The King of War - บทที่ 1906 เรื่องค้างนานปี
เมื่อมีการเริ่มต้น คนอื่นก็เสนอความเห็นของตนตามกันออกมาทันที นอกจากตู้ป๋อกับตู้หมิงเหวี่ยนแล้ว ในผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดอีกสิบสามคน ก็มีอยู่เจ็ดเสียง เห็นด้วยกับการจัดให้มีการประลองยุทธชิงรายชื่อที่จะได้ก้าวเข้าศาลบรรพชน
ตู้ป๋อกับตู้หมิงเหวี่ยนสองพ่อลูก ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดคิด พวกเขาคิดอยู่แล้วว่าต้องมีเหตุการณ์ฉากนี้เกิดขึ้น และพวกเขาก็คิดอยากให้มีการประลองฝีมือให้เห็นกันจะจะ เพื่อเป็นการปักฐานยืนยันฐานะของหยางเฉินในสำนักบู๊
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นก็ตกลงกันตามนี้ พรุ่งนี้เช้าเก้าโมง ที่สนามบู๊จะจัดการแข่งขันชิงโควต้าในการก้าวเข้าศาลบรรพชน ยกเว้นโควตาในส่วนของข้า ที่เหลืออีกสองรายชื่อ ให้ตัดสินด้วยการประลองยุทธ”
สายตาตู้ป๋อกวาดมองไปทั้งพื้นที่ พูดเสียงเย็นเฉียบว่า “ทำตามนี้ ทุกท่านใครมีความเห็นอื่นอีกไหม?”
เห็นตู้ป๋อทำท่าเหมือนจะโกรธ บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิสำนักบู๊ ต่างเกิดความห่วงกังวลขึ้นมา รีบแสดงตัวว่าไม่มีความเห็นต่าง
“เลิกประชุม!”
ตู้ป๋อพูดออกไปอย่างดูฉุนเฉียว พูดจบก็หันกลับหลังเดินจากไป ตู้หมิงเหวี่ยนก็เดินตามไปด้วย
รอจนพ่อลูกทั้งคู่ออกจากไปแล้ว ที่เหลือสิบสามผู้ทรงคุณวุฒิสำนักบู๊ ต่างเห็นความกังวลอยู่เต็มบนใบหน้า
“ดูท่าทาง ท่านเจ้าสำนักให้ความสำคัญกับหนุ่มน้อยคนนั้นเอามาก ๆ พวกเราทำอย่างนี้ จะเป็นการเกินไปไหม?”
ก็มีคนยืนขึ้นมา หน้าตารู้สึกมีกังวลอยู่
“แค่นี้จะมีอะไรเกินไป?การก้าวเข้าไปในศาลบรรพชน เป็นความใฝ่ฝันของทุกคนในสำนักบู๊ ท่านเจ้าสำนักก็ได้อยู่ในมือแล้วหนึ่งโควตา ที่เหลืออีกสองโควตา ก็สมควรอยู่แล้วที่ต้องชิงกันด้วยวิธีประลองยุทธ”
“ถูกต้อง ควรจะต้องผ่านการประลองฝีมือเพื่อยืนยันความเหมาะสมที่จะได้โควตาในการก้าวเข้าศาลบรรพชน ข้าละไม่ขอเชื่อเลย เด็กหนุ่มอายุแค่เพียงยี่สิบแปด จะมีพลังฝีมือถล่มผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดให้แพ้ลงไปได้”
“ทุกท่านก็อย่ามัวเก็บอมพะนำกันไว้เลย จะต้องคัดสรรนักบูโดที่เก่งที่สุดมาเข้าร่วมประลองยุทธในเช้าพรุ่งนี้”
……
บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิสำนักบู๊ วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา
ที่อีกด้านหนึ่ง ตู้ป๋อกับตู้หมิงเหวี่ยนเมื่อออกจากห้องประชุมแล้ว ตู้หมิงเหวี่ยนพูดด้วยอารมณ์โมโห “พวกตาแก่บัดซบพวกนี้ ดูยิ่งวันยิ่งจะถดถอยกันไปแล้ว ทำไมเป็นคนหนุ่มแล้วก็จะมีพลังฝีมือแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดไม่ได้?”
“ด้วยวิสัยทัศน์ที่สั้นและแคบแบบนี้ แดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดก็คือที่สุดของพวกเขาแล้ว”
ตู้ป๋อก็เอ่ยขึ้นมาว่า “วางใจให้สบายไว้เถอะ การประลองยุทธพรุ่งนี้ ก็แค่ทำให้ดูเป็นพิธีการไปงั้นแหละ พลังฝีมือระดับหยางเฉิน ต่อให้ผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอด ก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของหยางเฉินได้ การประลองยุทธพรุ่งนี้ จินฮุยที่ว่าพลังฝีมือสูงที่สุด ก็แค่เพียงแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลาง แต่พลังฝีมือจริงที่จะเทียบกับหยางเฉินนั้น ห่างกันไปไกล ส่วนคนอื่น ๆ ยิ่งเป็นคู่ต่อสู้ของหยางเฉินไม่ได้เลย”
“ก็พอดี พวกเราจะได้อาศัยการประลองยุทธในครั้งนี้ ให้ไอ้พวกเหล่าตาแก่ทั้งหลายรู้เสียบ้าง ว่าพรสวรรค์บูโดของหยางเฉินเก่งกาจพิสดารขนาดไหน ถึงเวลาตอนที่ข้ายกตำแหน่งเจ้าสำนักให้หยางเฉิน พวกเขาจะได้ยอมรับได้”
ตู้หมิงเหวี่ยนผงกหัว “ใช่ต้องให้พวกเขารับรู้พลังฝีมือจริงของหยางเฉิน”
ขณะนี้ บริเวณที่หยางเฉินพัก
ตู้จ้งเข้ามาหาเขา นำเรื่องการจัดประลองชิงโควตาการก้าวเข้าศาลบรรพชนในเก้าโมงเช้าพรุ่งนี้ บอกให้กับหยางเฉิน
หยางเฉินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ในเมื่อต้องผ่านการประลองยืนยันตัวในการรับโควตาเพื่อก้าวเข้าศาลบรรพชน งั้นผมก็สมัครไปก็เท่านั้น”
เขาไม่ได้ขัดเคืองใจแต่อย่างใดกับการที่ตู้ป๋อกับตู้หมิงเหวี่ยนรับปากว่าจะให้เขาก้าวเข้าศาลบรรพชน แต่ตอนนี้กลับต้องให้ผ่านการประลองเพื่อยืนยันคุณสมบัติในการรับโควตาในการก้าวเข้าศาลบรรพชน
“ความจริง ตู้ป๋อก็ทำตัวไม่ได้ง่าย ถึงแม้เขาเป็นเจ้าสำนัก แต่สำนักบู๊ใหญ่มาก กลุ่มพวกมากมาย ไม่สามารถว่าจะให้ทุกกลุ่มพวกล้วนจะต้องฟังคำสั่งเขาทั้งหมด”
ทั้งประโยคคือที่ตู้จ้งเอ่ยพูดชี้แจงมา
หยางเฉินหาเราะ มองไปที่ตู้จ้งพูดว่า “ความจริง เรื่องที่เจ้าโกรธแค้นท่านลุงตู้ น่าจะหายไปนานแล้วนะ?”
ที่ตู้จ้งมาอธิบายชี้แจงเมื่อตะกี้นี้ เห็นชัดได้ว่าเป็นการอธิบายชี้แจงเรื่องแทนตู้ป๋อ กลัวหยางเฉินจะมองตู้ป๋อในแง่ของคนตระบัดสัตย์
ตู้จ้งแค่นหัวเราะเศร้า ๆ แล้วผงกหัว “เรื่องในปีนั้น มันผ่านไปตั้งหลายปีไปแล้ว มันได้ผ่านไปนานแล้ว ความแค้นที่ข้ามีกับเขา มันสูญสลายหายไปนานแล้ว”
หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองตู้จ้งด้วยใบหน้าที่เรียบสงบ
รอยต่อระหว่างตู้จ้งกับตู้ป๋อจะต้องมีบุญคุณความแค้นที่ลึกซึ้งมาก ถึงขนาดทำให้ตู้จ้งทิ้งจากสำนักบู๊ไปถึงหลายสิบปีไม่ยอมกลับ คิดไม่ถึงว่า การกลับมาเป็นครั้งแรกในหลายสิบปีนี้ กลับเพื่อเป็นการช่วยหายาเม็ดคืนชีพให้เขา
ตู้จ้งลุกยืนขึ้น เดินไปที่ข้างช่องหน้าต่าง ตาที่ลุกวาวมองออกไปนอกช่องหน้าต่าง นานไปครู่ใหญ่ จึงค่อยเอื้อนเอ่ยพูดออกมาว่า “ที่จริง เหตุการณ์ที่เกิดในปีนั้นโทษเขาไม่ได้ ข้าคิดมาจากหลายด้านแล้ว จริง ๆ ถ้าตอนนั้นเป็นข้ายืนอยู่ในจุดที่เขายืน ก็จะต้องเลือกทำอย่างที่เขาทำ”
“สามสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนักใหม่ ๆ พอดีเป็นปีที่เปิดศาลบรรพชนที่ทำกันประจำทุกห้าปีต่อครั้ง และในเวลานั้นเอง คนรักของข้าถูกจับเป็นตัวประกัน ฝ่ายตรงข้ามมีเงื่อนไขว่า ให้พวกเรายกเลิกพิธีการก้าวเข้าศาลบรรพชน ถ้าพวกเราปฏิเสธ พวกมันก็จะฆ่าภรรยาของข้าทิ้ง”
“และในตอนนั้น เป็นช่วงรอยต่อที่สำคัญที่สุดของสำนักบู๊ ผู้แข็งแกร่งชุดสามนายที่จะก้าวเข้าในศาลบรรพชนนั้น มีคนหนึ่งที่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นปลาย เขาชื่อฉีเทียน ประเด็นอยู่ที่ว่าเขายังหนุ่มมาก อายุเพิ่งจะเต็มสี่สิบ”
“โอกาสที่เขาจะได้รับถ่ายทอดจากเทพบู๊สูงมาก หากเขาได้รู้แจ้งถึงพลังเทพบู๊ อนาคตในภายภาคหน้าของเขายาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด จะเป็นบูโดอัจฉริยะอันดับหนึ่งในร้อยปีของสำนักบู๊”
“และการกำหนดเปิดศาลบรรพชนแต่ละครั้ง เป็นหมายกำหนดตายตัว ถ้าผิดพลาดไป การจะก้าวเข้าในศาลบรรพชนอีก ก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เลย”
“หากว่ายกเลิกงานก้าวเข้าศาลบรรพชนนี้กันจริง ๆ การที่ฉีเทียนคิดจะก้าวเข้าศาลบรรพชน ก็ต้องรอไปอีกห้าปี และการรอไปอีกห้าปีนั้น ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง สำนักบู๊ก็กำลังอยู่ในสภาวะที่ลำบากมาก กำลังต้องการให้มีผู้รับการสืบทอดจากเทพบู๊เกิดขึ้น”
“ที่เห็นอยู่ก็คือคนผู้นั้นกำลังจะเกิดขึ้น แต่ ในช่วงเวลานี้เอง ภรรยาของข้าก็ถูกจับตัวไป พวกเขาขอให้พวกเราสำนักบู๊ยกเลิกพิธีการก้าวเข้าศาลบรรพชนในครั้งนี้ มิฉะนั้น ฝ่ายนั้นก็จะสังหารเมียข้าทิ้ง”
“ข้าได้ขอร้องตู้ป๋อ ขอร้องให้เขายกเลิกการเปิดศาลบรรพชน เพื่อการนี้ ข้ายินยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามีให้ ยิ่งกว่านั้นก็ได้ไปพบกับฉีเทียน เขาก็ยอมรับปากข้า เขารอได้กับอีกห้าปี แต่ว่า ก็ยังถูกปฏิเสธจากตู้ป๋อ”
พูดมาถึงตอนนี้ ตู้จ้งได้หยุดลงอย่างทันที แต่ตาทั้งคู่ของเขา ก็เริ่มแดงขึ้นมา
ถึงแม้เขาไม่ได้พูดต่อ แต่หยางเฉินก็เดาได้เลยกับเรื่องในตอนจบ
และก็เป็นตามนั้น เมื่อตู้จ้งอึ้งเงียบไปสักครู่ใหญ่ จึงพูดต่อไปว่า “ท้ายสุด ตู้ป๋อเปิดศาลบรรพชนตามกำหนดเวลา และพวกฝ่ายนั้นพอรู้ว่าศาลบรรพชนสำนักบู๊เปิด…..”
พูดมาถึงตรงนี้ เขากำหมัดแน่นขึ้นมาทั้งคู่ ใบหน้าดูเหี้ยมเกรียม กัดฟันแน่นพูดว่า “พวกมันทำเรื่องบัดสีหยามหมิ่นเมียข้า แล้วยังเอารูปภาพที่มันทำกับเมียข้า ลงประจานขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์”
“สุดท้าย เมียข้าทนกับความหยามหมิ่นไม่ได้ จบชีวิตแสนอัปยศที่รับอยู่นั้นไป ด้วยแพรไหมเส้นหนึ่ง”
ตู้จ้งมองไปที่หยางเฉิน พูดตาแดง ๆ ว่า “แล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ออกจากสำนักบู๊ไป และสาบานไว้ว่า หากยังไม่ได้แก้แค้นให้กับเมียข้า ชาตินี้จะไม่เหยียบเข้ามาในสำนักบู๊นี้อีก”