THE NEXT WITCH’S JOURNEY - ว่าที่แม่มดมือใหม่ - ตอนที่ 1.6 ความมืดใต้หุบเขา (จบเรื่องแรก)
- Home
- THE NEXT WITCH’S JOURNEY - ว่าที่แม่มดมือใหม่
- ตอนที่ 1.6 ความมืดใต้หุบเขา (จบเรื่องแรก)
“อาจารย์คะ!” เด็กหญิงได้สติ ออกวิ่งจากที่กำบังไปหาเอลเดรดที่ตวัดดาบสีเงินเล่มนั้นแล้วเสียบคืนฝักด้วยท่วงท่าสง่างาม ในตอนที่เธอไปถึงเขา อาวุธก็กลับคืนสู่สภาพไม้เท้าเดินป่าไร้พิษภัยอีกครั้ง “อาจารย์ฆ่ามันไปแล้วใช่ไหม”
“ใช่” เอลเดรดตอบยิ้ม ๆ ลูบหัวเธอเบา ๆ จากนั้นเบือนหน้าเดินตรงไปยังบริเวณที่ลึกเข้าไปของโพรงถ้ำซึ่งไอความมืดยังคงปกคลุมอยู่
“โหงอาคมเนี่ยคืออะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้อาจารย์บอกว่ามันเป็นผู้ใช้เวทมนตร์มืดใช่ไหมคะ” วาร์ริถามต่อ เร่งฝีเท้าตามอาจารย์ไป สถานที่แห่งนี้ยังคงให้ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนไม่หายแม้เจ้าสิ่งที่ถูกเรียกว่าโหงอาคมจะถูกกำจัดไปแล้วก็ตาม
“ก็ตามที่พูดนั่นแหละ ครั้งหนึ่งเจ้านั่นก็เป็นมนุษย์ไม่ต่างจากข้าหรือเจ้า เพียงแต่การข้องเกี่ยวกับศาสตร์มืดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานานทำให้มันสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ไหนจะสถานที่แห่งนี้อีก ปกติแล้วโหงอาคมไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายนัก และส่วนใหญ่ก็มักมีลักษณะเป็นปรสิตที่คอยเข้าสิงและกัดกินมนุษย์จากภายในเสียมากกว่า ทว่าความชั่วร้ายที่สะสมอยู่ที่นี่นับตั้งแต่สงครามกวาดล้างชาวทาร์ทรินได้เร่งกระบวนการทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป”
เอลเดรดโบกมือครั้งหนึ่ง ฉับพลันกลุ่มก้อนความมืดที่ปกคลุมหนาแน่นตรงหน้าก็เคลื่อนเปิดทาง เผยให้เห็นกองผ้าโสโครกสุมกันจนดูเหมือนรังนกเน่า ๆ ขนาดใหญ่ กระเป๋าเก่าขาดหลายใบ เสื้อผ้าทั้งชายและหญิงรวมถึงเครื่องประดับถูกโยนทิ้งระเกะระกะ วาร์ริคิดว่าข้าวของทั้งหมดนี้น่าจะเป็นสิ่งของของนักเดินทาง รอยเลือดแห้งกรังที่เปรอะอยู่กับของบางชิ้นโดยเฉพาะตามเสื้อผ้าขาดวิ่นบ่งบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี หรือแม้แต่พวกชุดเกราะกับอาวุธขึ้นสนิมอันเป็นร่องรอยหลงเหลือของสงครามในอดีตก็ถูกขนมากองรวมกัน แต่ที่น่าสะพรึงที่สุดได้แก่กองกระดูกสูงสามเมตร กระดูกมนุษย์ถูกอัดรวมกันเป็นเนินขนาดย่อมมีขั้นบันไดเบี้ยว ๆ บูด ๆ ด้านหน้า โดยบนยอดสูงสุดมีลักษณะชวนให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก…
“บัลลังก์กระดูกผู้วายชนม์” เอลเดรดเอ่ยสิ่งที่เด็กหญิงกำลังคิดอยู่ออกมา “โหงอาคมคงภูมิใจมากกับการล่าของมันถึงได้รวบรวมสิ่งที่เหลือของเหยื่อทั้งหมดมาสร้างเป็นบัลลังก์นี่”
เด็กหญิงกลืนน้ำลายด้วยความหวั่นเกรงและขยะแขยง
“วาร์ริ ถอยไปหน่อย” เอลเดรดบอกเธอ “สิ่งเหล่านี้ไม่สมควรจะมีอยู่ พวกมันเป็นเสมือนภาชนะดูดซับความชั่วร้ายให้มีตัวตนชัดเจนขึ้นมา ไม่ว่าจะผ่านไปอีกสักร้อยปีพันปี พวกมันก็ยังสามารถสร้างอันตรายให้กับใครก็ตามที่บังเอิญมาพบเข้า”
วาร์ริไม่แน่ใจนักว่าอาจารย์ทำได้อย่างไร เธอเห็นเขาเดินไปก้ม ๆ เงย ๆ แถวฐานของเนินกระดูกครู่หนึ่ง จากนั้นเปลวไฟกองเล็กก็ลุกพรึบ เอลเดรดถอยมาอยู่ข้างเธอ เขายกมือสองข้างชูเหนือศีรษะ สายลมอ่อนโยนก่อตัวขึ้นหอบพัดละอองสีส้มแดงให้กระจายไปยังรอบข้าง เพลิงลุกลามอย่างรวดเร็วทั้งที่กระดูกแห้ง ๆ เพียงอย่างเดียวไม่น่าจะติดไฟได้ง่ายเหมือนกระดาษ และไม่ใช่แค่นั้น สะเก็ดไฟลอยไปสัมผัสกับเสื้อผ้า กระเป๋ากับข้าวของเครื่องใช้ของบรรดาเหยื่อ จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในกองเพลิงอย่างรวดเร็ว
“ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้วละ เราไปกันเถอะ” เอลเดรดหันมายิ้มให้เด็กหญิง
1
“ความจริงจะเรียกว่าฆ่าก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะผู้ใช้เวทมนตร์นั่นตายไปนานมากแล้วถึงได้กลายสภาพเป็นโหงอาคม” เอลเดรดเอ่ยระหว่างหยิบกิ่งไม้ในชามเก็บลงกระบอกน้ำ จากนั้นก็เทน้ำจากชามสองใบลงในช่องว่างที่เหลือในกระบอก เขายกน้ำในชามสุดท้ายให้วาร์ริดื่มก่อนแล้วตนค่อยดื่มส่วนที่เหลือ
สายฝนยังเทกระหน่ำไม่มีทีท่าจะหยุดง่าย ๆ ศิษย์อาจารย์นั่งมองทิวทัศน์ของโลกสีเทาบิดเบี้ยวด้วยม่านน้ำ บรรยากาศสดชื่นเย็นสบายผิดจากอากาศนิ่งงันอบอวลด้วยความตายภายในถ้ำลิบลับ กระทั่งตอนนี้เด็กหญิงก็ยังคงได้ยินเสียงกระซิบของความชั่วร้ายจากรอยแยกบนหินด้านหลัง เชื้อเชิญ เรียกร้อง ล่อลวงให้เธอย้อนกลับเข้าไปและรับสืบทอดพวกมันต่อจากเจ้าของเดิมที่เพิ่งโดนกำจัด วาร์ริจำต้องพยายามสุดความสามารถที่จะไม่สนใจมัน
“ข้าปลดปล่อยมันจากความทุกข์ทรมานที่ยึดโยงไว้กับโลกฝั่งนี้” เอลเดรดว่าต่อ “ทั้งหมดก็เพื่อตัวมันเองทั้งสิ้น”
“เพื่อโหงอาคมงั้นหรือคะ?”
“เจ้ามองเห็นชีวิตของมันเป็นอย่างไรล่ะ มันเก็บตัวโดดเดี่ยวอยู่ในสถานที่อันชั่วร้ายมาเนิ่นนาน เผลอ ๆ อาจนานยิ่งกว่าช่วงชีวิตของข้าเสียอีก ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ได้ยินใช่ไหม เสียงกระซิบพวกนั้น”
วาร์ริพยักหน้า
“เมื่อความชั่วร้ายมารวมตัวในที่หนึ่ง ๆ ในปริมาณมากพอ มันก็จะเริ่มส่งผลต่อสภาพแวดล้อม ยิ่งเข้มข้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอิทธิพลเท่านั้น สถานที่แห่งความชั่วร้ายจะดึงดูดพวกที่ชั่วร้ายเหมือนกัน เปลี่ยนมนุษย์และสัตว์ที่เคยดีให้ต่ำทรามลง เปลี่ยนเรือกสวนไร่นาเป็นที่รกร้าง ถึงขั้นทำลายอาณาจักรได้เลยทีเดียว” อาจารย์ของเธออธิบาย “เจ้าลองนึกดูแล้วกัน โหงอาคมตนนี้จมอยู่กับความชั่วร้ายในถ้ำนั่น จิตใจจมอยู่กับความโกรธ ความเกลียดชัง ความคิดเลวร้าย เมื่อถูกความมืดครอบงำ มันก็ง่ายกว่าที่จะนึกถึงความทรงจำแย่ ๆ ของตัวเอง พอคนเราคิดถึงแต่ความผิดพลาดและความสูญเสีย เส้นทางเบื้องหน้าเขาเหล่านั้นก็จะแคบลงเพราะความมืดบอดของตัวเอง ยิ่งมืดบอดเท่าไหร่ โอกาสที่จะเห็นแสงสว่างก็น้อยลงเท่านั้น”
วาร์ริไม่พูดอะไร ตั้งหน้าตั้งตาทำความเข้าใจคำพูดของเอลเดรด
“โหงอาคมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทุกข์ทรมาน มัวหลงระเริงอยู่บนเปลวไฟโดยเข้าใจผิดว่าเป็นสายน้ำ ถ้าข้าปล่อยมันเอาไว้ ใครจะรู้ว่ามันจะสร้างความเสียหายให้กับนักเดินทางผู้โชคร้ายอีกเท่าไหร่ วาร์ริ โลกหลังความตายมีอยู่จริง การหมุนวนของดวงวิญญาณบนโลกต่าง ๆ นั้นมีอยู่จริง ทุกการกระทำทั้งดีและชั่วล้วนมีผลสะท้อนกลับมา ไม่ว่าจะเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ตาม” เอลเดรดพูดต่อ “โหงอาคมทำร้ายผู้คนเอาไว้มาก จิตใจยึดมั่นกับความชั่วร้าย เพียงแค่นี้ก็ยืนยันจุดหมายของมันในโลกหลังความตายได้แล้ว ความเมตตาเดียวที่ข้าสามารถมอบให้มันได้จึงเหลือเพียงการตัดกระแสความชั่วของมันเสีย บังคับให้หยุดทำสิ่งเลวร้ายเพื่อไม่ให้อนาคตของมันต้องทุกข์ทรมานมากไปกว่านี้”
“หมายความว่าการฆ่าก็สามารถเป็นความเมตตาได้งั้นหรือคะ” วาร์ริถามออกมาในที่สุด แม้จะเป็นคำพูดที่หลุดจากปากตัวเอง ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูจะไม่มั่นใจนัก
“ถูกต้อง”
“แต่อาจารย์เคยบอกว่าทุกการทำชั่วจะส่งผลสะท้อนแก่ผู้กระทำ แล้วการฆ่าก็คือหนึ่งในความชั่ว งั้นถ้าเราฆ่าใครต่อให้เป็นความเมตตาก็ตาม ยังไงเราก็ต้องรับผลสะท้อนอยู่ดีใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว” เอลเดรดพยักหน้า “จำไว้นะ ความเมตตาไม่ใช่สิ่งที่แค่ให้ใครไปแล้วก็จบ เจ้าต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการกระทำให้ดี”
วาร์ริอ้าปากหาว บรรยากาศเย็นสบายเมื่อบวกกับความเหนื่อยล้าและความรู้สึกผ่อนคลายหลังรอดจากเหตุการณ์ระทึกขวัญมาได้ส่งผลให้น้ำหนักเปลือกตาเธอเพิ่มขึ้นหลายเท่า
“พักผ่อนเถอะ ฝนน่าจะตกอย่างนี้ไปอีกสักพัก” เอลเดรดบอกเด็กหญิง จากนั้นเขาก็หลับตาลง มือวางบนหัวเข่าทั้งสองข้าง ท่าทางบ่งชัดว่าเขากำลังเริ่มต้นเข้าสู่สมาธิ “ข้าเองก็ว่าจะพักสักหน่อยเหมือนกัน”