The King of War - บทที่ 1257 ไปหาปะป๊า
ในขณะเดียวกัน ราชวงศ์ต้วนที่ไกลออกไป ภายในราชวัง
“เสด็จพ่อ คงจะอีกสักสี่สิบนาที อู่หยู่หลานก็จะถึงหนิงโจวแล้วครับ”
ต้วนหวูเหิง มองทางกษัตริย์ต้วนที่อยู่บนบัลลังก์ เอ่ยปากพูดขึ้น
ตั้งแต่กษัตริย์ต้วนบอกการเดินทางของอู่หยู่หลานกับต้วนหวูหยาไป ก็นั่งอยู่บนบัลลังก์มาตลอด มีลักษณะท่าทางจิตใจวุ่นวาย
จนกระทั่งต้วนหวูเหิง พูดจา กษัตริย์ต้วนถึงมีการตอบสนอง เขาลุกขึ้นเดินมาด้านนอกวังกษัตริย์ต้วนแล้ว เอามือไพล่หลังไว้ ดวงตามองทางทิศทางของหนิงโจว
“ไม่รู้ว่า ฉันทำแบบนี้ สรุปว่าดีหรือเลว”
ทันใดนั้นกษัตริย์ต้วนพูดจาแบบหน้าตาซับซ้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอู่หยู่หลานเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุดในชีวิตนี้ ถึงแม้ปัจจุบันทั้งสองแยกกันมาสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ว่าไม่ได้ทำให้ความรักที่เขามีต่ออู่หยู่หลานลดลงสักนิด
ขณะเดียวกัน วันนี้ตอนที่เจออู่หยู่หลาน กษัตริย์ต้วนก็สามารถสัมผัสได้ว่า ความรู้สึกที่อู่หยู่หลานมีต่อเขา ไม่ได้เลือนหายเช่นกัน
มิฉะนั้น คงไม่เพียงแค่ทำเขาบาดเจ็บหนักแล้วจากไปเท่านี้ แต่จะทำทั้งราชวงศ์ต้วนเสียหายย่อยยับจนหมด
อู่หยู่หลานนั้นแกร่งมาก แต่เขากลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง การค้นหาเบื้องหลังของหยางเฉินไม่เจอ ถึงเป็นสิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด
ถ้าหากเป็นเหมือนแบบที่เขาคาดเดาไว้นั้น หยางเฉินมีเบื้องหลังเป็นตระกูลบู๊โบราณ ด้วยพรสวรรค์วิถีบู๊ของหยางเฉิน คงจะมีผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์แอบคุ้มครองแน่นอน
เพื่อไม่ให้หยางเฉินพบเข้า ความสามารถของฝ่ายตรงข้าม มีเพียงอยู่เหนือกว่าหยางเฉินไปไกล
เดิมหยางเฉินคือผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่ง ถ้ามีคนแอบคอยคุ้มครอง แถมยังไม่ให้เขาพบเจออีก งั้นความสามารถจะแกร่งมากแค่ไหน?
ถ้าเกิดอู่หยู่หลานอยากฆ่าหยางเฉิน จะต้องดึงดูดผู้แข็งแกร่งที่แอบซ่อนตัวคนนี้ออกมาแน่
เป็นเขาที่บอกตารางเดินทางของอู่หยู่หลานให้หยางเฉินรู้ ถ้ามีผู้แข็งแกร่งของตระกูลบู๊โบราณฆ่าอู่หยู่หลานแล้ว งั้นก็เท่ากับว่าเขาเป็นตัวการก่อกรรมทำเข็ญ
พอคิดมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกผิดในใจกษัตริย์ต้วนเข้มข้นกว่าเดิม
“เสด็จพ่อ ท่านไม่ต้องกังวลแล้วครับ หยางเฉินก็ดี อู่หยู่หลานก็ด้วย ล้วนแกร่งกันมาก อยากจะให้พวกเขาตาย ย่อมไม่ง่ายดาย”
ต้วนหวูเหิง เอ่ยปากพูดปลอบใจ
กษัตริย์ต้วนไม่ได้พูดจา ความกังวลในแววตาลึก ยังคงเข้มมาก
ตอนที่ในใจกษัตริย์ต้วนเต็มไปด้วยความกังวล ต้วนหวูหยาที่อยู่บนเครื่องบินส่วนตัว ในใจกังวลไร้ที่เปรียบเช่นกัน
ฉินยีกับเสี้ยวเสี้ยวตื่นเต้นมากมาตลอดทาง บนเครื่องบินเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะ เพียงแค่ฉินซีคนเดียวที่มักจะมีท่าทางจิตใจไม่สงบ มองไปยังห้องพักผ่อนด้านในสุดอยู่ไม่ขาดสาย
“พี่ซี พี่อยากกินอะไรหน่อยไหม?”
ต้วนหยู่เยียนยิ้มอยู่มองทางฉินซีแล้วถามขึ้น
ฉินซีส่ายหน้าเล็กน้อย “ฉันกินไม่ลง ขอบใจนะ!”
“คุณฉิน คุณน่าจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวเป็นครั้งแรกสินะครับ? ประหม่าอยู่บ้างหรือเปล่า?”
ต้วนหวูหยาเอ่ยปากพูดว่า “ความจริง ตอนที่ผมนั่งเครื่องบินส่วนตัวครั้งแรก ก็ไม่ชินมาก แต่ว่าพอมาคิดดูดีๆ ความจริงก็เหมือนนั่งเครื่องทั่วไป ไม่มีอะไรต่างกันมาก ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว ก็คือเครื่องบินส่วนตัวกว้างขวางมากกว่า หรูหรามากกว่า”
เขากลัวว่าในเวลานี้ ฉินซีจะวิ่งไปหาหยางเฉินที่ห้องพักผ่อนกะทันหัน จึงหาหัวข้อสนทนาคุยกับฉินซีก่อน
ฉินซีฝืนยิ้มให้หน่อย ยังคงท่าทางกลัดกลุ้มใจ
“หม่าม้า ทำไมปะป๊าถึงไม่มาเล่นเป็นเพื่อนเสี้ยวเสี้ยวคะ?”
ทันใดนั้น เสี้ยวเสี้ยวเอ่ยปากถาม ยังมองทางห้องพักผ่อนแวบหนึ่งด้วย
วินาทีนี้ ต้วนหวูหยากับต้วนหยู่เยียนทั้งสองคน ล้วนสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ ต่างประหม่าขึ้นมาแล้ว
ฉินซีสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากขึ้นเครื่องบนลำนี้มา เธอก็จิตใจไม่สงบมาตลอด มักจะรู้สึกว่าหยางเฉินมีเรื่องอะไรปิดบังตนเอง
โดยเฉพาะก่อนหน้าจะขึ้นเครื่องบิน หยางเฉินบอกอยากไปพักผ่อน ตอนที่มองทางเธอกับเสี้ยวเสี้ยว ในสายตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
ปัจจุบันได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้มา เธอเหมือนหาข้ออ้างให้ตนเองไปรบกวนหยางเฉินที่ห้องพักผ่อนแล้ว
“งั้นพวกเราไปหาปะป๊า ดีไหมจ๊ะ?”
ฉินซีเอ่ยปากพูดขึ้น
“ดีค่ะ!”
บนใบหน้าของเสี้ยวเสี้ยว เต็มไปด้วยความดีใจ
หล่อนไม่ได้เจอพ่อมาหลายวันแล้ว ไม่ง่ายที่จะได้เจอพ่อสักที ตอนนี้จึงอยากให้พ่อมาเล่นเป็นเพื่อนตนเอง
“พี่ซี!”
ต้วนหยู่เยียนรีบดึงมือของฉินซีเอาไว้ทันที
ฉินซีตะลึงนิดหนึ่ง มองต้วนหยู่เยียนอยู่ ท่าทางสงสัย “หยู่เยียน นี่คือเธอ?”
“พี่ซี หลายวันนี้พี่หยางเหนื่อยเกินไปจริงๆ ให้เขาพักผ่อนอีกสักหน่อยนะคะ!”
ต้วนหยู่เยียนพยายามพูดอย่างสงบนิ่ง
หล่อนไม่เคยโกหกใครมาก่อน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก เวลานี้สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเต็มที่
โดยเฉพาะคือ ฉินซียังจ้องหล่อนเอาไว้ตลอด หล่อนมีภาพลวงตาว่าถูกมองออกแล้ว
“เสี่ยวซี ที่หยู่เยียนพูดมาก็ถูก หยางเฉินเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ให้เขาพักผ่อนอีกหน่อย รอลงเครื่องแล้ว พวกเราค่อยปลุกเขาอีกที”
ฉินต้าหย่งก็เอ่ยปากบอกเช่นกัน
ฉินยีทำหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ มองฉินซีอยู่พูดว่า “พี่ ฉันว่าพี่เอาแต่ท่าทางกลัดกลุ้มมาตลอด ความจริงคือพี่ไม่ได้เจอพี่เขยมาหลายวัน เลยคิดถึงพี่เขยแล้วมั้ง?”
ชั่วขณะนั้นฉินซีหน้าแดงระเรื่อ มองทิศทางของห้องพักผ่อนอย่างลึกซึ้ง
ต้วนหวูหยากับต้วนหยู่เยียนที่รู้ความจริง ล้วนมองฉินซีแบบท่าทางตึงเครียด ถ้าเกิดฉินซียืนหยัดอยากไปหาหยางเฉิน งั้นควรจะทำอย่างไรดี?
“หยู่เยียน เหมือนว่าเธอจะกลัวฉันไปหาหยางเฉินที่ห้องพักผ่อนมาก?”
ทันใดนั้นฉินซีมองทางต้วนหยู่เยียน ดวงตาทั้งสองจ้องดวงตาของต้วนหยู่เยียนไม่กะพริบ
เห็นลักษณะที่หน้าตาจริงจังของฉินซี ในใจต้วนหยู่เยียนแอบพูดว่าแย่แล้ว
ต้วนหยู่เยียนที่พูดโกหกเป็นครั้งแรก รับการที่ฉินซีจ้องมองหล่อนอยู่ได้อย่างไร? ทันใดนั้น หน้าลนลานเต็มที่ หลบสายตาหนี
“เสี้ยวเสี้ยว พวกเราไปหาปะป๊ากัน!”
ความรู้สึกที่วุ่นวายในใจของฉินซียิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้น ดึงเสี้ยวเสี้ยวไว้ เดินไปทางห้องพักผ่อนแล้ว
“คุณฉิน คุณเข้าไปไม่ได้!”
ต้วนหวูหยาหูตาว่องไว รีบขวางหน้าประตูห้องพักผ่อนทันที ทำหน้าแน่วแน่
คุ้มครองคนในครอบครัวของหยางเฉิน นี่คือภารกิจที่หยางเฉินมอบให้เขา ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าให้ฉินซีรู้เข้าว่า หยางเฉินไม่อยู่บนเครื่องบิน ใครจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
เขาเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรัก รู้ดีว่าความรู้สึกระหว่างฉินซีกับหยางเฉินลึกซึ้งมากแค่ไหน
ถ้าฉินซีเสียการควบคุม ผลลัพธ์จะร้ายแรงมาก
“คุณอาต้วน ช่วยหลบให้หนูด้วยค่ะ!”
ความวุ่นวายในใจฉินซี นับวันยิ่งรุนแรง
ตอนที่ต้วนหยู่เยียนมองทางเธอ หลบสายตาหนี ปัจจุบันนี้ ต้วนหวูหยาก็อยากขัดขวางเธอเข้าไปห้องพักผ่อน จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นแน่
เวลานี้ ฉินต้าหย่งกับฉินยี ก็สำนึกถึงความผิดปกติเหมือนกัน
“ขอโทษครับ ไม่มีคำสั่งของคุณหยาง ผมอนุญาตให้ใครเข้าไปในห้องพักผ่อนไม่ได้ทั้งนั้น!”
ต้วนหวูหยาเฝ้าอยู่หน้าประตู พูดจาแบบท่าทางยืนหยัด
“คุณอาต้วน คุณบอกฉันมา เขาไม่อยู่ข้างในใช่หรือเปล่าคะ?”
ฉินซีตาแดงก่ำถามขึ้น เสียงมีความสะอึกสะอื้นพอสมควร
ต้วนหวูหยารู้สึกตกใจ ถูกผู้หญิงคนนี้สัมผัสได้ตามคาดเหรอ?
“คุณฉิน คุณพูดอะไรกันครับ?”
ต้วนหวูหยาแกล้งทำท่าทางสงสัย เอ่ยปากบอก “พวกเรามองคุณหยางเข้าไปห้องพักผ่อนด้วยตาตัวเองกันหมด เขาจะไม่อยู่ข้างในได้อย่างไรครับ?”
เมื่อสักครู่ต้วนหยู่เยียนเกือบจะเปิดเผยออกมา ตอนนี้ไม่กล้าพูดจาเลย บนใบหน้าอันงดงาม เต็มไปด้วยการตำหนิตนเองและความรู้สึกผิดในใจ
“เสี่ยวซี ลูกเป็นอะไรแล้ว?”
ฉินต้าหย่งมาถึงข้างกายฉินซี สอบถามอย่างสงสัย
ฉินยีดึงมือของฉินซีไว้แน่น พูดด้วยท่าทางกังวล “พี่ ประโยคนั้นที่พี่พูดมาเมื่อกี้หมายความว่าอะไร? พี่เขยไม่ใช่ว่าเข้าไปพักผ่อนเหรอ?”
ฉินซีตาแดงก่ำตอบว่า “ฉันมีลางสังหรณ์ว่า หยางเฉินจะไม่อยู่ข้างใน”