The King of War - ตอนที่ 805 ถูกปลดออก
“ประธานเฉิน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”
หลิ่วเหมยไม่ทันได้สังเกตเห็นคุณหยางที่อีกฝ่ายเรียก จึงถามด้วยความประหลาดใจ
“ฉันเหรอ…”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร หลิ่วเหมยก็มีสีหน้ายินดี รีบคว้าแขนของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “คุณคะ ท่านนี้คือผู้จัดการทั่วไปของร้านอาหารแซ่เฉิน เฉินอิงเหา ประธานเฉิน และเป็นทายาทของตระกูลเฉินด้วย
จากนั้นหลิ่วเหมยก็รีบหันไปพูดกับเฉินอิงเหา “ประธานเฉิน คุณมาได้เวลาพอดีเลย เมื่อคืนก่อน พี่เทียนโย่วเลี้ยงอาหารพวกเราทีมงานละครที่ร้านอาหารแซ่เฉิน”
“แต่สุดท้ายเจ้าหมอนี่ ถือโอกาสเอาเหล้าชั้นดีราคานับล้านกลับบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพี่เทียนโย่ว แล้วยังลงบันทึกในชื่อของพี่เทียนโย่วทั้งหมดอีก”
“คุณรีบบอกทุกคนไปสิ ว่าเขาขโมยเหล้าชั้นดีมูลค่านับล้านไปจากร้านอาหารแซ่เฉินจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วเหมย เฉินอิงเหาจึงรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร
“เผียะ!”
เฉินอิงเหาพลิกฝ่ามือตบหน้าหลิ่วเหมยอย่างแรง
“ผู้หญิงต่ำช้า กล้ามาดูถูกคุณหยาง คอยดูฉันจะตีแกให้ตาย”
ว่าแล้วเฉินอิงเหาก็ยิ้มพลางยกมือขึ้นตบไปอีกหลายฉาด
ในไม่ช้าแก้มของหลิ่วเหมยก็บวมแดงอย่างรวดเร็ว
ผู้คนที่อยู่รายรอบต่างตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่า เฉินอิงเหาจะตบหลิ่วเหมยต่อหน้าสาธารณชนไปหลายครั้ง
“ประธานเฉิน คุณตบฉันทำไม?”
หลิ่วเหมยมีสีหน้าคับข้องใจ ชี้ไปที่หยางเฉิน “เจ้าหมอนี่ขโมยเหล้าไปจากร้านอาหารแซ่เฉิน เขากำลังทำลายชื่อเสียงของร้านอาหารแซ่เฉิน”
“ฉันช่วยคุณจับหัวขโมยนี้ได้แล้ว คุณมาตบฉันทำไม?”
เฉินอิงเหายิ้มเยาะ “ใครบอกคุณว่าคุณหยางขโมยเหล้าจากร้านอาหารแซ่เฉิน?”
“แล้วไม่ใช่เหรอ?” หลิ่วเหมยย้อนถาม
เฉินอิงเหายิ้มเยาะ “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? กล้ามาซักถามผม?”
“ดี ในเมื่อคุณต้องการใส่ร้ายคุณหยาง ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาหาว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน”
“คุณต้องการหลักฐานไม่ใช่เหรอ? ถ้างั้นฉันจะให้คุณเดี๋ยวนี้”
เสียงของเฉินอิงเหาเงียบลง ต่อโทรศัพท์ไปยังหมายเลขหนึ่ง แล้วสั่งการว่า “รีบเอาคลิปจากกล้องวงจรปิดเมื่อคืนวานตอนที่คุณหยางออกจากร้านอาหารแซ่เฉินส่งมาให้ผมหน่อย”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เฉินอิงเหาก็อธิบายให้กงเจิ้งฟังอีกครั้ง “หัวหน้ากง ผมสามารถรับประกันกับคุณได้เลย คุณหยางเป็นผู้บริสุทธิ์”
“จะพูดกับคุณอย่างไม่ปิดบังเลยนะ ขอเพียงคุณหยางไม่ขัดข้อง ตระกูลเฉินของเราสามารถยกร้านอาหารแซ่เฉินทั้งร้านให้กับคุณหยางได้”
“คุณคิดว่า คุณหยางคนนี้จะสามารถขโมยเหล้าหลายขวดได้เหรอ?”
ในใจกงเจิ้งแอบประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าหยางเฉินจะใกล้ชิดสนิทสนมกับตระกูลเฉินมากมายขนาดนี้
หลิ่วเหมยเบิกตากว้างทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “ประธานเฉิน เขาเป็นคนขับรถเถื่อน ทำไมคุณถึงดีกับเขานัก?”
“คนขับรถเถื่อน?”
เฉินอิงเหาไม่โกรธแต่กลับหัวเราะแทน และเพราะการหัวเราะนี้ เห็นได้ชัดว่ายิ่งดุร้ายมากขึ้น
“คุณหยางเป็นใคร ขยะอย่างคุณมีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหรอ?”
เฉินอิงเหาไม่ยินดีที่จะพูดคุยเรื่องตัวตนของหยางเฉินมากนัก เขากล่าวด้วยความโกรธ “แค่เรื่องที่คุณดูถูกคุณหยาง ตระกูลเฉินของผมจะจัดการให้ทนายมาฟ้องร้องคุณ!”
“อะไรนะ?”
หลิ่วเหมยหน้าถอดสี ปัจจุบันนี้ตระกูลเฉินกำลังมีแนวโน้มเจริญรุ่งเรือง มีศักยภาพด้อยกว่าแปดตระกูลแห่งเมืองเยี่ยนตูเท่านั้น
เฉินอิงเหาอยู่ในฐานะทายาทของตระกูล ถ้าจะจ้างทนายมาฟ้องร้องเธอจริงๆ อนาคตของเธอก็คงจะดับวูบลงอย่างสมบูรณ์
และในเวลานี้เอง มือถือของเฉินอิงเหาก็ดังขึ้น เขาควักโทรศัพท์มือถือออกมาและเห็นวิดีโอจากกล้องวงจรปิดช่วงหนึ่ง
“หัวหน้ากง คุณดูสิ นี่คือวิดีโอจากกล้องวงจรปิดตอนที่คุณหยางออกจากร้านอาหารแซ่เฉินเมื่อคืนก่อน”
เฉินอิงเหากล่าวว่า “หลังจากที่คุณหยางออกจากห้องส่วนตัวแล้ว ก็ตรงออกไปจากร้านอาหารเลย ในมือไม่มีสิ่งของใดๆ”
“และยิ่งไม่มีทางเอาเหล้าชั้นดีมูลค่านับล้านไปจากเคาน์เตอร์ด้านหน้าได้”
กงเจิ้งมีความเชื่อมั่นในตัวหยางเฉินมาตลอดว่าไม่มีทางขโมยเหล้า ในเวลานี้เห็นหลักฐานที่เฉินอิงเหาเอาออกมาแสดง เขาก็โล่งใจได้ในที่สุด
“คุณหยาง หลักฐานที่ประธานเฉินนำออกมาได้แสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้เอาเหล้าใดๆ ออกไปเลย ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนล่ะนะ”
กงเจิ้งพูดจบก็โบกมือ “กลับได้!”
“หัวหน้ากง คุณยังไม่ได้จับตัวหยางเฉินไปเลย คุณจะไปได้ยังไง?”
เมื่อเห็นกงเจิ้งกำลังจะกลับไป หลิ่วเหมยก็ร้อนใจ รีบเข้าไปดึงกงเจิ้งเอาไว้
กงเจิ้งเลิกคิ้วขึ้นทันที “ประธานเฉินแสดงหลักฐานออกมาแล้ว ซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าคุณหยางไม่ได้ขโมยเหล้าไป”
“คุณผู้หญิง ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ แต่คุณกล้าแจ้งความเท็จงั้นหรือ?”
“คุณคิดว่าผมไม่ควรจับคุณจริงเหรอ?”
หลิ่วเหมยกัดฟันพูด “ฉันไม่ได้แจ้งความเท็จ ถ้าไม่ใช่หยางเฉินขโมยเหล้าไป แล้วราคาในบิลค่าใช้จ่าย ทำไมถึงสูงนัก?”
“ถึงแม้ว่าหยางเฉินจะไม่ได้ขโมยเหล้าไป แต่เขาก็รู้จักกับประธานเฉิน หยางเฉินต้องให้ประธานเฉินจงใจบวกราคาเพิ่มอีกหนึ่งล้านแน่นอน”
ตอนนี้หลิ่วเหมยคิดแต่จะทำลายชื่อเสียงของหยางเฉิน ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
“เมื่อคืนก่อนพวกคุณไม่รู้เหรอว่าสั่งเหล้าไปเท่าไหร่ พวกคุณไม่มีการคิดคำนวณอยู่ในใจบ้างเลยเหรอ?”
เฉินอิงเหากล่าวอย่างเย็นชา “แค่กลัวว่าพวกคุณจะสร่างเมาแล้วไม่ยอมจ่าย ทุกอย่างในห้องส่วนตัวเมื่อวานนี้ ผมไม่ได้ให้ใครไปแตะต้องเลย”
“ถ้าคุณไม่เชื่อ วิดีโอจากกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมงบนทางเดินสามารถพิสูจน์ได้ หลังจากพวกคุณออกไปแล้ว ไม่มีใครเข้าไปในห้องส่วนตัวนั้นเลย”
“ในเมื่อคุณไม่เชื่อ ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องฟ้องคุณที่ใส่ร้ายร้านอาหารแซ่เฉิน คุณก็รอรับจดหมายจากทนายความประจำตระกูลเฉินแล้วกัน!”
กงเจิ้งก็กล่าวอย่างเย็นชา “คุณหลิ่ว คุณแจ้งความเท็จ แล้วยังรบกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชน พวกเราต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และขั้นตอน คุณหลิ่วกรุณามากับผม”
กงเจิ้งโบกมือ ชายในเครื่องแบบสองนายวิ่งเข้ามา ขนาบซ้ายขวาหลิ่วเหมยแล้วจับแขนของเธอ
จนกระทั่งในเวลานี้ หลิ่วเหมยถึงตระหนักได้ว่าตนเองได้สร้างปัญหายุ่งยากมากมาย
เธอได้จงใจทำเรื่องราวให้ใหญ่โตเพื่อสร้างกระแส ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากได้เก็บภาพทุกอย่างเมื่อครู่เอาไว้
เมื่อเธอถูกพาตัวไป จะต้องขึ้นพาดหัวข่าวอย่างแน่นอน
และซิงเฉินมีเดียก็ต้องไล่เธอออกจากกองละคร เพื่อลดผลกระทบเชิงลบแน่นอน
ไม่เพียงเท่านี้ เส้นทางในวงการบันเทิงของเธอก็จะถูกทำลายลงอย่างหมดสิ้นเพราะเรื่องนี้
“ประธานเฉิน ฉันผิดไปแล้ว คุณช่วยปล่อยฉันไปสักครั้ง ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
หลิ่วเหมยรีบมองไปทางเฉินอิงเหาอย่างอ้อนวอน ทั้งน้ำตาและน้ำมูกนองหน้า เครื่องสำอางเข้มบนหน้าเธอได้เปรอะเปื้อนไปกับคราบน้ำตา”
“ให้ตายเถอะ! ผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้คือหลิ่วเหมยเหรอ?”
“เดิมทียังคิดว่าเธอคือคนสวย คิดไม่ถึงเลยว่าแป้งที่ผัดเอาไว้บนหน้าหนาเตอะ ตอนนี้เครื่องสำอางละลายออกหมดแล้ว จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง”
“ใช่แล้ว เมื่อกี้ฉันยังคิดว่าที่เมื่อก่อนบอกว่าเธออัปลักษณ์ มันออกจะเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้มาดูอีกที มันไม่เกินไปเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่หน้าตาอัปลักษณ์อย่างเดียว แต่จิตใจยังเลวร้ายอีกด้วย กล้าแจ้งความเท็จ แถมยังใส่ร้ายผู้อื่น”
“ฉันจะเปิดโปงผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้บนอินเทอร์เน็ต ให้ชาวเน็ตรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเลวร้ายแค่ไหน”
…
เพียงชั่วครู่ แอนตี้กลับใจเป็นแฟนคลับที่รายล้อมอยู่เมื่อครู่ กลายเป็นแฟนคลับเปลี่ยนใจเป็นแอนตี้ทันที
หลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ถ่ายภาพหลิ่วเหมยเอาไว้
หลิ่วเหมยรู้สึกร่างกายอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง เมื่อครู่ยังกอดความหวังเอาไว้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว
เครื่องสำอางถูกน้ำตาไหลเปื้อน เผยให้เห็นใบหน้าเดิม มันเป็นการโจมตีเธออย่างใหญ่หลวง