The King of War - ตอนที่ 158 เจอสหายเก่าอีกแล้ว
หยางเฉินเหลือบมองเวลา เวลาก็ผ่านไปนาน ช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงที่เขารับปากฉินซี มีเพียงแปดนาทีสุดท้าย
“ฉันหวังว่า จะไม่เห็นผู้หญิงคนนี้ อยู่ในเจียงโจวอีก!”
หยางเฉินมองไปที่จางกว่างอย่างกะทันหัน พูดด้วยใบหน้าที่สงบ
จางกว่างดูประหลาดใจ ตอนแรกคิดว่าหยางเฉินจะทำเรื่องราวที่มากเกินไป กลับเพียงแค่ไม่ให้หวังลู่เหยาปรากฏตัวขึ้นในเจียงโจวอีก
นิ่งไปสักครู่ เขารีบพยักหน้าย่างรวดเร็วว่า: “คุณหยางวางใจได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธออย่าได้คิดที่จะก้าวเข้ามาที่เจียงโจวแม้แต่ก้าวเดียว!”
หยางเฉินไม่ได้สนใจ หันหลังแล้วจากไป หวงอู่รีบตามไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งหยางเฉินจากไป จางกว่ารู้สึกว่าแรงกดดันของบนร่างกายได้หายไป
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ และก็เตะไปที่บนตัวของหวังลู่เหยา: “ตอนนี้แกเก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปซะ! ถ้าหากให้ฉันได้เห็นแกอีก แกก็รอตายได้เลย!”
หวังลู่เหยาคุกเข่าคลานไปที่เท้าของจางกว่าง กอดขาจางกว่างไว้ ร้องไห้อ้อนวอน: “สามี ได้โปรดเห็นแก่ลูกชายด้วย ให้โอกาสฉันอีกครั้งหนึ่ง ฉันไม่กล้าอีกแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว!”
“ไปตายซะ ยังกล้าพูดลูกชายกับฉันเหรอ? แกแมร่งมีสิทธิ์เป็นแม่ของลูกฉันด้วยเหรอ? ไสหัวไปซะ!”
จางกว่างเตะหวังลู่เหยากระเด็นออกไป และหันหลังจากไป
นอกประตูคฤหาสน์ตระกูลสง หวงอู่เดินตามหยางเฉิน พูดอย่างตื่นตัวมาก: “คุณหยาง ทางไปโรงพยาบาล ผมคุ้นเคย ผมขับรถส่งคุณไปมั้ย?”
หยางเฉินโยนกุญแจของโฟล์คเภาตันให้หวงอู่ หวงอู่ดีใจมากทันที รีบนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว ช่วยหยางเฉินเปิดประตูที่นั่งเบาะหลัง รอหยางเฉินขึ้นรถแล้ว เขาถึงได้วิ่งไปที่นั่งคนขับ
“ภายในเจ็ดนาที สามารถไปทันมั้ย?”
หยางเฉินมองดูเวลาอีกครั้ง แล้วถาม
หวงอู่ยิ้มแฮะๆ: “คุณหยางนั่งให้ดีๆนะครับ!”
เมื่อเสียงของเขาลดลง โฟล์คเภาตันก็พุ่งออกไปทันที เดิมทีก็เป็นโฟล์คเภาตันที่เคยดัดแปลงมา ประสิทธิภาพของรถนั้นยอดเยี่ยม ไม่แพ้รถหรูมูลค่าหลายสิบล้านแม้แต่น้อย
มิน่าล่ะหวงอู่กล้าเสนอตัวออกมา ขับรถให้กับหยางเฉิน ทักษะการขับรถดีมากจริงๆ
เสียงเครื่องยนต์ของโฟล์คเภาตันดังตลอดทาง เหมือนราวกับสายฟ้าสีดำ เคลื่อนตัวอยู่ในการจราจร
ตอนที่เพิ่งจะหกนาที รถก็สะบัดท้ายอย่างงดงาม และจอดอยู่ทางเข้าประตูโรงพยาบาล
หยางเฉินเข้าไปในโรงพยาบาล กำลังเตรียมจะโทรถามห้องผู้ป่วยอยู่ที่ไหน ฉินซีก็โทรศัพท์มาแล้ว
“หยางเฉิน นายจะมาถึงโรงพยาบาลเมื่อไหร่?”
เห็นได้ชัดว่าเสียงของฉินซีกังวลเล็กน้อย กลัวว่าหยางเฉินจะทำเรื่องราวอะไรที่มากเกินไป
หยางเฉินยิ้มอย่างขมขื่น เกรงว่าฉินซีจะจ้องมองเวลาอยู่ตลอด ในใจก็กังวลว่าตัวเองจะทำอะไรกับหวังลู่เหยา
เขายิ้มเล็กน้อย: “สมกับที่เป็นภรรยาของฉัน ช่างใจตรงกันจริงๆ ฉันมาถึงแล้ว พ่ออยู่ห้องผู้ป่วยไหน?”
ฉินซีที่อยู่ในห้องผู้ป่วย เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉิน บนใบหน้าแดงเล็กน้อย แล้วพูดว่า:“แผนกผู้ป่วยภายใน ชั้นหก เตียงที่ยี่สิบเจ็ด”
“โอเคเดี๋ยวเจอกัน!”
หยางเฉินวางสายไป
ในห้องผู้ป่วย ฉินต้าหย่งนอนอยู่บนเตียง โดยมีผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะ และยังมีคราบเลือดออกมา
“เสี่ยวซี เสี่ยวยี หมอบอกแล้วว่า พ่อไม่เป็นไร แค่แผลภายนอก พวกลูกก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว รอหยางเฉินมาแล้ว ก็ไปทำงานกันเถอะ!”
ฉินต้าหย่งพูดอย่างตำหนิตัวเอง ตัวเองไม่มีประโยชน์ ทำให้ลูกสาวลูกเคยต้องเสียพลังงาน
“พ่อ พ่อก็ไม่ต้องไล่พวกเธอไปแล้ว การพัฒนาของบริษัทก็มั่นคงแล้ว ก็ให้พวกเธออยู่กับพ่อเถอะ”
ทันใดนั้นเสียงของหยางเฉินก็ดังขึ้นที่หน้าประตู ในมือยังถือกระเช้าผลไม้อยู่ และเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
“ยังซื้อผลไม้มาอีกทำไม? จริงๆเลย!”
ฉินต้าหย่งมองดูหยางเฉินวางกระเช้าผลไม้ไว้บนตู้ข้างๆ และพูดอย่างช่วยไม่ได้
หยางเฉินมองไปที่ฉินต้าหย่ง หน้าบวมช้ำ ศีรษะก็ได้รับบาดเจ็บ ยังมีคราบเลือด ดูเหมือนจะสาหัส แต่ว่าสภาพจิตใจกลับไม่ได้แย่
หยางเฉินผู้อยู่ในสนามรบมาเป็นเวลานาน เห็นผู้บาดเจ็บมา ไม่ถึงหลักหมื่น ก็มีหลักพัน แวบเดียวก็มองออก อาการบาดเจ็บของฉินต้าหย่งไม่ได้สาหัส
ด้วยแบบนี้ ฉินซีและฉินยี และยังมีหยางเฉิน ทั้งสามคนอยู่ที่โรงพยาบาลกับฉินต้าหย่ง จนกระทั่งตอนบ่ายใกล้จะเข้างาน ฉินต้าหย่งข่มขู่ด้วยว่าจะออกจากโรงพยาบาล ฉินซีและฉินยีถึงได้จากไป
“หยางเฉิน พ่อไม่เป็นไร ลูกไปธุระเถอะ!”
‘ไล่’ลูกสาวไปได้แล้ว แต่กลับ‘ไล่’หยางเฉินไปไม่ได้
หยางเฉินยิ้มเล็กน้อย: “พ่อ ผมไม่มีธุระอะไร ก็อยู่ที่โรงพยาบาลกับพ่อดีแล้ว พ่อไม่ต้องสนใจผม ผมไปเดินเล่นที่ข้างนอก มีเรื่องพ่อก็โทรหาผม ภายในห้านาทีผมจะรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว”
หยางเฉินรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ข้างกายของฉินต้าหย่ง เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าไม่มีใครเฝ้าฉินต้าหย่ง ฉินซีและฉินยีก็จะเป็นห่วง จึงออกจากห้องผู้ป่วย ตั้งจะไปรับอากาศข้างนอก
“เสี่ยวเซี่ย เธอต้องรีบหาเงินให้เร็วที่สุด เพื่อรักษาโรคของแม่เธอ ภายหลังยังจะต้องใช้เงินจำนวนมาก ถ้าหากตอนนี้หยุดการรักษา จะส่งผลกระทบต่ออาการป่วยอย่างมาก”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอหาน ฉันจะรีบหาค่ารักษาพยาบาลมาให้โดยเร็วที่สุด คุณได้โปรดอย่าหยุดการรักษาของแม่ฉัน ได้โปรดเถอะ!”
หยางเฉินเพิ่งจะผ่านห้องผู้ป่วยหนึ่งห้อง และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เขาหันหน้ามองไปอย่างไม่รู้ตัว เห็นร่างผอมบาง เข้าพอดี และกำลังจะคุกเข่าลง
“เสี่ยวเซี่ยนี่เธอทำอะไรนะ!”
คุณหมอหานรีบพยุงเสี่ยวเซี่ยไว้ และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “ช่วยชีวิตคนใกล้ตายและรักษาผู้บาดเจ็บเป็นหน้าของหมอ ต่อให้เธอหาเงินได้ไม่พอสักระยะหนึ่ง ฉันก็จะคิดหาวิธี ช่วยแม่ของเธอยื่นสมัครโครงการการช่วยเหลืออื่น”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอหาน คุณวางใจได้ ฉันจะหาค่ารักษาพยาบาลให้ได้เร็วที่สุด” ดวงตาทั้งสองของเสี่ยวเซี่ยแดงก่ำ และในแววตาเต็มไปด้วยความหวั่นไหว
“เอาล่ะ เธอก็อย่ากดดันมากเกินไป ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด”คุณหมอหานปลอบใจ และหันหลังจากไป
“เซี่ย…..”
เมื่อมองดูร่างที่คุ้นเคย หยางเฉินกำลังจะเรียกเธอ ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างได้ ก็กล้ำกลืนคำพูดกลับไป
เขารีบเดินตามคุณหมอหานไป
เสี่ยวเซี่ยก็คือเซี่ยเหอ ก่อนหน้านี้เสี้ยวเสี้ยวโดนฟางเยว่หลอกที่คฤหาสน์หลังหนึ่ง ตอนที่หยางเฉินไปช่วยเสี้ยวเสี้ยว เซี่ยเหอก็โดนกักขังมาหนึ่งเดือนแล้ว
ตอนนั้นกวนเสวี่ยเฟิงใช้เสี้ยวเสี้ยวมาข่มขู่เซี่ยเหอ ให้มีความสัมพันธ์กับเขา ผู้หญิงจิตใจดีที่รู้จักเสี้ยวเสี้ยวเพียงครึ่งวัน เพื่อเสี้ยวเสี้ยวแล้ว ก็ตกลง
ในใจของหยางเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งที่มีต่อผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นก็ทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ให้เซี่ยเหอ แต่คาดไม่ถึง ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้เผชิญกับปัญหาใหญ่เช่นนี้ ก็ไม่ติดต่อกับเขา
“คุณหมอหาน!”
หลังจากที่ตามคุณหมอหานมาถึงที่ห้องทำงาน หยางเฉินถึงได้เอ่ยปากเรียก
“คุณคือ?”
คุณหมอหานมองไปที่หยางเฉิน ท่าทางดูสงสัย
เธอเป็นหมออายุห้าสิบกว่าคนหนึ่ง สวมแว่นสายตายาว หน้าประตูห้องทำงานมีป้ายหัวหน้าแพทย์แขวนอยู่ ยังมีรูปของเธอ
“สวัสดีครับ คุณหมอหาน ผมเป็นเพื่อนของเซี่ยเหอ เมื่อกี้นี้บังเอิญได้ยินพวกคุณคุยกัน อยากจะถามคุณ เธอประสบกับปัญหาอะไรหรือเปล่า?”หยางเฉินพูด
คุณหมอหานนั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงาน ชี้ไปที่เก้าอี้ด้านหน้า และส่งสัญญาณให้หยางเฉินนั่งลง
ถอนหายใจ และเอ่ยปากพูดว่า: “แม่ของเซี่ยเหอ เป็นโรคโลหิตมีสารของปัสสาวะและทำให้เกิดภาวะเป็นพิษขึ้นได้ ตอนนี้รักษาด้วยยา ผสมกับการฟอกไตยังสามารถควบคุมได้”
“แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว ทางที่ดียังคงต้องการแหล่งไตที่เหมาะสม และทำการปลูกถ่ายไต แต่ต่อให้หาได้ รวมกับค่าใช้จ่ายที่เธอค้างชำระกับโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ บวกกับค่าผ่าตัด ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะสามารถรับผิดชอบไหวได้”