The King of War - บทที่ 1901 ใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้ว
แต่ว่า หยางเฉินไม่รู้จะคิดยังไงให้เข้าใจ สำนักบู๊ใหญ่โตขนาดนี้ สมาพันธ์นักบูโดเล็ก ๆ นอกจากตัวเขานี้ ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าอีกเลย
พูดได้ว่า สำนักบู๊แค่เพียงส่งผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดไปสองนาย ก็ถล่มสมาพันธ์บูโดราบคาบไปแล้ว
ส่วนหยางเฉินก็ได้สัมผัสเองแล้ว ในสำนักบู๊ ก็มีผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดอยู่ห้านาย นี้ยังไม่รวมผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดที่ไม่อยู่ในสำนักบู๊ในเวลานี้อีก
ในความคาดคิดของหยางเฉิน สำนักบู๊อย่างน้อยต้องมีผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดถึงสิบนาย
ระดับอิทธิพลบูโดยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ในกลุ่มอิทธิพลที่ต่ำกว่านักบู๊โบราณ จัดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ทำไมยังจะไปละโมบกับสมาพันธ์บูโดกระจอกกระจอกในโลกสามัญด้วย?
หยางเฉินขรึมเงียบใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่ตู้ป๋อ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผมยอมรับ สำนักบู๊มีกองกำลังสูงมาก ถ้าจะจัดการกับสมาพันธ์บูโด เพียงใช้ผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดแค่สองนาย ก็ถล่มสมาพันธ์บูโดราบคาบไปอย่างง่ายดายแล้ว”
“แต่ว่า สมาพันธ์บูโดเป็นกลุ่มนักบูโดโลกสามัญ ช่วยกันจัดตั้งเป็นองค์กรพลังประชาธิปไตย ถึงแม้ผมจะเป็นหัวหน้าในวาระปัจจุบัน ในกรณีเมื่อมีเรื่องระดับใหญ่ จะไม่มีการปล่อยให้สมาพันธ์บูโดไปเกาะติดให้เสียงเดียวตัดสินได้”
“หวังว่าคุณลุงจะให้ความกรุณา เปิดทางรอดให้สหพันธ์บูโดด้วย!”
การวางตัวของหยางเฉินเป็นไปอย่างสุภาพอ่อนน้อม เวลานี้เขารู้สึกลำบากใจอย่างหนักมาก ถึง ณ ขณะนี้ ยังไม่รู้ได้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของตู้จ้งเลย และหลังจากที่ได้รับรู้ถึงความทรงพลังของสำนักบู๊แล้ว เขาไม่มีปัญญาปลุกเร้าความคิดที่จะสู้กับสำนักบู๊เลยแม้แต่น้อยนิด
ไม่ใช่เพราะเขาขี้ขลาด แต่เป็นเพราะว่าสำนักบู๊แข็งแกร่งเกินจริง ๆ เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่พบเห็นมา ไม่นับกลุ่มบู๊โบราณ
สมาพันธ์นักบูโดนั้นไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปสู้กับสำนักบู๊ได้เลย เขาเองหยางเฉินนี่ก็ไม่มีคุณสมบัติพอ แค่ผู้เฒ่าที่ยืนข้างเขาท่านนี้ ก็ยังสับฆ่าเขาทิ้งได้อย่างง่ายดาย
ช่วงทิ้งห่างขนาดนี้ ยังจะไปสู้รบอะไรกับสำนักบู๊?
นอกเสียแต่ว่า เขาปัญญาอ่อน
แน่นอน ถ้าตู้ป๋อจะบีบบังคับเอาสมาพันธ์บูโดผนวกเข้ามาอยู่ในสำนักบู๊ เขาก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้ คงต้องกล้ำกลืนไว้ก่อน รอจนมีกำลังแข็งแกร่งพอ สามารถสยบสำนักบู๊ได้ ถึงเวลานั้นจึงค่อยปลดสลักสมาพันธ์ให้หลุดจากสำนักบู๊
ตู้ป๋อพูดในทันใดนั้นอีกว่า “ถ้าหากว่า เป็นว่าข้าจะให้เจ้ามารับตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักบู๊หละ?”
หยางเฉินงงยืนเซ่ออยู่กับที่ เขาถึงกับคิดสงสัย ตู้ป๋อแก่แล้วเลอะเลือนหรือเปล่า กำลังพูดเลอะเทอะ?
แต่ พอเขาสังเกตเห็น ตู้หมิงเหวี่ยนสีหน้าเรียบเฉย แววตาไม่มีส่อให้เห็นความตื่นใจใด ๆ จึงรู้ได้โดยจิตสำนึกเลยว่า ตู้ป๋อไม่ได้พูดเล่นกับเขา แต่เป็นเรื่องจริงจัง
ในสำนักบู๊ ตู้หมิงเหวี่ยนจึงใช่ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักที่ถูกกำหนดไว้เป็นทางการแล้ว ตอนนี้เจ้าสำนักปัจจุบัน อยู่ต่อหน้าเขาในขณะนี้ คิดจะเอาตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ยกไปให้คนอื่น ตู้หมิงเหวี่ยนยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ นี่มันเป็นเรื่องไม่ปกติเป็นอย่างมาก
หยางเฉินคิดขึ้นมาในทันใดนั้นว่า ตั้งแต่เขาย่างก้าวเข้ามาในสำนักบู๊ ตู้หมิงเหวี่ยนก็ออกอาการไม่เป็นมิตรกับเขาอย่างมาก ถึงขนาดใคร่อยากจะประลองยุทธกับเขา
จวบจนหยางเฉินรับชัยชนะมาอย่างชนิดว่าโชคช่วย ความเป็นปฏิปักษ์ของตู้หมิงเหวี่ยนต่อเขาจึงได้หายเกลี้ยงไป กลับกลายเป็นความชื่นชม
อีกเรื่องหนึ่ง ตู้จ้งก็แซ่ตู้ อายุก็ไล่เลี่ยกับตู้ป๋อ ชื่อก็เข้าคู่ในความหมายกัน ป๋อกับจ้งสองตัวนี้ ก็บ่งบอกชัดในความหมายต่าง ๆ แล้ว
ประเด็นที่สำคัญจุดหนึ่ง ตู้ป๋อกับตู้จ้งมีหน้าตาที่คล้ายกันมาก แทบจะว่าแกะมาจากพิมพ์เดียวกันก็ได้
เพียงแต่ว่า ระดับขั้นบูโดของทั้งสอง ต่างกันไกลมาก
นี่เป็นประเด็นที่หยางเฉินไม่สงสัยไม่ได้ว่า ตู้ป๋อกับตู้จ้งเป็นพี่น้องในสายเลือดเดียวกัน
หลังจากที่เขาอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัสจนสลบไสลไปนั้น ตู้จ้งสู้อุตส่าห์จะไปหานำเอายาคืนชีพไปช่วยเขา และขณะที่จะออกไปนั้น ยังมีท่าทีมั่นใจเต็มที่ว่าจะหานำกลับไปได้
แต่ทว่า หลังจากที่เขามาถึงสำนักบู๊แล้ว สำนักบู๊กลับปล่อยข่าวออกไป บอกว่าตู้จ้งถูกสำนักบู๊แห่งภูเขามารควบคุมตัวไว้ ทั้งยังระบุว่าต้องให้หยางเฉินไปรับด้วยตัวเองคนเดียวที่สำนักบู๊
เมื่อสานเรื่องทั้งหมดมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกันแล้ว หยางเฉินรู้ด้วยจิตใต้สำนึกในทันทีว่า ตู้จ้งไม่มีอันตรายกับชีวิตแต่อย่างใด เรื่องทั้งหมดอยู่ในการกำกับของตู้ป๋อ
เป้าหมายที่แท้ของตู้ป๋อก็คือ ต้องการจะพบตัวเขา
ถึงแม้ว่าคิดได้ผ่านตลอดทั้งเรื่องราวแล้ว แต่ในความรู้สึกของหยางเฉินก็ยังเห็นว่ามันไม่สมจริงเป็นอย่างมาก ตู้ป๋อคิดจะให้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักบู๊จริงหรือ?
ตู้หมิงเหวี่ยนเป็นถึงลูกในไส้ของเขา เป็นจริงไปได้หรือที่เขาจะยอมเปลี่ยนผู้สืบทอดสำนักบู๊ในตระกูล?
“พี่หยาง นี่เป็นอีกหนึ่งโอกาสของเจ้านะ ความยิ่งใหญ่ของสำนักบู๊ เจ้าก็เห็นแล้ว ถ้าเจ้าได้เป็นเจ้าสำนัก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าก็มีความหมายในฐานะที่แท้จริง มีกองกำลังปกป้องตัวเองได้”
ตู้หมิงเหวี่ยนเริ่มพูดในตอนนี้ สีหน้าเป็นจริงเป็นจังว่า “ไม่ปิดบังกับพี่หยางละ พวกเรามีการสืบเรื่องราวของเจ้ามาก่อนแล้ว รู้เรื่องเข้าใจในสภาพทุกข์ลำบากของเจ้าทั้งหมด เพื่อปกป้องคนในครอบครัว ถึงกับต้องเอาคนทั้งครอบครัวไปหลบซ่อน”
“แต่ว่า เจ้าคงไม่สามารถพากันหลบซ่อนอยู่ตลอดมัง?สำนักบู๊ถึงแม้ยังมีอิทธิพลเทียบไม่ได้กับอิทธิพลตระกูลบู๊โบราณ แต่ก็ไม่ได้ห่างกันมากมาย อย่างน้อยในโลกสามัญ อิทธิพลก็จัดอยู่ในระดับสุดยอด ถ้าหากเจ้าขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าสำนักของสำนักบู๊ แล้วยังมีใครจะกล้ามาทำร้ายครอบครัวเจ้าอีก?”
“พี่หยาง ข้ามีความตั้งใจหวังอย่างมากจริง ๆ ให้เจ้าได้รับเป็นผู้สืบทอดเจ้าสำนักของสำนักบู๊นี้”
ตู้ป๋อไม่ได้พูดอะไร มีแต่ส่อให้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยการรอด้วยความหวัง ชัดเจนว่าความคิดไปในความหมายเดียวกันกับตู้หมิงเหวี่ยน
“เรื่องมงคล” ที่มาอย่างฉุกละหุกนี้ ทำเอาหยางเฉินดูเป็นเรื่องไม่ใช่ความจริงในความรู้สึก
ก็เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขายังมองสำนักบู๊เป็นศัตรูอยู่เลย อีกทั้งยังสู้กันอย่างดุเดือดกับตู้หมิงเหวี่ยน ถ้าไม่ได้หวาดหวั่นกับสำนักบู๊ ด้วยตู้จ้งยังไม่ได้ถูกช่วยออกมา เขาเป็นไปได้ว่าฆ่าตู้หมิงเหวี่ยนตายไปแล้วจริง ๆ
สุดท้ายในตอนนี้ เขากับตู้หมิงเหวี่ยนกลับมาไล่ลำดับความกันฉันพี่น้อง แถมยังจะยกให้นั่งตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าสำนักแห่งสำนักบู๊นี้
หยางเฉินขรึมเงียบลง ตู้ป๋อกับตู้หมิงเหวี่ยนก็ไม่ได้พูดต่ออีก ทั้งสองต่างมองหยางเฉินด้วยสีหน้ารอคอย
นาทีนี้ หยางเฉิงคิดไปถึงหลายต่อหลายเรื่อง และก็เข้าใจแจ่มชัดถึงตัวเขาหลังจากยอมรับเป็นผู้สืบทอดเจ้าสำนักแห่งสำนักบู๊ ว่าจะมีการนำพาสิ่งดี ๆ มาให้เขามากมายขนาดไหน
เป็นต้นอย่างที่ตู้หมิงเหวี่ยนพูด เมื่อเขารับเป็นเจ้าสำนักแล้ว ต่อแต่นี้ไปจะมีใครกล้ามาบีบบังคับรังควานครอบครัวของเขาได้อีก?
ในโลกสามัญ ผู้แข็งแกร่งแดนนภาจะไม่ได้รับอณุญาตให้ลงมือกับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับต่ำกว่าแดนนภา ในสำนักบู๊มีผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าขั้นยอดถึงสิบกว่านาย อยู่ในนี้ จะยังมีใครมาทำร้ายคนในครอบครัวเขาได้?
ถึงเวลานั้น พวกเขาทั้งครอบครัว จะได้อยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุขด้วยกันจริง ๆ
แต่ทว่า เขาก็เข้าใจได้ชัดเจน ไม่มีเรื่องที่ว่าฟ้าโยนขนมพายมาให้แน่ ๆ ตู้ป๋อกับตู้หมิงเหวี่ยนคิดจะให้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนักสำนักบู๊ คงต้องมีเหตุแน่นอน
ผ่านไปครู่ใหญ่ หยางเฉินจึงได้พูดขึ้นว่า “เพื่ออะไร?”
สั้น ๆ แต่ตู้ป๋อกับตู้หมิงเหวี่ยนต่างเข้าใจในความหมายของเขา
พ่อลูกหันมองหน้ากัน ตู้หมิงเหวี่ยนก็พูดขึ้นว่า “คุณพ่อ ให้ผมพูดดีกว่านะ!”
ตู้ป๋อผงกหัวเล็กน้อย ตู้หมิงเหวี่ยนก็ได้แสดงออกด้วยสีหน้าหมองเศร้า ตาเริ่มออกแดงพูดว่า “พูดอย่างไม่โกหก สำนักบู๊ ณ ปัจจุบันนี้ อยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อข้ายังอยู่ สำนักบู๊คงถูกกลุ่มอิทธิพลอื่นในภูเขามารนี้รุมทึ้งแบ่งเค้กกันไปแล้ว”
หยางเฉินให้รู้สึกสงสัยขึ้นมา เอ่ยปากขึ้นถาม “ในโลกสามัญ ผู้แข็งแกร่งแดนนภาถูกห้ามไม่ให้ลงมือทำอะไรกับผู้แข็งแกร่งในแดนต่ำกว่าแดนนภา พลังฝีมือท่านลุงน่าจะใกล้ถึงแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นมาก ๆ แล้วใช่ไหม?”
“ท่านลุงเก่งกาจขนาดนี้ กลุ่มอิทธิพลอื่นในภูเขามาร ถ้าคิดจะลงมือทำอะไรกับสำนักบู๊ ก็คงต้องสูญเสียกันหนักมากนะ?”
นัยน์ตาทั้งคู่ของตู้หมิงเหวี่ยนยิ่งแดงมากขึ้น มองหน้าพ่อของเขาแวบหนึ่ง เอ่ยปากพูดต่อ “พ่อข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก นอกเสียจากสามารถทะลวงขึ้นไปแดนนภาได้ มิฉะนั้นคงอีกไม่นานนี้ วาระสุดท้ายก็จะถึงแล้ว สำนักบู๊ถ้าไม่มีคุณพ่อ ก็จะต้องกลายเป็นรูปการณ์ของอดีตในไม่ช้า”