หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - 886 จักรพรรดิเทียนเจิ้นตัวจริง
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 886 จักรพรรดิเทียนเจิ้นตัวจริง
ตู้ม!!!
เมื่อป้ายหินโบราณในมือของจินไถหลิวหลีระเบิด ลำแสงก็ยิงออกมาจากทุกทิศทาง แสงสว่างไสวจนทำให้มิติสีแดงฉานสว่างขึ้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะที่ลำแสงกระจายออกไป เสียงลมหวีดหวิวก็สะท้อนมาจากทุกทิศทาง ริ้วแสงมากมายพุ่งออกมาจากลำแสงเหล่านั้น ทุกช่วงข้อแสงบรรจุไปด้วยอักขระโบราณ
อักขระลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งเข้าไปในความมืดรวมเข้ากับลำแสงสีเทาที่มาจากกองทหารหินแล้วหลอมรวมเข้าด้วยกัน
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
พร้อมกับการหลอมรวม ลำแสงเหล่านี้ก็ขยายออกอย่างรวดเร็ว รัศมีจั้นยี่รุนแรงระเบิดขึ้นราวกับภูเขาไฟ พวยพุ่งออกมาฉับพลัน
แสงเข้มข้นพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมิดออกไป ก่อนที่จะฝังลงในบัลลังก์หินที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ
บัลลังก์หินโบราณสั่นสะเทือนรุนแรง อักขระบนนั้นก็สว่างไสวในตอนนี้ ราวกับว่าถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
ครืน! ครืน!
โซ่ทั้งสี่บนบัลลังก์หินก็ขยายตัว เกลียวแสงเปล่งออกมาจากอักขระบนโซ่น่าตื่นตา รัศมีจั้นยี่ที่น่าอัศจรรย์ล้นปรี่
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ร่างปีศาจกำลังจะพุ่งเข้าโรมรันกับมู่เฉิน วินาทีต่อมาเขาก็เห็นความปั่นป่วนขนาดใหญ่ที่มาจากด้านล่าง ทำให้ความกลัวพล่านบนใบหน้าที่บิดเบี้ยว
“ไม่!”
ร่างปีศาจแผดเสียงร้อง ขณะที่อักขระครึ่งหนึ่งบนใบหน้าปีศาจบิดตัวไปมาอย่างรวดเร็ว รัศมีสีดำที่มีฤทธิ์กัดกร่อนข้นคลั่กก็พุ่งออกมา พยายามต่อต้านรัศมีจั้นยี่บนโซ่
บึ้ม!
ทว่าค่ายกลศึกนี้ได้รับการเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบโดยจินไถหลิวหลี ซึ่งทรงพลังมาก บวกกับก่อนหน้าร่างปีศาจได้ฉีกอักขระไปครึ่งหนึ่งเพื่อฆ่ามู่เฉิน ทำให้พลังในร่างก็ถูกแบ่งออกไป ดังนั้นการต่อต้านจึงไม่เป็นผล โซ่ทั้งสี่พันธนาการกับแขนขาเอาไว้ จากนั้นก็ลากเข้าไปที่บัลลังก์หินที่เต็มไปด้วยอักขระมากมาย
โฮก!
ร่างปีศาจคำรามอย่างรุนแรง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เนื่องจากรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามร้ายแรงและรู้ว่าหากถูกดึงกลับไปที่บัลลังก์หินคราวนึ้ต้องถูกฆ่าตายจากค่ายกลศึกนี้แน่นอน
ตอนนี้เขาไม่มีพลังที่เทียบได้กับจุดสูงสุดอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าจะขัดขืนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ร่างก็ยังถูกลากลงมาอย่างน่าสังเวชก่อนที่จะกระแทกลงบนบัลลังก์หินโบราณ
“ข้าจะฆ่าพวกแก!”
ทว่าทันทีที่ถูกลากกลับไป ร่างปีศาจก็จ้องมองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะแผดเสียงคำราม อักขระปีศาจครึ่งใบหน้าที่พุ่งไปหามู่เฉินก็เพิ่มความเร็วขึ้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะเป็นปลาตายตาข่ายขาด
เมื่อมู่เฉินที่กำลังถอยเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ปีกหงส์ฟ้าสั่นไหวอย่างรวดเร็วคลื่นหลิงรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในร่าง ความเร็วนั้นทิ้งภาพลวงตาไว้ที่ท้องฟ้าเบื้องหลังเลยทีเดียว
เขารู้สึกได้ว่าการโจมตีสุดกำลังก่อนตายของปีศาจตัวนี้น่าสะพรึงเพียงใด หากเขาถูกโจมตีเข้าละก็ งานนี้ถึงตายแน่
บึ้ม! บึ้ม!
ริ้วแสงสีดำพุ่งเข้ามา เส้นทางที่ผ่านเหล่านั้นก็ถูกกัดกร่อน ความเร็วนั้นราวกับสายฟ้าแลบ ไม่กี่อึดใจก็ปรากฎที่เบื้องหน้ามู่เฉินและเข้าใกล้เรื่อยๆ
มู่เฉินมองริ้วแสงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็กัดฟัน เขารู้ว่าไม่สามารถหลบได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเร้าแสงสีทองในร่าง เกราะทองมังกรหงส์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง บนหน้าอกลวดลายมังกรแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปมา คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตรวมตัวกันอยู่รอบเขา ตอนนี้เขาใช้ทุกวิถีทางที่มีเพื่อเตรียมรับการโจมตีนั่น
แม้เขาจะรู้ว่าเป็นเรื่องโง่ที่จะต้านรับซึ่งหน้ากับการโจมตีนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว!
แสงสีเข้มที่ดูอ่อนแอพุ่งถึงตัวเขาแล้ว
ทว่าจังหวะที่มู่เฉินใช้ทุกวิถีทางเพื่อรับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นที่บัลลังก์หิน ร่างปีศาจถูกผนึกไว้ อักขระนับไม่ถ้วนเต้นระริกราวกับหนอนคืบคลานเข้าไปหามันปกคลุมจนมิดเม้น
รัศมีสีดำที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรอบร่างปีศาจหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่กำจายด้วยอักขระปีศาจก็เปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวน พร้อมกับรัศมีสีดำสลายไปเริ่มเจือจางลง
ในที่สุดอักขระหนาแน่นก็ครอบคลุมร่างปีศาจเต็มที่ ทันทีที่ทั่วทั้งร่างมันถูกปกคลุมมืดมิด เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูก็หยุดลง
อักขระปีศาจบนใบหน้าหายวับไปในเวลาเดียวกัน
ในช่วงเวลานั้นเมื่ออักขระปีศาจบนใบหน้าหายไป ริ้วแสงที่กำลังจะต้องตัวมู่เฉินที่เกิดจากอีกครึ่งหนึ่งของใบหน้าก็ปล่อยเสียงโหยหวนก่อนที่จะระเบิดแตกกระจายกลายเป็นแสงสีดำปกคลุมท้องฟ้า
เมื่อมู่เฉินซึ่งอยู่ในสภาพพร้อมรบเห็นฉากนี้ เขาก็อึ้งไปก่อนจะถอนหายใจโล่งอกอย่างหนักหน่วง ตอนนี้เขาถึงได้รู้ตัวว่าแผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นหมดแล้ว
เขาไม่มั่นใจในการต่อต้านแสงมืดมิดนั้นได้ เมื่อครู่เขาแค่ทำให้ดีที่สุดสำหรับความเสี่ยง
ทว่าในเมื่อเขาไม่ต้องเดินบนทางแห่งความตาย ก็เป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับมู่เฉินแล้ว
มู่เฉินเช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก สลายแนวป้องกันออก สายลมหวีดหวิวดังขึ้น จินไถหลิวหลีทะยานเข้ามาพร้อมรถเข็น
ใบหน้าของจินไถหลิวหลีซีดมาก คิดว่ากระบวนท่าก่อนหน้าที่ใช้ ทำให้นางสูญเสียพลังไปมากเช่นกัน
“ขอบใจ” มู่เฉินมองจินไถหลิวหลีด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าแต่ก่อนชัดเจน เห็นได้ว่าจินไถหลิวหลีได้รับความเชื่อใจเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ในเมื่อนางไม่ได้เล่นตุกติกระหว่างการร่วมมือกัน อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องระวังตัวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาก่อน
จินไถหลิวหลีเม้มปากก่อนจะยิ้มบาง “หายากสำหรับคนที่จะวางชีวิตของเขาไว้ในมือข้า หลังจากที่รู้ว่าข้าโกหกเป็นไฟ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคิดว่าก็จะทำให้เจ้าผิดหวังไม่ได้ใช่ไหม?”
มู่เฉินยิ้ม “นี่เป็นความร่วมมือที่ยอดเยี่ยม”
มู่เฉินไม่ได้ติดใจกับความเจ้าเล่ห์ของจินไถหลิวหลีก่อนหน้ามากนัก เพราะถ้าเขาอยู่ในสถานะเดียวกันกับนางก็มีโอกาสสูงที่จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน ยังไงพวกเขาก็เป็นแค่เบี้ยในสายตาของนางในเวลานั้น
ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่เหมือนกัน ทั้งคู่ลงเรือลำเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่แท้จริง ในเมื่อจินไถหลิวหลีไม่ได้สร้างผลลัพธ์น่าผิดหวังในความไว้วางใจที่เขาให้กับนาง ก็ทำให้มู่เฉินรู้สึกดีขึ้นมากเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้
จินไถหลิวหลีพยักหน้าก่อนที่จะมองไปที่บัลลังก์หินในความมืด นางแลกเปลี่ยนสายตากับมู่เฉิน ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะทะยานตัวออกไปอย่างระมัดระวัง พลิ้วตัวลงห่างจากบัลลังก์หินไปร้อยจั้ง
พวกเขาหยุดอยู่ที่นั่น ไม่ได้ก้าวต่อไป เนื่องจากพวกเขายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวิญญาณชั่วร้ายในร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แล้วหรือยัง จึงมีโอกาสที่พวกเขาจะถูกฆ่าตาย ความพยายามก่อนหน้าก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ทั้งสองคนเฝ้ามองบัลลังก์หินโบราณอย่างระมัดระวัง บนบัลลังก์ร่างของจักรพรรดิเทียนเจิ้นถูกล้อมด้วยอักขระโบราณหนาแน่น สถานการณ์นี้กินเวลานานเกือบสิบนาที ก่อนที่ทั้งสองจะสังเกตเห็นอักขระเริ่มจางลงทีละน้อย…ละน้อย
เมื่ออักขระสลายไป มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็เกร็งร่างแน่น คลื่นหลิงพวยพุ่งอยู่รอบตัวเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ภายใต้สายตาระแวดระวัง อักขระบนร่างจักรพรรดิเทียนเจิ้นก็หายไปจนหมดสิ้น ใบหน้าของเขาถูกเปิดเผยต่อพวกเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใบหน้าที่น่ากลัวและผิดเพี้ยนก็หายไปแทนที่ด้วยรูปลักษณ์ที่สุขุม
ใบหน้านั้นยังคงซีดอยู่เล็กน้อย แต่ความน่าขนพองสยองเกล้าก่อนหน้าไม่มีอีกแล้ว
เขานั่งบนบัลลังก์หินหลับตาแน่น ฉับพลันก็เกิดอาการสั่นเบาๆ เขาเปิดตาขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้สายตาระแวดระวังและวิตกกังวลของมู่เฉินและจินไถหลิวหลี
ดวงตาที่กลวงโบว๋ในตอนแรกเหมือนจะมีแสงประกายรวมอยู่ในตอนนี้ ความรู้สึกโบราณและฉลาดปรากฏขึ้นในแววตา
เมื่อเปิดตาขึ้นก็บิดลำคอที่แข็งทื่อก่อนที่จะก้มศีรษะลง เขามองที่ฝ่ามือตนเอง ความมืดและกองทหารหินเบื้องล่างก่อนจะถอนหายใจ
“หลังจากผ่านไปหมื่นปี ในที่สุดวิญญาณชั่วร้ายก็ถูกฆ่า…” เสียงนี้ค่อนข้างแหบห้าว ทว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้าก็ไม่บาดหูและให้ความรู้สึกผ่านอะไรมามาก
มู่เฉินและจินไถหลิวหลีมองหน้ากัน ไม่กล้าพูดแทรกอะไร
ร่างบนบัลลังก์หินเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินและจินไถหลิวหลี เมื่อเห็นสายตานั่น ร่างของทั้งสองก็ตื่นตัว
“พวกเจ้าเป็นคนเปิดใช้งานค่ายกลศึกเพื่อฆ่าวิญญาณชั่วและปลุกจิตสำนึกที่เหลืออยู่ของข้าใช่ไหม?” เมื่อเห็นคนทั้งสอง เขาก็ยิ้มอ่อนโยนออกมา
มู่เฉินและจินไถหลิวหลีเหลือบมองกันแล้วก็พยักหน้า
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคือ…” มู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนถามอย่างระมัดระวัง
เมื่อร่างนั้นได้ยินคำถามของมู่เฉิน เขาก็อดยิ้มไม่ได้พลางยกมือขึ้น ด้วยการกดเบาๆ รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากไร้ขอบเขตที่กวาดออกมาจากเบื้องล่างก็เงียบลงก่อนที่จะพุ่งลงไปที่กองทหารหิน
เมื่อเห็นท่าทางนี่ มู่เฉินและจินไถหลิวหลีก็เกิดความตื่นเต้นดีใจและรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะนอกจากจักรพรรดิเทียนเจิ้นแล้ว จะใครอีกที่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทหารหินได้อย่างง่ายดาย?
**สำนวน ปลาตายตาข่ายขาด แปลว่าเสียประโยชน์ทั้งคู่