับกองโจรใต้อาณัติของอาไลน์ก็ถือเป็นสัญลักษณ์ว่าห้ามลงมือกับคนเหล่านี้ตราบเท่าที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดิน โดยผู้ที่สามารถขอรับป้ายผ่านทางนี้ได้ก็มีเพียงชาวเมืองโทไรเทสเท่านั้น
“พวกแกเป็นต้นเหตุให้รถม้าของข้าต้องหยุด?” อาไลน์เอียงคอ ถามเสียงเย็น ลดดาบลงทว่ายังไม่เก็บคืนฝัก
“ตะ ต้องขออภัยด้วยขอรับ” ชายสูงวัยที่สุดในกลุ่มคุกเข่าลง จากนั้นอีกห้าคนที่เหลือก็คุกเข่าตาม “ข้าน้อยมีนามว่าเคลดริตช์ เป็นตัวแทนชาวเมืองมาขอความเมตตาจากนายท่านขอรับ”
อาไลน์ไม่ตอบ เอาแต่เพ่งพินิจคมดาบในมือ ดูเหมือนเขาไม่ได้ฟังอยู่ด้วยซ้ำ ควอนเจไม่พูดไม่จาก้มหน้าเงียบ พอคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“นายท่าน ที่พวกเรามารอพบท่านในครั้งนี้ก็ด้วยเรื่องการจัดเก็บภาษีของปีนี้ขอรับ” เคลดริตช์อธิบายต่อเมื่อสังเกตเห็นอาไลน์ชะงักเล็กน้อย หรือเขาจะคิดไปเองนะ “เกี่ยวกับอัตราจัดเก็บใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาถึงหนึ่งส่วนจากเดิมที่เก็บอยู่แล้วหนึ่งในสี่ มันมากเกินไปขอรับ ด้วยการจัดเก็บอัตรานี้ พวกเราเกรงว่าชาวเมืองจะไม่เหลืออาหารมากพอสามารถผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปได้ เพราะงั้น… พวกข้าน้อยจึงขอร้องให้นายท่านช่วยพิจารณาอัตราเก็บภาษีใหม่ด้วยเถิด”
อาไลน์ยังคงทำราวกับว่าดาบของเขาเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลกต่อไป เพียงแต่ควอนเจสังเกตเห็นเส้นเลือดที่ขมับเจ้านายตนดูจะสื่อความหมายตรงข้าม ผู้ติดตามอัศวินหนุ่มก้มหน้าต่ำกว่าเดิม กำหมัดแน่นกลั้นใจรอคอยฉากแห่งหายนะที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
“หากนายท่านจะยกโทษให้กับความอวดรู้ของข้าน้อย แต่ข้าน้อยคิดว่าปีนี้ควรเว้นการเพิ่มอัตราภาษีไปก่อนเนื่องจากผลผลิตที่น้อยลงจากความแห้งแล้ง ส่วนเรื่องการเพิ่มภาษี…” เคลดริตช์มีสีหน้าขมขื่นมากขึ้น “หลังจากประชุมกันแล้วได้ความว่าชาวเมืองส่วนใหญ่คิดเห็นเหมือนกันว่าถ้าจำเป็นต้องเพิ่มอัตราภาษีขึ้นจริง ๆ ก็อยากจะให้ขึ้นทีละน้อย อย่างเช่นหนึ่งในร้อยส่วนต่อปีก็น่าจะดีกว่าขอรับ เพราะว่า-”
“ที่แกจะพูดมีแค่นี้ใช่ไหม” อาไลน์ถามขึ้น
“เอ๊ะ?”
“หูหนวกหรือไง” หนุ่มผมดำหัวเกรียนควงดาบอย่างคล่องแคล่วหนึ่งรอบก่อนตวัดชี้หน้าตัวแทนชาวเมืองผู้ชรา “นี่คือข้ออ้างที่แกมารบกวนการเดินทางของข้าสินะ”
“ไม่ใช่นะขอรับ พวกเราไม่มีเจตนารบกวนท่านเจ้าเมืองเลย เพียงแต่พวกเราหาทางเข้าพบนายท่านไม่ได้สักที ก็เลยจำเป็นต้องมารอพบนายท่านในตอนนี้แทน ซึ่งเป็นทางเดียวที่พวกเรานึกออก” คราวนี้เป็นชายกำยำวัยเลขสี่โพล่งออกมาบ้างขณะที่ชายชราได้แต่ตกใจกลัวจนพูดไม่ออก
“หาทางพบข้าไม่ได้ …เรอะ!” อาไลน์ทวนคำอีกฝ่าย “แล้วแกรู้เหตุผลของเรื่องนี้ไหมล่ะ”
ชายคนนั้นทำหน้าตาโง่เง่าออกมาระหว่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เอ่อ เพราะนายท่านสั่งทหารเฝ้าประตูคฤหาสน์ว่าไม่อนุญาตให้ใครผ่านเข้าไปได้”
“ก็ใช่ไง ‘เพราะข้าสั่งเอาไว้’ แกคิดว่านั่นหมายความว่าไง” อาไลน์เลื่อนปลายดาบเปลี่ยนไปชี้ชายที่หาญกล้าพูดกับเขาแทน ทุกเส้นสายบนใบหน้าของอัศวินหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราดที่เผยตัวออกมาอย่างรวดเร็ว “มันก็หมายความว่าข้าไม่ต้องการเห็นหน้าโง่บัดซบของสามัญชนชั้นต่ำอย่างพวกแกไงล่ะ!!! ไอ้พวกโสโครกเส็งเครงเหม็นเน่า! ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าพวกแกมันเต็มไปด้วยกลิ่นสาบบ้านนอก! เหม็นโว้ย!!! แค่อยู่ใกล้ ๆ ก็น่าสะอิดสะเอียนแทบอ้วกแล้ว!!!”
ไม่มีชาวบ้านคนไหนคาดฝันว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ พวกเขาตกใจตาค้าง ทว่าไม่ทันที่ใครสักคนในกลุ่มจะได้สติมากพอเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา คมดาบก็ตวัดผ่านลำคอของชายวัยสี่สิบผู้นั้นเสียแล้ว เสียงกรีดร้องดังจากชาวบ้านที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลังจากเลือดสด ๆ ฉีดกระเซ็นไปถูกพวกเขา ชายผู้ถูกปาดคอพลิกตัวดิ้นพล่านกับพื้นส่งเสียงขลุกขลักครู่หนึ่งจึงค่อยแน่นิ่งไป
“พวกแกคิดว่าข้าเป็นใครกัน! ข้าคืออาไลน์ เกรทเทรัน อัศวินสีเงินขั้นสามแห่งตระกูลเกรทเทรันที่ยิ่งใหญ่ขนาดราชวงศ์ยังต้องเกรงใจ! แกคิดว่าข้าควรเสียเวลากับมดปลวกไร้ค่าอย่างพวกแกงั้นเรอะ!ไม่มีทาง!!!” อาไลน์กวัดแกว่งดาบสะบัดเลือดที่เปื้อนเปรอะ แล้วหันไปขึงตาใส่ชายชราที่กำลังอ้าปากพะงาบ ๆ “ก่อนหน้านี้แกพูดว่าหากข้าจะยกโทษให้แกสินะ คำตอบก็คือไม่! ข้าไม่อดทนกับขี้ข้าที่บังอาจมาสร้างความขุ่นเคืองให้! ทหาร!!!”
สิ้นเสียง กลุ่มทหารผู้ติดตามจำนวนสิบสองนายก็วิ่งกรูกันออกมาจากด้านหลังรถม้าของอาไลน์ราวกับจัดฉาก พวกเขาก็คือทหารอารักขานั่นเอง
“จับตัวไอ้เศษสวะนี่ไปขัง!” อาไลน์คำรามลั่น น้ำลายกระเด็นแตกฟอง “การประหารของพวกมันทั้งหมดคือพรุ่งนี้ตอนเที่ยงที่จัตุรัสกลางเมือง! อย่าลืมป่าวประกาศให้ชาวเมืองทั้งหมดมารับชมด้วยล่ะ! ให้เป็นเยี่ยงอย่างสำหรับใครก็ตามที่คิดขัดคำสั่งข้า!”
กลุ่มตัวแทนชาวบ้านที่บัดนี้เหลือเพียงห้าคนต่างตะโกนอ้อนวอนขอความเมตตาตอนที่ทหารทั้งหมดรับคำเจ้านายและเริ่มจับพวกเขากดกับพื้นแล้วหยิบกุญแจมือออกมา
“ที่นี่คือเมืองของข้า! เพราะงั้นข้าก็คือเจ้าชีวิตของพวกแก!” อาไลน์ตะเบ็งแข่งกับสรรพเสียงแห่งความกลัวของชายทั้งห้า “ควอนเจ!” อัศวินหนุ่มเรียกข้ารับใช้ที่ยืนก้มหน้ากลั้นใจอยู่ไม่ไกล “ถ่ายทอดคำสั่งทันทีที่เข้าเมือง ให้เพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาคำขออนุญาตออกจากเมืองขึ้นเท่าตัว! ใครหน้าไหนที่คิดจะหนีจากเมืองของข้าให้ฆ่าทิ้งทันที!!!”
“รับทราบขอรับนายท่าน” ควอนเจค่อมตัวต่ำจนศีรษะแทบแตะพื้น