หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1370 เส้นทางเทียนจื้อจุน
การเข้าสมาธิครั้งนี้อยู่ไม่นานอย่างที่เขาคาดหวัง
เพราะในวันที่สิบเขาก็ได้รับข่าวสารเร่งด่วน ทำให้ต้องออกจากสมาธิทันที
มู่เฉินลืมตาขึ้นในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์ โดยที่มีแสงสีม่วงกะพริบอยู่ที่เบื้องหน้า นี่คือกลีบดอกไม้ที่กระเพื่อมไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้มิติถึงกับแปรปรวนไปด้วย
ดวงตาของมู่เฉินหดลงมองไปที่กลีบดอกไม้สีม่วง นี่เป็นข้อความจากมั่นถัวหลัว โดยปกตินางจะไม่รบกวนเขาเมื่อเข้าสมาธิ… ยกเว้นแต่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่นางไม่สามารถจัดการได้
“หรือว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสามสำนักนั่นเคลื่อนไหว?”
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด หากขั้วอำนาจเหล่านั้นไม่ได้ถูกข่มขู่โดยวังมหาพันภพและเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้าน คงจะเป็นเรื่องลำบากสักเล็กน้อย บางทีเขาอาจต้องใช้ความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิสงคราม
“ปัญหามากจริง ตราบใดที่ข้ายังไม่บรรลุระดับเทียนจื้อจุน”
มู่เฉินขมวดคิ้ว หากเขาต้องการปกครองอย่างไม่เกรงกลัวภายในมหาพันภพนี้ เขาก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนให้จงได้
ขณะที่ถอนหายใจมู่เฉินก็ยื่นมือออกไปจับกลีบดอกไม้แล้วหายตัวออกไป
ในโถงตำหนักมู่
เมื่อภาพเงาของมู่เฉินปรากฏขึ้นก็มองไปที่มั่นถัวหลัว ตอนนี้แม้แต่หลิงซีและหลงเซี่ยงก็อยู่ที่นี่ เขาจึงอดถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น?”
มั่นถัวหลัวโล่งใจเมื่อเห็นเขา นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “มีคนมาหาเจ้าน่ะ บอกว่าต้องพบตัวเจ้าให้ได้”
ขณะที่พูดนางก็กวาดสายตาไปที่มู่เฉินก่อนที่จะหยอกล้อ “นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวตอนท่องยุทธภพรึเปล่า?”
มู่เฉินกลอกตาก่อนแล้วมองตามไปก็ต้องตะลึง หญิงสาวชุดขาวราวกับหิมะยืนอยู่ที่นั่นราวกับมีภูเขาน้ำแข็งตั้งไว้
“ชิงซวง?”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นนาง เขาไม่คิดว่าคนที่มาเขาที่ตำหนักมู่จะเป็นนาง
เมื่อมองเห็นมู่เฉิน ซิงชวงก็โล่งใจก่อนที่นางจะกัดฟันพูด “มู่เฉิน ท่านน้าจิ้งมีปัญหาเข้าแล้ว!”
พอได้ยินเสียงของนาง ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาวาบไปตรงหน้าชิงซวงจับข้อมือนางไว้ “ท่านแม่เป็นอะไรไป?!”
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายเขา ทำให้มิติสั่นสะเทือน ชัดว่าอารมณ์ของเขาผันผวนรุนแรง
ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินก่อนที่นางจะถอนหายใจ “ตอนที่ผู้อาวุโสเฮยกวางและมั่วหยิงกลับไปที่เผ่า พวกเขารายงานผู้อาวุโสใหญ่ว่าเจ้าได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ไป”
“จากนั้นก็มีการประชุมในสภา ด้วยมีความต้องการที่จะส่งผู้คุ้มกฎมาจับตัวเจ้านำกลับไปที่เผ่าเพื่อยึดวิชาเจดีย์แปดองค์”
สายตาของมู่เฉินเย็นเยือกลง ไอ้หมาแก่สองตัวนี่ตามหลอกหลอนไม่เลิกจริงๆ เขาไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้เรื่องนี้
“ตระกูลมั่วและเฉวียนมีตำแหน่งมากที่สุดในสภา แม้ตระกูลชิงจะพยายามคัดค้านก็ไร้ประโยชน์ แต่เมื่อคำสั่งดังกล่าวกำลังจะประกาศ…”
พูดถึงตรงนี้ ชิงซวงก็ยิ้มขมขื่น “ทันใดนั้นน้าจิ้งก็ปรากฏตัวในสภาผู้อาวุโส”
ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้มลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“หลังจากน้าจิ้งรู้ว่าเฮยกวางและมั่วหยิงต่อสู้กับเจ้า นางก็พุ่งใส่อย่างโกรธเกรี้ยว ทำให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากนั้นนางก็อาละวาดจนที่ประชุมโกลาหลไปหมด…” ชิงซวงยิ้มขมขื่น สามารถจินตนาการได้ว่าฉากนั้นเป็นแบบไหน
ผู้อาวุโสส่วนใหญ่รวมตัวกันในที่ประชุม แต่ถึงอย่างนั้นผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่มีเวลาดีนักที่จะเผชิญหน้ากับชิงเหยี่ยนจิ้ง
มู่เฉินหายใจเข้าลึกสุดปอดถามว่า “เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น?”
เขารู้ดีว่าถ้าแค่นี้ชิงซวงคงไม่วิ่งมาถึงที่นี่เพื่อแจ้งข่าวเขา
ชิงซวงถอนหายใจ “สถานการณ์บานปลาย ผู้อาวุโสใหญ่ถึงกับออกโรงเอง หลังจากต่อสู้กับน้าจิ้ง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเหนือกว่า เขาจึงนำตราประทับเจดีย์โบราณออกมาและใช้เจดีย์บรรพบุรุษกักขังน้าจิ้งไว้”
เมื่อมู่เฉินได้ยินความโกรธก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาขณะที่ถามด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “เจดีย์บรรพบุรุษคืออะไร?”
“อาวุธมหสวรรค์ล้ำค่าของเผ่าฝูถู เจดีย์ที่พวกเราฝึกฝนก็มีต้นกำเนิดจากที่นั่น”
ชิงซวงกล่าวต่อ “แต่เจดีย์บรรพบุรุษแทบไม่ได้ใช้ แต่ถ้ามีการใช้งานแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังหวาดกลัว น้าจิ้งถูกขังอยู่ในนั้น ข้ากลัวว่านางจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
ในอดีตชิงเหยี่ยนจิ้งถูกคุมขังในเผ่า แต่นางก็สามารถไปไหนมาไหนได้ตามที่ต้องการด้วยพลังที่มี แต่ตอนนี้นางถูกคุมขังอยู่ในเจดีย์บรรพบุรุษ แม้ว่าจะไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ ต่อชีวิต แต่นางก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
มู่เฉินกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ใครก็บอกได้เลยว่าอารมณ์ของเขาคล้ายกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ
“มู่เฉินใจเย็นๆ!”
หลิงซีเดินเข้ามาจับมือเขาไว้
“ไอ้สารเลวพวกนั้น!” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานจากไอสังหาร มารดาของเขาอยู่ที่เผ่าฝูถูอย่างโดดเดี่ยว แต่ก็ยังวางเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของนาง เมื่อสิ่งสำคัญถูกละเมิดนางก็สติหลุดโดยลืมคิดผลที่ตามมา
แค่คิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกผิดมหันต์ในฐานะบุตรชาย!
“มู่เฉินอย่าเพิ่งผลีผลาม! แม้ว่าน้าจิ้งจะถูกกักขังอยู่ในเจดีย์บรรพบุรุษ แต่ด้วยพลังของนางจะไม่เป็นไรแน่นอน นอกจากนี้แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่กล้าบังคับน้าจิ้ง เพราะถ้าหลิงเจิ้นต้าจงซือที่เทียบได้กับจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะสู้โดยไม่สนใจผลตามหลัง แม้แต่เผ่าฝูถูก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ”
“ซึ่งราคานั้นไม่ใช่สิ่งที่ทางเผ่าจะรับทนได้!”
ชิงซวงพูดรัวเร็วจากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เหตุผลที่น้าจิ้งทำเช่นนี้เพื่อเป็นการเตือนเหล่าผู้อาวุโส อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนใดในเผ่ากล้าที่จะเคลื่อนไหวมาจัดการเจ้าอีกต่อไป”
ทว่าเมื่อพูดจบนางก็เห็นมู่เฉินจ้องมองมาอย่างเย็นชาขณะพูดว่า “งั้นข้าต้องคารวะขอบคุณพวกเขารึไง?”
ชิงซวงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เจ้าต้องรู้ว่าน้าจิ้งทำทั้งหมดนี้เพื่อปกป้องเจ้า”
สายตาของมู่เฉินยังคงมืดครึ้ม พักใหญ่ร่างกายที่สั่นเทิ้มก็สงบลง เขารู้ดีว่าแม้ว่าตอนนี้จะโกรธ แต่ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ ถึงเขาจะบุกตะลุยเข้าไปที่เผ่าฝูถู
เนื่องจากตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำให้คนเหล่านั้นหลาดกลัว
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยืนหนึ่งในที่อื่นๆ ได้ แต่ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็จะไม่สามารถต่อกรกับขั้วอำนาจสูงสุดระดับเผ่าฝูถูได้
มู่เฉินมองไปที่ชิงซวงอย่างเย็นชา “แล้วตระกูลชิงก็เฝ้าดูแม่ของข้าอยู่โดดเดี่ยวอย่างนั้นเรอะ?”
ชิงซวงกัดริมฝีปาก “ตระกูลชิงอ่อนกำลังกว่าตระกูลเฉวียนและมั่ว นอกจากนี้…ประมุขปัจจุบันของตระกูลชิงยังเป็นพวกสงวนท่าที ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอยห่างออกมาภายใต้แรงกดดันจากตระกูลอื่นๆ”
“ขี้ขลาดอะไรอย่างนี้ เขายังคิดไม่ออกถึงตรรกะการพึ่งพาซึ่งกันและกัน” มู่เฉินหัวเราะเยาะ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นประมุขตระกูลชิง แต่คนที่รู้วิธียอมเอาแต่หนีก็ไม่ต่างอะไรขยะเปียก
ชิงซวงยิ้มฝืดเฝื่อน “ข้ามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าว่า แม้น้าจิ้งจะสร้างความปั่นป่วนมากมาย จนผู้อาวุโสในเผ่าไม่กล้าทำอะไรเจ้าตอนนี้ แต่พวกเขามีเครือข่ายยอดเยี่ยม รู้จักกับจอมยุทธ์คนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาจัดการกับเจ้าได้”
มู่เฉินหรี่ตาลงพร้อมกับแสงเย็นเยือกวูบไหวภายใน ความรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยที่ตำหนักมู่สามารถครอบครองจักรวรรดิเหนือได้แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
ถึงแม้เขาจะมีช่วงเวลาที่ดีในจักรวรรดิเหนือ แต่เขาก็ยังต้องให้มารดาปกป้องเขาจากเผ่าคร่ำครึ มากจนนางต้องเสี่ยงและขัดขวางอันตรายสำหรับเขาทั้งหมดด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาแข็งแกร่งไม่พอ!
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอ่อนแอเกินไป ถ้าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเผ่าโบราณล้านปีนั่น
ถึงเวลานั้นมารดาก็ไม่ต้องถูกคุมขังเพื่อปกป้องเขาอีกต่อไป
“ขอบใจ” มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ก่อนที่สายตาจะสงบลงขณะที่มองไปที่ชิงซวง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องขอบคุณชิงซวงที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาส่งข่าวนี้ให้
ชิงซวงส่ายหน้าตอบอย่างรู้สึกผิดว่า “พวกเราเป็นคนที่ไม่สามารถช่วยเจ้าได้”
ทั้งๆ ที่มู่เฉินเป็นหนึ่งในสายเลือดชิง แต่พวกนางกลับทำอะไรไม่ได้เลย
มู่เฉินโบกมือเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหาทุกคนพูดว่า “ข้าจะออกจากที่ตำหนักมู่ชั่วคราว จะทิ้งป้ายราชันสังหารปีศาจไว้ให้ หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นคิดพยายามสร้างปัญหาที่นี่ ด้วยป้ายนี้ต่อให้ไม่พบข้า พวกเขาก็ไม่กล้าหาเรื่องตำหนักมู่มากนัก”
“แล้วเจ้าล่ะ?” มั่นถัวหลัวและหลิงซีถามพร้อมกัน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าไร้ขอบเขต ดวงตาสีดำเด็ดเดี่ยวมั่นคงขณะที่กำหมัดแน่น
“ถึงเวลาที่ข้าจะไปตามหาเส้นทางสู่เทียนจื้อจุนแล้ว…”