The King of War - ตอนที่ 148 นับถือพี่เป็นพี่ชาย
เว่ยเชินยังกล้าขัดขวางที่ไหนกัน รีบพยักหน้าทันที ในปากส่งเสียงอ้ำอึ้งออกมา
เมื่อสักครู่หยางเฉินกดศีรษะของเขาไว้ ส่วนหน้ากระแทกบนโต๊ะกาแฟอย่างรุนแรง จมูกยุบลง ฟันก็หลุดออกมาหลายซี่ด้วย
เวลานี้บวมเป่งไปทั้งหน้า พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
หยางเฉินจึงก้าวเท้าเดินออกไป ตอนเดินมาถึงหน้าประตู หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน “ให้เวลานายคิดคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ก่อนสิบโมงเช้า ฉันจะรอคำตอบนายอยู่ที่หวงเหอบาธ!”
หลังพูดจบลง หยางเฉินก็จากไป
ทั้งตัวเว่ยเชินเหมือนกับถูกพิษเข้า ด้านหลังเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อตั้งนานแล้ว
ตอนที่หยางเฉินกลับมาถึงคฤหาสน์ ฟ้ามืดลงเรียบร้อย
“พี่เขย พี่กลับมาแล้ว!”
มองเห็นหยางเฉิน ฉินยีทักทายมาก่อนเลย
หยางเฉินจ้องฉินยีอยู่สักครู่หนึ่ง สีหน้าเหมือนปกติ ดวงตาประกาย ไม่เหมือนแสร้งทำขึ้น นั่นหมายความว่า เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้พลิกล็อกแล้ว
“นี่พี่กำลังกังวลเรื่องเมื่อช่วงบ่ายจะทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีงั้นเหรอ?”
ฉินยีเดินเข้ามา เริ่มควงแขนของหยางเฉินไว้ก่อน จากนั้นพูดจาแบบยิ้มกริ่ม
หยางเฉินดึงแขนกลับมาอย่างไม่ทิ้งร่องรอย ก่อนจะหัวเราะ “ดูท่าทาง เธอน่าจะไม่เป็นอะไรมั้ง!”
เขาเพิ่งดึงแขนกลับมา ผลสุดท้ายฉินยีกอดแขนของเขาไว้อีกแล้ว หัวเราะพูดไป “พี่เขย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่เรียกพี่ว่าพี่เขยแล้ว!”
“หา?”
หยางเฉินตะลึง “ไม่เรียกพี่เขยแล้วจะเรียกอะไร?”
“ตั้งแต่เด็กฉันอยากมีพี่ชายสักคน อยู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว มีเพียงพี่ที่ทำให้ฉันเจอความรู้สึกของพี่ชายเข้า ดังนั้น ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะเรียกพี่ว่าพี่ชาย!”
ฉินยีเขย่าแขนของหยางเฉิน หัวเราะคิกคักบอกไป
ฉินซีมองเห็นฉินยีกอดแขนของหยางเฉินไว้ ในใจอิจฉาอยู่บ้าง รีบเดินมาข้างหน้า ดึงฉินยีเข้ามา “พอแล้ว ให้พี่เขยเธอไปกินข้าวก่อน กินเสร็จแล้วค่อยคุยกันเรื่องอื่น”
“พี่ ฉันบอกแล้วไงว่าเขาเป็นพี่ชายฉัน ทำไมพี่ถึงพูดว่าพี่เขยอยู่อีก?” ฉินยีมองค้อนทีหนึ่งพูดขึ้น
ฉินซีพูดด้วยความจำใจ “ได้ๆๆ เขาเป็นพี่ชายเธอ ให้พี่ชายเธอไปกินข้าวก่อน ได้ไหม?”
“พวกแกพูดมั่วอะไรกัน?”
ไม่รู้ว่าโจวยู่ชุ่ยวิ่งเข้ามาเมื่อไร พอได้ยินบทสนทนาของสองสาวพี่น้อง ชั่วขณะนั้นสีหน้ามืดครึ้มลงไป
“หนูอยากนับหยางเฉินเป็นพี่ชาย ทำไมถึงกลายเป็นพูดมั่วไปได้?” ฉินยีพูดแบบหน้าไม่พอใจ
หลังจากครั้งก่อนที่โจวยู่ชุ่ยทำร้ายจิตใจของฉินยี ถึงตอนนี้ ฉินยียังไม่ให้อภัยหล่อนเลย
“เชอะ!”
โจวยู่ชุ่ยพูดด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ใช่ว่าซูเฉิงอู่ติดหนี้บุญคุณแกครั้งหนึ่งเหรอ? ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เอาคฤหาสน์หลังหนึ่งขนาดนี้ให้แกมา”
หล่อนไม่รู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นหยางเฉินซื้อมา ตั้งแต่ครั้งก่อนที่โรงแรมสตาร์ไลท์ ซูเฉิงอู่บอกกับหล่อนด้วยตนเองว่าหยางเฉินเคยช่วยเหลือตระกูลซู หล่อนจึงเข้าใจมาตลอดว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นการตอบแทนน้ำใจจากซูเฉิงอู่ ถึงมอบให้หยางเฉิน
“แม่ นี่เป็นหยางเฉินซื้อมา เกี่ยวอะไรกับตระกูลซูกัน?” ฉินซีพูดอธิบาย
“ห้าปีก่อน เขาเพิ่งหลอกเอาเงินห้าแสนจากพ่อแกไป เป็นทหารอยู่ห้าปีกลับมาก็สามารถซื้อคฤหาสน์หรูหราขนาดนี้ได้ปุบปับ?” โจวยู่ชุ่ยพูดเสียดสี
“โจวยู่ชุ่ย คุณพอได้แล้ว!”
ในเวลานี้เอง เสียงที่โกรธเคืองดังขึ้นมาจากหน้าประตู เป็นฉินต้าหย่งเลิกงานกลับบ้านมาแล้ว
“ห้าปีก่อน หยางเฉินมายืมเงินผมไปห้าแสน แต่เพื่อช่วยชีวิตแม่ของเขา เพียงแต่ที่น่าเสียดายคือยังไม่ทันให้เขาเอาเงินไปถึงโรงพยาบาล แม่ของเขาก็เสียแล้ว”
ฉินต้าหย่งพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “วันต่อมาหยางเฉินเลยเอาเงินกลับมาคืน เรื่องนี้คุณก็รู้นี่ เพราะผมให้หยางเฉินยืมเงิน คุณถึงทะเลาะกับผมไปยกหนึ่ง ปรากฏว่าพอหยางเฉินเพิ่งเอาเงินกลับมาคืน คุณก็เอาเงินไปให้หลานชายคุณยืมต่อ ห้าปีผ่านไปแล้ว ไม่เห็นหลานชายคุณเอาเงินมาคืนเลย!”
“ฉินต้าหย่ง คุณพูดเหลวไหลอะไรกัน?”
โจวยู่ชุ่ยโกรธเดือดดาลในชั่วขณะนั้น รีบปฏิเสธทันควัน
ฉินต้าหย่งทำเสียงฮึดฮัด “ผมพูดเหลวไหลหรือเปล่า คุณรู้ดีแก่ใจ!”
ตั้งแต่ประสบพบเจอกับช่วงครึ่งเดือนที่มืดหม่นนั้นมา ฉินต้าหย่งเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เวลานี้ยิ่งดูลักษณะมีพลังเต็มเปี่ยมมาก
“ฉินต้าหย่ง หลานชายฉันไม่ใช่แค่ยืมไปห้าแสนหรอกเหรอ? ฉันทนลำบากกับคุณมาหลายปีขนาดนั้น เป็นคนให้ยืมไปห้าแสนแล้วจะยังไงกัน? จะว่าไปพวกเราเป็นสามีภรรยา เงินนั้นก็คือทรัพย์สินร่วมของพวกเราสามีภรรยา”
โจวยู่ชุ่ยรีบใช้‘ท่าไม้ตาย’ที่ร้องไห้และคำรามของตนเองออกมาทันที
“เงินห้าแสนนั้นเป็นตอนที่ผมอยู่บริษัท ใช้จ่ายอย่างประหยัด เพื่อเหลือไว้เป็นสินสอดของลูกสาวทั้งสอง ดูคุณทำสิ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากผม ตัดสินใจโดยพลการ เอาเงินให้หลานชายคุณยืมไปแล้ว”
ดวงตาฉินต้าหย่งแดงก่ำ ตะคอกใส่ “แต่ผลลัพธ์ล่ะ? หลานชายคุณหมุนตัวเอาเงินนี่ไปซื้อรถคันหนึ่ง ตอนนั้น บริษัทของเสี่ยวซีเข้าสู่ช่วงตกต่ำ ตอนที่กำลังขาดเงิน คุณเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวไหม? เคยคิดจะเตรียมเงินไว้ให้เธอผ่านช่วงยากลำบากของบริษัทบ้างไหม?”
“ต่อมาบริษัทของเสี่ยวซีโดนตระกูลแย่งไป คลอดก่อนกำหนดกะทันหัน คุณที่เป็นแม่ เพื่อให้ได้นอนตื่นสาย จนกระทั่งเสี่ยวซีคลอดแล้ว คุณถึงไปโรงพยาบาล คุณคู่ควรแก่การเป็นแม่งั้นเหรอ?”
“ตอนที่ลูกสาวทั้งสองเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัย ผมให้เงินคุณ ให้คุณเอาไปจ่ายค่าเทอมลูก แต่คุณล่ะ? กลับเอาเงินไปซื้อเครื่องประดับเงินทอง”
“ยังมี……”
ฉินต้าหย่งทนโจวยู่ชุ่ยมานานพอแล้ว เวลานี้ระเบิดออกถึงที่สุด สาธยายเรื่องเก่าเมื่อนานมาแล้วออกมาจนหมด
ฉินซีและฉินยีน้ำตานองหน้ากันตั้งแต่นานแล้ว ถ้าไม่ใช่ฉินต้าหย่งพูดออกมา ทั้งชีวิตนี้พวกเธอคงไม่รู้ความจริงพวกนี้
“หุบปาก! คุณหยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย!”
โจวยู่ชุ่ยอับอายจนโกรธ “คุณพูดเหลวไหล! ฉินต้าหย่ง พวกนี้ล้วนเป็นคำโกหกที่คุณแต่งขึ้น คุณเห็นว่าลูกสาวทั้งสองมีความสามารถแล้วใช่ไหม เลยแต่งเรื่องโกหกบางอย่างมาเอาใจพวกเธอ? ฉันบอกคุณไว้เลยนะ ไม่มีทาง!”
ฉินต้าหย่งเห็นความไร้ยางอายของโจวยู่ชุ่ยมานานแล้ว เมื่อระบายพอแล้ว ก็ไม่อยากถกเถียงอะไรกับผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้อีก หมุนตัวกลับไปที่ห้องของตนเอง
“เสี่ยวซี เสี่ยวยี ที่พ่อของลูกพูดแต่งขึ้นมาหมด เดิมทีเรื่องพวกนั้นไม่ใช่แม่ทำ”
เห็นความผิดหวังในสายตาของลูกสาวทั้งสอง โจวยู่ชุ่ยรีบพูดขึ้น
ฉินยีส่งเสียงหัวเราะเยาะ “พ่อแต่งเรื่องหรือเปล่า แม่รู้ดีแก่ใจ!”
หลังจากทิ้งประโยคนี้เอาไว้ ฉินยีก็กลับไปที่ห้องตนเอง
“เสี่ยวซี ลูกต้องเชื่อแม่นะ แม่ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน!”
โจวยู่ชุ่ยจับมือของฉินซีเอาไว้พูดด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
“แม่คะ หนูเหนื่อยแล้ว!”
ฉินซีเหนื่อยทั้งกายและใจ ดิ้นหลุดจากมือของโจวยู่ชุ่ย จากนั้นกลับไปที่ห้อง
ชั่วพริบตาเดียวทั้งห้องโถงใหญ่ก็เหลือเพียงหยางเฉินกับโจวยู่ชุ่ย
หยางเฉินมองโจวยู่ชุ่ยอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก็หมุนตัวออกไป
เขาเชื่อว่าเรื่องพวกนั้นที่ฉินต้าหย่งพูดออกมาเป็นเรื่องจริง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้สามารถทำเรื่องที่ใจร้ายมากขนาดนั้นออกมาได้
โดยเฉพาะที่ฉินซีคลอดก่อนกำหนด โจวยู่ชุ่ยเพื่อได้นอนตื่นสาย หล่อนจึงไม่ยอมไปโรงพยาบาล
“แกหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หยางเฉินเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว โจวยู่ชุ่ยตะโกนมาทันใด วิ่งมาที่ด้านหน้าของหยางเฉิน ยกมือขึ้นมาตบหน้าทีหนึ่ง “ต้องโทษแกไอ้สวะคนนี้เลย!”
“ป้าบ!”
หยางเฉินจับข้อมือของโจวยู่ชุ่ยไว้แล้ว ในสายตายิงแสงเย็นเฉียบออกมา สีหน้าเย็นชาพูดว่า “ผมเรียกคุณว่าแม่ เพราะฉินซี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถทนความก้าวร้าวของคุณได้!”
“อีกอย่างนี่คือคฤหาสน์ของผม ไม่ว่าผมจะใช้เงินซื้อมาเอง หรือว่าซูเฉิงอู่ให้มา บนเอกสารสิทธิ์ล้วนเป็นชื่อของผม ถ้าคุณยังอยากพักที่นี่ต่อไป งั้นก็ทำตัวให้มันดีๆ หน่อย! ไม่อย่างนั้นผมจะให้คุณไสหัวออกไปจากที่นี่แบบไม่สนใจอะไร!”
ทันทีที่พูดจบไป หยางเฉินก็ปล่อยมือ ก้าวเท้าออกไป เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นหยุดลงมา
เขาไม่ได้หันหน้า แค่พูดจาอย่างเฉยชา “อย่าเอาความอดกลั้นของใครคนหนึ่งมาเป็นเหตุผลให้คุณทำตัวไร้ยางอายเด็ดขาด!”