The King of War - บทที่ 2232 กระบี่เก้าสวรรค์
The king of War บทที่ 2232 กระบี่เก้าสวรรค์
“หึ!”
เห็นหยางเฉินมาหาตัวเอง ตู้อวี้ซานเปล่งเสียงเยาะเย้ยออกมา
น่าจะแค่ในพริบตาเดียว หยางเฉินก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าของตู้อวี้ซาน ทันใดนั้นกระบี่โอรสสวรรค์ในมือก็ลอยไปชี้หน้าอีกฝ่าย
“ฟาด!”
วินาทีถัดไป ก็เกิดภาพที่ทำให้ทุกๆ คนต้องตกตะลึง
เห็นเพียงตู้อวี้ซานที่ยกนิ้วออกมาสองนิ้ว ก็สามารถจะหยุดกระบี่โอรสสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย กระบี่โอรสสวรรค์ไม่แม้แต่จะสามารถขยับเข้าใกล้ได้แม้ครึ่งเซน
“นี่……”
ณ ตอนนี้ ทุกคนต่างก็พากันตะลึง!
ทุกคนอ้าปากค้างแล้วมองไปทางตู้อวี้ซาน
ดาบที่หยางเฉินฟันลงไปเมื่อครู่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็สัมผัสได้ ต่อให้เป็นคนจากสำนักเทียนไห่อย่างหลิวชิ่งหลิวชิ่งก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมา
วิชาดาบที่แข็งแกร่งขนาดนี้ กลับถูกตู้อวี้ซานสกัดด้วยเพียงแค่นิ้วสองนิ้ว
นัยน์ตาของหยางเฉินหดลง ทั้งยังแสดงสีหน้าคาดไม่ถึง
“ถ้านายทำได้แค่นี้ ฉันขอบอกเลยว่าผิดหวังมาก”
แววตาของตู้อวี้ซานเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เมื่อเขาพูดจบ ก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
“ฟาด!”
พละกำลังมหาศาลก็เข้ามาปะทะ
“แย่แล้ว! หลบเร็ว!”
เย่จางกั๋วตกใจจนหน้าซีด เขารีบร้องออกมาเสียงดัง
ดูเหมือนว่ากองยุทธการจงโจวกับทีมนักบูโดจงโจวต่างก็โดนแรงอัดลอยไปไกลคนละประมาณสิบกว่าเมตร
ก็แค่ ตอนที่พวกเขาหาที่หลบช้าเกินไป พลังมหาศาลนั้นถูกปล่อยออกไปกระทบตัวพวกเขาก่อน
“ปึงๆๆ!”
“เหล่านักรบที่แข็งแกร่งของกองยุทธการจงโจวกับทีมนักบูโดจงโจวราวกับโดนทำร้ายอย่างหนักจากการกระเด็นไปหลายสิบเมตร นักรบที่ไม่แข็งแกร่งถูกแรงกระเด็นจนเลือดออก
ต่อให้เป็นเหล่าจอมคนของสำนักเทียนไห่ในแดนนภาขั้นสี่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพละกำลังอันมหาศาล เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ขยับ
หยางเฉินที่มีดาบในมือ ตัวลอยออกไปไกล หลังจากที่ลอยกลิ้งอยู่ในอากาศ ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ลดลงสู่พื้นอย่างสวยงาม
ตำแหน่งง่ามนิ้วบนมือขวา มีเลือดสดๆ ไหลออกมา
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหนักใจที่ไม่เคยมีมาก่อน
“หืม?”
ตู้อวี้ซานเปล่งเสียงเยาะหยันในลำคอ หลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถ้าตั้งรับการโจมตีของฉันในครั้งนี้ได้ อย่างนั้นนายก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของตู้อวี้ซาน แต่ก็แค่มีสิทธิ์เท่านั้น”
หยางเฉินมาอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ในใจของเขารู้ดี ตามความสามารถที่เขามีอยู่ตอนนี้ คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตู้อวี้ซาน
อีกฝ่ายเป็นคนที่ข้ามมาจากอดีตอันไกลโพ้น อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็เคยเป็นนักบูโดแดนนภาขั้นเก้าชั้นยอด ถึงแม้วิญญาณจะแค่เข้าในสิงในร่างของตู้อวี้ซาน แต่ก็ยังคงมีพละกำลังมากมายมหาศาลพอจะทำลายล้างได้ทั้งโลกอยู่ดี
การโจมตีเมื่อครู่ หยางเฉินก็พอจะประเมินกำลังของอีกฝ่ายได้ คิดว่าคงจะอยู่ในขั้นแดนนภาขั้นห้าชั้นยอดไปแล้ว
ส่วนตัวของหยางเฉินเอง ทุกวันนี้เพิ่งอยู่ในขั้นสร้างรากฐานปราณได้ไม่นาน พูดให้ถูกต้องก็คือ เป็นช่วงกำลังสร้างรากฐานปราณ กำลังในการต่อสู้สูงกว่าแดนนภาขั้นสี่
ถ้าหากว่าเขานั้นอยากทำให้ศัตรูบาดเจ็บ จากพลังในตอนนี้ บอกเลยว่าไม่มีทางพอ
นอกเสียจาก แดนบูโดของเขานั้นพัฒนามาจนถึงขั้นสร้างรากฐานปราณ
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ บอกเลยว่าไม่มีทาง
ที่แห่งนี้ได้โดนอีกฝ่ายใช้ค่ายใหญ่ผนึกสวรรค์สร้างเกราะป้องกันเอาไว้หมดแล้ว หากค่ายกลไม่หายไป ก็คงไม่มีใครได้กลับออกไปแบบมีชีวิต
อยู่ๆ หยางเฉินก็มองไปยังตำแหน่งกองยุทธการจงโจวของอีกฝ่าย กลุ่มของนักบูโดในสนามรบ ทุกคนมีสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้ว่าตู้อวี้ซานมีกำลังมหาศาล แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเลย แต่ละคนกำหมัดแน่นและนัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
พวกเขาเป็นเพียงนักบูโดธรรมดา นักบูโดที่อยู่ในแดนนภามีเพียงแค่ไม่กี่คน
ทีมนักบูโดส่วนใหญ่อยู่ในแดนนภา ในขณะนี้พวกเขามีสีหน้ากังวล ในฐานะนักบูโด พวกเขารู้ดีว่าตู้อวี้ซานน่ากลัวขนาดไหน
กลับกันนักบูโดสำนักเทียนไห่ ใบหน้าของพวกเขากลับแสดงความกลัวออกมา ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักที่แข็งแกร่งในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณ พวกเขามีความรู้มากมาย รู้ดีว่าพลังของตู้อวี้ซานน่ากลัวขนาดไหน
“ไอ้หนุ่ม ถ้านายมีแรงแค่นี้ ไม่สู้นายมาคุกเข่าก้มหัวร้องขอชีวิตกับฉันดีกว่า ไม่แน่ว่าถ้าฉันอารมณ์ดี ฉันอาจจะให้นายติดตามฉันก็ได้”
ทันใดนั้น อยู่ๆ ตู้อวี้ซานก็เอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงติดเล่น
แววตาของหยางเฉินเย็นชาลงเรื่อยๆ ไม่มีใครตอบ แต่กลับเห็นเขานั้นหลับตาแล้วปากก็ขมุบขมิบท่องอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้น ก็สัมผัสได้ถึงพลังก้อนใหญ่ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
“หืม?”
รอยยิ้มขนในหน้าของตู้อวี้ซานหายไป แววตาของเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หยางเฉินในตอนนี้ ให้ความรู้สึกว่าอันตรายเป็นอย่างมาก
“อยู่ๆ ลมปราณในตัวของหยางเฉินก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว!”
ศิษย์คนหนึ่งของสำนักเทียนไห่ร้องออกมาด้วยความตกใจ
หลิวชิ่งพยักหน้า แล้วพูดออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง “ถ้าฉันเดาไม่ผิด เขาน่าจะใช้วิชาลับที่ทรงพลัง มาเพิ่มพลังของตัวเอง”
เขาเพิ่งจะพูดจบ นักบูโดที่มีอายุมากหน่อยก็พูดขึ้นมา “ไม่น่าจะใช่แค่วิชาลับง่ายๆ ธรรมดา ฉันสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขามีไอของพลังสายเลือดอยู่ด้วย”
“พลังสายเลือด?”
มีคนร้องออกมาด้วยความตกใจ “ในโลกบู๊โบราณกลาง มีแค่ผู้สืบทอดพลังจากโลกยุคโบราณเท่านั้น ถึงจะมีพลังสายเลือด ในรุ่นหลังถึงจะมีนักบูโดที่สามารถปลุกพลังแห่งสายเลือดได้”
“หยางเฉินเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น ทำไมถึงปลุกพลังแห่งสายเลือดได้? หรือว่า บรรพบุรุษของเขา ก็เคยเป็นนักบูโดขั้นสูงมาก่อน?”
หลิวชิ่งพูดต่อ “ก็เป็นไปได้นะ! ไม่อย่างนั้น หยางเฉินที่อายุน้อยขนาดนี้ จะบำเพ็ญเพียรได้ถึงขั้นนี้ในโลกมนุษย์ได้ยังไง?”
ได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็ต่างตกใจ
ในกลุ่มพวกเขาที่มาจากสำนักเทียนไห่ ไม่มีใครเลยที่ปลุกพลังสายเลือดได้ แต่ตอนนี้กลับมีคนที่อยู่ในโลกมนุษย์ทำได้
“ตกลงแล้วนายเป็นใครกันแน่?”
อยู่ๆ ตู้อวี้ซานก็ถามออกมา “นอกจากแกจะมีไอพลังของตี้ชุน แกยังมีไอของพลังสายเลือดที่แข็งแกร่ง พลังสายเลือดไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตี้ชุน”
เดิมทีเขาคิดว่าหยางเฉินน่าจะมาจากตี้ชุน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ ดูจากพลังสายเลือดที่แข็งแกร่ง เขาจึงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นแค่วิญญาณที่มาสิงในร่างของตู้อวี้ซาน แต่เขาก็เคยเป็นนักบูโดขั้นสูงในโลกใบนี้มาก่อน
มีเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เขารู้สึกถึงพลังสายเลือดได้ นั่นคือพลังสายเลือดของหยางเฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าเขา
ดวงตาของหยางเฉินดำทะมึน และไอน่าสะพรึงกลัวก็ดูเหมือนจะถูกปลุกขึ้นมาในตัวเขา
และไอของพลังต่อสู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า
“ปึงๆๆ!”
เห็นเพียงพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาพังทลายลงเรื่อย ๆ
“แข็งแกร่งมาก!”
นักบูโดของสำนักเทียนไห่ ต่างก็มองกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เมื่อครู่พวกเขายังเทียบพลังตัวเองกับหยางเฉิน ในตอนนี้มันกลายเป็นเพียงแค่การกระทำที่เสี่ยงตาย
ในวินาทีต่อมา ร่างของหยางเฉินค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ และหยุดเมื่ออยู่ในตำแหน่งประมาณยี่สิบเมตรจากพื้นดิน
“ตูม!”
สายฟ้าแลบไปทั่วท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ราวกับจะฉีกโลกให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
และในขณะนี้ พลังของหยางเฉินก็พุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุดเช่นกัน
ภายใต้ความประหลาดใจของทุกคน จู่ ๆ เขาก็ยกกระบี่โอรสสวรรค์ขึ้นและพูดว่า: “กระบี่โอรสสวรรค์ทั้งเก้า กระบี่แรกหักแล้ว!”