THE NEXT WITCH’S JOURNEY - ว่าที่แม่มดมือใหม่ - ตอนที่ 2.1 มังกรแห่งคาทาราน
รถม้าหรูหราที่สุดเท่าที่จะหาได้ในเมืองอันห่างไกลวิ่งด้วยความเร็วไม่มากนักมาตามถนนลูกรังสองข้างทางขนาบด้วยแนวต้นไม้ป่าโปร่ง แม้จะพูดว่าหรูหรา กระนั้นการออกแบบก็เป็นเพียงรถโดยสารเรียบ ๆ แทบไม่มีการประดับประดาอะไรไว้เลย ด้านนอกเป็นไม้สีดำผิวเคลือบมันไร้ลวดลาย ขณะที่ภายในประกอบด้วยเบาะนั่งกับพนักพิงผ้ากำมะหยี่สีเลือดหมูซึ่งนิ่มกว่าแผ่นไม้เพียงเล็กน้อย ทำให้ทุกครั้งที่รถวิ่งผ่านหลุมบ่อ ผู้โดยสารทั้งสองก็ถึงกับหน้ามุ่ยด้วยแรงกระแทก
โดยเฉพาะกับควอนเจที่หัวใจเหมือนจะวายเสียให้ได้ทุกครั้งที่หัวคิ้วของเจ้านายตนเลื่อนเข้าหากัน ยิ่งพวกมันใกล้กันมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะถูกส่งไปโลกหน้าก็ยิ่งชัดเจนสำหรับเขามากเท่านั้น
“เจ้านาย ใกล้จะถึงแล้วขอรับ” ควอนเจผู้หลังค่อมเอ่ย พยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่นชัดเจนนัก เขาอยู่กับเจ้านายมานานจนพอรู้ว่าสีหน้าแบบใดเป็นแค่การข่มขู่หรือสีหน้าแบบใดคือใกล้จะชักดาบออกมาเชือดคอคนตรงหน้าเต็มที โชคร้ายที่เวลานี้คนตรงหน้าในห้องโดยสารแคบ ๆ ก็มีแค่เขาคนเดียว ความสงบนิ่งนี่แหละอันตราย ด้วยเขาเคยเห็นเจ้านายฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผลมาแล้วนักต่อนัก
“แกได้กลิ่นอะไรไหม” ชายผมดำเกรียนติดหนังหัวเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในตอนที่ควอนเจคิดว่าเจ้านายตนอาจไม่สนใจเสียงที่ไม่ต่างจากแมลงหวี่แมลงวันของเขาเสียแล้ว ถึงอย่างนั้นคำพูดของอีกฝ่ายก็ดันไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้สักนิด
“เอ่อ ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตามความอัจฉริยภาพของเจ้านายทันขอรับ” ควอนเจตอบอย่างระมัดระวัง
ชายผมดำหน้าตอบสวมชุดโซ่ถักทับด้วยแผ่นเกราะป้องอกเงินวาวกับกางเกงหนังเสริมเกราะเบาซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามแค่นหัวเราะ “ลืมไปเลยว่าแกมันโง่!ไอ้พวกโง่!โง่เง่ากันหมดนั่นแหละ!!!” เขาทุบกรอบหน้าต่างรถม้าเปรี้ยง “ให้ตายสิวะ! ทำไมข้าต้องมาอยู่ในสถานที่ทุเรศทุรังแบบนี้ด้วย! บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ!!!”
ควอนเจก้มตัวต่ำที่สุด ไม่กล้าสบตาเจ้านายของตน เป็นที่รู้กันดีในเมืองหลวงว่าตระกูลเกรทเทรันนั้นครอบครองอำนาจทางการทหารของอาณาจักรถึงหนึ่งในสาม ทั้งมีกิจการในฉากหน้าและฉากหลังอีกหลายอย่าง ถือเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่อันเป็นฐานของราชวงศ์ผู้ปกครอง แต่เอาเข้าจริง ใครต่อใครในเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าเกรทเทรันกับอีกสามตระกูลใหญ่นั้นคอยชักใยอยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต่างหาก
แน่นอนว่าด้วยอำนาจมากมายขนาดนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันต่อสมาชิกตระกูลทุกคนถึงอนาคตอันสดใสต่อให้จะเป็นคนเส็งเคร็งไร้ความสามารถขนาดไหนก็ตาม นับตั้งแต่หกปีก่อนที่หัวหน้าตระกูลเกรทเทรันเข้ารับตำแหน่งรองอำนวยการควบคุมกองทะเบียนขุนนางควบผู้บัญชาการทหารส่งผลให้เกิดการแต่งตั้งอย่างผิดปกติครั้งใหญ่ นอกจากการดึงเอาเครือญาติเข้าดำรงตำแหน่งโดยไม่สนใจความสามารถแล้ว ยังมีการสร้างตำแหน่งขึ้นลอย ๆ เพื่อรับเงินใต้โต๊ะและยักยอกเงินภาษีอีกด้วย ภายใต้ฉากหน้าศิวิไลซ์ของเมืองหลวงนั้นคือความเน่าเฟะของระบบอำนาจอันชั่วช้า
พูดก็พูดเถอะ อาไลน์ เกรทเทรันคือหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของความเน่าเฟะนั้น อัศวินสีเงินขั้นสามนายนี้เป็นบุตรชายคนที่แปดของหัวหน้าตระกูลเกรทเทรันคนปัจจุบันกับภรรยาน้อยคนที่สิบสี่ เขาถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเมืองหลวงชั้นในที่สิบเจ็ด ทว่าทำงานได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้นก็ดันก่อเรื่องเข้าเสียแล้ว โดยต้นเหตุของเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่ออาไลน์ไปเที่ยวบาร์กับกลุ่มเพื่อนชนชั้นสูงของตนแล้วบังเอิญไปเตะตาต้องใจสาวเสิร์ฟคนหนึ่งเข้า แต่บังเอิญเจ้าหล่อนกำลังถูกทหารคนหนึ่งจีบอยู่ ด้วยความมึนเมาของทั้งสองฝ่ายจึงเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้น และจบวันนั้นลงที่อาไลน์ถูกต่อยเลือดกบปากหัวทิ่มเล้าหมู
โชคร้ายสำหรับทหารคู่กรณีนายนั้นเมื่อเขาพบว่าคนที่ซ้อมไปตอนเมานั้นคือหัวหน้าของตน อาไลน์ไม่รอช้ายัดข้อหาและสั่งลงโทษเขาอย่างรุนแรง ถามว่าแรงขนาดไหนหรือ เอาเป็นว่าไม่ทันถึงเย็นวันนั้น ทหารคู่กรณีก็ถูกบรรจุในถุงแล้วนำไปโยนลงหลุมทิ้งศพไร้ญาติเรียบร้อย
แน่นอนว่าหากทหารที่ตายเป็นใครก็ไม่รู้ เรื่องนี้คงจบลงอย่างเงียบเชียบเช่นทุกครั้ง เพียงแต่คู่กรณีของอาไลน์ในครั้งนี้เป็นญาติห่าง ๆ ของพ่อค้ารายใหญ่ในเมืองหลวง ถึงพ่อค้าจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่กระนั้นความกว้างขวางของเขาก็มากพอสร้างผลกระทบทางการค้าต่ออาณาจักรได้ในระดับหนึ่ง พ่อค้าใช้เส้นสายขอเข้าพบกับราชาและขู่ว่าจะเกลี้ยกล่อมให้สมาคมการค้าย้ายไปลงทุนกับอาณาจักรที่เป็นศัตรูกันแทนหากการตายของญาติตนไม่ได้รับความเป็นธรรม
เมื่อปัญหาลามไปในระดับประเทศ ตระกูลเกรทเทรันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประกาศลงโทษอาไลน์ ถึงอย่างนั้นทิฐิของหัวหน้าตระกูลก็มากพอให้เขาไม่ยอมลงง่าย ๆ เช่นกัน เพราะต่อให้อาไลน์จะเป็นลูกของภรรยาน้อยทว่าก็ยังเป็นถึงบุตรชายคนหนึ่งของตระกูลเกรทเทรัน ที่สำคัญการที่พ่อค้าใช้อำนาจของสมาคมการค้ามาบีบเขาเป็นการท้าทายอำนาจโดยตรง หัวหน้าตระกูลต่อรองกับองค์ราชาให้เปลี่ยนการลงโทษจากการประหารเป็นการเนรเทศออกจากเมืองหลวงแทน ไม่เช่นนั้นเขาจะสั่งโยกย้ายทหารป้องกันชายแดนกลับมาประจำรอบเมืองหลวงแทน
คำขู่กลาย ๆ ได้รับการตอบรับ การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้งกระทั่งท้ายที่สุดอาไลน์ถูกเนรเทศมายังเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักอย่างเมืองโทไรเทสแห่งนี้
ชัดเจนว่าจุดประสงค์ของหัวหน้าตระกูลผู้พ่อคือต้องการลดความซ่าของลูกชายภรรยาน้อยรายนี้ หวังว่าเขาจะยอมเก็บตัวจนกว่าเรื่องจะเงียบจึงค่อยหาทางดึงตัวเขากลับเมืองหลวง ทว่าอาไลน์กลับโง่เง่าเกินกว่าจะเข้าใจความปรารถนาดีของบิดา สิ่งเดียวที่เจ้าอัศวินตกอับบัดซบนี่รับรู้ก็มีเพียงความไม่สะดวกสบายของตัวเอง แต่ละวันของเขาหมดไปกับการคร่ำครวญถึงโศกนาฎกรรมความไม่ยุติธรรมที่ตนได้รับสลับกับกราดเกรี้ยวที่โชคชะตานำพามาติดแหงกยัง ‘บ้านนอกคอกนา’ อย่างที่เขาเรียกด้วยการดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด อาไลน์ยังคงใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาเช่นที่เคยเพียงแต่ถ่อยสถุลกว่าเดิม
เมื่ออยู่นอกสายตาของบิดากับอัศวินคนอื่น ๆ อาไลน์ก็เผยธาตุแท้อันชั่วช้าของตนออกมาเต็มที่ ไม่ว่าจะฉุดคร่าหญิงชาวบ้านที่ไม่ว่าจะแต่งงานแล้วหรือไม่ ใครก็ตามที่เข้าตาอาไลน์ล้วนถูกจับตัวส่งให้เขาทั้งสิ้น แรก ๆ พวกชาวเมืองพยายามต่อต้าน ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจเอาชนะกองกำลังของเขาได้ แม้จะถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวง ทว่าอาไลน์ก็ยังคงเป็นอัศวินอยู่ดี และตามกฎของอาณาจักร อัศวินมีสิทธิมีกองกำลังของตัวเองในจำนวนจำกัด (ต่อให้ตามหลักปฏิบัติแล้วกองกำลังส่วนตัวของอัศวินส่วนใหญ่จะมีจำนวนมากกว่าขั้นที่กฎหมายกำหนดไว้ก็ตาม) แน่นอนว่าอาไลน์ได้ทหารประจำตระกูลมาประมาณสองหมวด แล้วยังมีทหารรับจ้างกับโจรใต้อาณัติอีกจำนวนหนึ่งหลังจากย้ายมาประจำการในเมืองโทไรเทสแล้ว
โดยใช้เวลาไม่นาน อาไลน์ก็สามารถปกครองเมืองโทไรเทสอย่างเสร็จสรรพ เขาเองก็เช่นเดียวกับบิดาตนที่อาศัยพวกคนถ่อยเป็นฐานอำนาจ เมืองโทไรเทสตกอยู่ใต้ความหวาดกลัว แต่แม้ชาวบ้านจะอยากหนีแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เนื่องจากประตูเมืองมีทหารเฝ้าตรวจคนเข้าออกอย่างแน่นหนา ไกลออกมาในป่ารอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยกองโจรที่อาไลน์เลี้ยงไว้
จะว่าไปแล้ว ควอนเจเองก็ไม่ต่างจากนักโทษนั่นแหละ เขาจำต้องฝืนทนรับใช้อาไลน์ ทำสิ่งชั่วช้าสารพัดทั้งที่เขาไม่ต้องการเลยเพื่อให้ตัวเองสามารถมีชีวิตรอดไปได้วันต่อวัน
“แค่ทำผิดครั้งเดียวเอง! ไม่สิ! มันไม่ใช่ความผิดด้วยซ้ำ!!! ข้าก็แค่กำจัดไอ้สวะชั้นต่ำรกหูรกตานั่นเท่านั้นเอง! ถือว่าเป็นการช่วยกำจัดขยะให้เมืองหลวงมากกว่าซะอีก!” อาไลน์ยังคงทุบกรอบหน้าต่างรถม้าต่อไป
ที่ว่าเป็นขยะน่ะมันแกต่างหาก ควอนเจกลั้นหายใจ ก้มต่ำทำหน้าตายสุดความสามารถ
“แกว่าการที่ข้าต้องระหกระเหินมาที่นี่มันสมควรแล้วหรือ” อาไลน์ถามเสียงนุ่ม เหมือนมีดอาบยาพิษ
“บิดาของนายท่านวิ่งเต้นเต็มที่แล้วขอรับ” ควอนเจเอ่ยเสียงเบา
“แกไม่ได้ตอบคำถามข้า” เสียงของเจ้านายแข็งขึ้นอย่างชัดเจน “ข้าถามว่าอะไร”
“ไม่สมควรเลยขอรับ ตุลาการพวกนั้นตาบอดสนิทกันหมด พวกมันรับเงินใต้โต๊ะจากสมาคมการค้าสารเลวให้ตัดสินลงโทษนายท่านอย่างไม่เป็นธรรมเลยขอรับ”
“แกคิดเช่นนั้นจริงหรือ” ควอนเจสัมผัสถึงสายตาเผาไหม้ของอาไลน์บนกระหม่อมตน
“ขอรับ นายท่านคือสายเลือดแห่งเกรทเทรันที่ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าเหนือหัวของข้าน้อย แน่นอนว่าหัวใจข้าน้อยย่อมต้องอยู่กับผู้เลิศล้ำอย่างนายท่านอาไลน์อยู่แล้วขอรับ” ควอนเจพูดสิ่งที่ท่องซ้ำ ๆ จนขึ้นใจออกมาโดยไม่จำเป็นต้องคิด
“นั่นสินะ ใช่แล้ว ใช่” ชายหน้าตอบผมดำผิวซีดหัวเราะ ผ่อนคลายลงกระทั่งเลิกทุบกรอบหน้าต่างรถม้า
ควอนเจเหลือบมองออกไปเห็นต้นไม้ใหญ่โดดเด่นต้นหนึ่ง ลำต้นของมันถูกบากด้วยของมีคม ร่องรอยที่ดูเผิน ๆ มั่วซั่วนั้นแท้จริงแล้วเป็นสัญลักษณ์ประกาศอาณาเขตของกองโจรปลวกแดง ซึ่งบอกให้เขารู้ว่าอีกไม่นานก็จะถึงประตูเมืองแล้ว
“นายท่าน ไม่เกินห้านาทีก็จะถึงประตูเมืองแล้วขอรับ”
“อย่างกับว่าข้าอยากกลับไปที่นั่นงั้นแหละ เมืองห่าเหวอะไรกัน เหม็นยิ่งกว่าเล้าหมู มีแต่บ้านซอมซ่อ อาหารก็ห่วยแตก กลิ่นชนชั้นต่ำอบอวลโชยไปถึงคฤหาสน์ของข้าเลยเชียวนะ!” อาไลน์บ่น
“ข้าน้อยเชื่อว่าอีกไม่นานนายท่านก็จะได้ออกจากที่นี่แล้วละขอรับ”
“หืม แกเชื่องั้นหรือ หมายความว่าไง” อาไลน์หรี่ตาลง
พลันนั้นหัวใจควอนเจหล่นวูบ ฉิบหายละ! เผลอประจบมากเกินไปซะนี่!