The Great Geneticist in Apocalypse
ตอนที่60 ไม่สปอยล์ดีกว่า
“ไม่ได้มันอันตรายเกินไป” เบลซส่ายหน้าปฏิเสธ
“นายก็เหมือนกันนั้นแหละไปคนเดียวได้ยังไง!? ให้ฉันไปด้วยเลยนะ” เอลลีพูดเชิงบังคับแบบน่ารักๆ
“ไม่ได้เธออ่อนแอเกินไปตอนกลางคืนมันอันตราย” เบลซปฏิเสธอีกครั้งพลางส่ายหัว
“งั้น นายก็ทําให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นซะสิ ถ้าฉันมีสองธาตุหละก็ไปกับนายได้แน่” เอลลี่พูดแล้วเข้าเกาะแขนเบลซ
“ยังไงก็ไม่ได้”
“อีกไม่ได้จริงๆหรอ?” เอลลี่ทําท่าน้อยใจเหมือนจะร้องไห้
“นี้เธอกลายเป็นคนขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เบลซคิดแล้วเลยตอบแบบหยวนๆ
“งั้นก็ได้แต่เธอต้องดูดซับพวกนี้ให้ครบก่อนนะ” เบลซเอาคริสตัลสองธาตุ<น้ําแข็ง ดินของนางพญาแมงปองคริสตัลเหมันต์ให้ และยังยื่นคริสตัลน้ําแข็งของแมงปองเหมันต์ และคริสตัลลมอีกสองชิ้นด้วย
“เย่ นายใจดีที่สุดเลย” เอลลี่ยิ้มหน้าบานก่อนจะเอาคริสตัลไปรีบดูดซับ
“นี้ฉันใจอ่อนไปมั้ยเนี่ย” เบลซเห็นเอลลี่แบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก็จริงอยู่มันก็รู้สึกดีแต่ว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีถ้าเขาตามใจเธอมากเกินไป อย่างรอบนี้ถ้าเกิดเจออะไรที่ตึงมือทําให้เขาไม่สามารถคอยปกป้องเธอได้ รอบนี้เบลซเลยต้องปรับแผนใหม่เป็นสํารวจขอบๆนอกบาเรียพอ
“วูซ” เอลลี่ดูดคริสตัลที่เบลซให้ไปเริ่มจากคริสตัลสองธาตุน้ําแข็ง ดิน ทําให้เธอได้รับช่องว่างเพิ่มจากหนึ่งธาตุเป็นสองธาตุและรับทักษะของมันมา
“วูซ” จากนั้นเธอดูดซับคริสตัลน้ําแข็งไปที่ให้เธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสองธาตุลม น้ําแข็ง>
“วูซ วูซ” แล้วเธอก็ดูดซับคริสตัลธาตุลมที่เหลืออีกสองชิ้น
“เป็นยังไงบ้าง” เบลซถาม
“ก็ดี” เอลลี่พูดแล้วเรียกระบบออกมาให้เบลซดู
ชื่อ เอลลี่ ชาล็อตเต้ เหรียญชีวิต85เหรียญ
ระดับ12
สิ่งมีชีวิตระดับ ขาว(18/100) พลังธาตุ ลม น้ําแข็ง
อาชีพ นักดาบฝึกหัด
อาชีพเสริม ไม่มี
ฉายา ไม่มี
Strength(แรงกาย) : 13
Agility(ความว่องไว) : 18
Vitality(พละกําลัง) : 12
Stamina(ความทรหด) : 13
Spirituality(จิตวิญญาณ) : 12
ทักษะ
<เชี่ยวชาญดาบขั้น1(ขาว) โจมตีดาบจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น5%
-ร้อยคมเหมันต์(เขียวอ่อน)> ปลดปล่อยคมไอเย็นนับร้อยโจมตีใส่ศัตรูใช้spiritualityครั้งละ 10แต้ม (พลังโจมตีธาตุน้ําแข็ง+100%)
ร้อยคมเหมันต์เป็นทักษะที่ดีก็จริงแต่ว่ามันเป็นทักษะระดับเขียวอ่อน เอลลี่ที่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตสีขาวยังใช่มันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะเธอยังมีพลังจิตวิญญาณน้อยเกินไป การใช่แค่ครั้งเดียวสามารถทําให้เธอปวดหัวอย่างหนักถึงหมดสติได้เลย
“เอาหละงั้นไปกันวันนี้เราจะไปแค่รอบๆนอกบาเรียพอ”
“อือ” เอลลี่พยักหน้ารับ
แล้วเบลซกับเอลลี่ก็เดินออกไปภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยควงดาวระยิบระยับ
“จะ- จับมือด้วย เดี๋ยวก็หลงหรอก” เอลลี่คว้ามือของเบลซขึ้นมาจับก่อนจะทําหน้าอายๆ
“อิ่ม
ทั้งคู่เดินอยู่รอบๆไม่เจอสัตว์อสูรอยู่บริเวณขอบรอบๆบาเรียเลยซักตัว ถึงจะได้ยินเสียงอยู่ไม่ไกลมากก็เถอะ
“จะว่าไปนายหาอะไรหรอถึงต้องมาหาตอนกลางคืน?”
“มาหากุหลาบชําระล้างหนะมันเป็นกุหลาบสีขาวที่จะเรืองแสงตอนกลางคืน” เบลซพูดแล้วก็เล่าถึงลักษณะ คุณสมบัติและความสําคัญของกุหลาบชําระล้าง
“อื้องั้นเรามาช่วยหากันเถอะ” เอลลี่พูดด้วยรอบยิ้มก่อนจะหาต่อไป
“เอ่ออ ไม่เจอซักทีแล้วเมื่อไหร่ฉันจะเดินระบบประปาฐานเสร็จหละเนี่ย” เบลซถอนหายใจ
หลังจากเดินรอบๆแล้วก็หาไม่เจอเอลลี่เลยเสนอว่า
“นายไม่ลองหาตามริมแม่น้ําดูหละไม่แน่ว่าอาจจะเจอก็ได้นะ?”
“อืม งั้นไปก็ได้” เบลซไม่ได้หวังอะไรมากแต่ก็ไปเพราะมันแปปเดียวแล้วก็จะได้ซึมซับช่วงเวลาดีๆนี้อีกหน่อย
เอลลี่จูงมือเบลซเดินไปที่ริมแม่น้ําด้วยรอยยิ้มสดใสหลังจากเดินเลาะไปตามริมแม่น้ําซักหนึ่งร้อยเมตร เอลลี่ได้กระตุกมือบอกเบลซ “ตรงนั้นมีอะไรกระพริบๆด้วยหละ”
“หึมม” เบลซหันไปมองตรงที่เอลลี่บอกถึงจุดนั้นห่างออกไปราวๆ50เมตร แม้ว่าตรงนั้นจะถูกเถาวัลย์และพุ่มไม้บดบัง แต่เบลซก็ยังเห็นแสงสีขาวที่ลอดออกมาตามช่องว่างได้อย่างชัดเจน
“มีความเป็นไปได้สูง เธอนี้มันตัวนําโชคจริงๆ” เบลซพูดด้วยความดีใจ
“ใช่ม่ะๆ” เอลลี่ยิ้มหน้าบานประมาณว่า “นี้คือความชอบของฉัน!” แล้วถามต่อว่า “แล้วนายจะให้อะไรฉันเป็นรางวัล”
“แล้วเธออยากได้อะไรหละ” เบลซพูดแบบที่เล่นที่จริง
“หะ หอมแก้มฉันซะ” เอลลี่พูดด้วยความเหนียมอาย
“นี้ยังไม่ใช่เวลา อย่างลืมสิว่าอยู่นอกเขตบาเรีย ต้องระวังตัวมากกว่านี้ เข้าใจมั้ย?” เบลซเคาะหัวเอลลี่ทีนึงแล้วพูดเบาๆด้วยความเป็นห่วง
“เข้าใจแล้ว ขอโทษจ๊ะ” เอลลี่พูด ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้บอกความรู้สึกของกันและกัน แต่ก็ยอมรับในความสัมพันลึกซึ้งที่คลุมเครือ แต่ในอนาคตเธอก็จะทําให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น
“งั้นเราไปกันเถอะเงียบๆหละ” เอลลี่กระซิบลมหายใจอุ่นๆกระทบที่ใบหูเบลซเบาๆ
“อืม” เบลซพยักหน้าเบาๆก่อนจะค่อยๆย่องไปดูแสงสีขาวว่ามันใช่ต้นกุหลาบชําระล้างที่เค้ากําลังหาอยู่รึปล่าว
“แซด แซด แซด”
เบลซกับเอลลี่ค่อยๆย่องไปในความมืดเลาะไปตามต้นไม้และพุ่มไม้จนเห็นจุดที่เรื่องแสงสีขาวชัดๆ
“ใช่จริงๆด้วย” เบลซมองไปที่แหล่งกําเนิดแสงมันเป็นต้นกุหลาบที่ทั้งความสูงและขนาดของดอกมันก็ดูปกติแต่ว่ามันกลับเรืองแสงสีขาว
“ไปเก็บมันเลยดีมั้ย?” เอลลี่กระซิบ
“เดี๋ยวก่อน” เบลซพูด
“แซด แซด แซด”
“สังเกตไหมว่ารอบๆนี้แทนที่จะเป็นพื้นดินแต่กลับเป็นพื้นทราย” เบลซกวาดมือไปที่พื้นแล้วกําขึ้นมาดูพื้นรอบๆนี้เต็มไปด้วยทรายหนาราวๆหนึ่งเซนติเมตร แต่ว่ายิ่งเค้าเข้าใกล้เค้าก็ยิ่งสังเกตว่าเท้าของเขาจมลงไปเยอะขึ้นขนเกือบจะถึงตาตุ่มแล้ว ส่วนสาเหตุที่เห็นยากก็เพราะว่ามันเป็นทรายสีน้ําเงินคราม พอตอนกลางคืนมืดๆแล้วก็เลยไม่ได้สังเกต
“จริงด้วย” เอลลี่พูดเสียงเบาๆด้วยความประหลาดใจ
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังตัวหนะ” เบลซดุ
“ขอโทษ ขอโทษ ครั้งหน้าจะระวังมากขึ้น” เอลลี่ตอบกลับมาด้วยท่าทางจริงจัง
“แซด แซด” มีเสียงเสียดสีกับทรายเบาๆเกิดขึ้นถ้าเป็นคนทั่วๆไปหละก็คงจะตอบสนองไม่ทัน และคิดว่าเป็นเพียงแค่ลมพัดไปกับทราย แต่เบลซที่มีวิวัฒนาการเป็นสีเขียวอ่อนแล้วปฏิกิริยาไวจนสามารถมองทันแน่นอน เค้าสังเกตเห็นมันที่มีอะไรบางอย่างนูนๆและซ้อนอยู่ใต้ทราย
“ประเมิน” เบลซมองไปที่จุดที่มันหยุดเคลื่อนที่และคิดในใจ
“เป้าหมายถูกปกปิด”
“มีตัวอะไรจริงๆด้วย” เบลซคิดถึงแม้จะไม่ได้ข้อมูล แต่ว่าจากคําตอบของทักษะหมายความว่ามีเป้าหมายแสดงว่าต้องเป็นสัตว์อสูรแน่ๆ แต่ว่าเป็นตัวอะไรหละ?
“มันมีกี่ตัวหละเนี่ย แถมนี้ก็เป็นตอนกลางคืนด้วย” ที่เบลซสังเกตได้ตอนนี้ มันยังมีแค่ตัวเดียวแต่ว่ารอบๆนี้มีพื้นทรายค่อนข้างกว้าง ไม่แน่ว่าจะมีมากกว่านี้ แถมยังมีเอลลี่อยู่ด้วย ถ้ามันเป็นแค่สัตว์อสูรระดับขาวก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่เค้าคงไม่สามารถผละออกมาปกป้องเธอได้ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น
“เอลลี่เธอถอยไปก่อนนะ” เบลซกระซิบ
“ทําไมหละ?” เอลลี่ตามแต่เบลซก็ทําสัญลักษณ์ให้เธอเงียบก่อนจะชี้ไปที่เนินทรายที่ดูนุนๆนึดนึงใช่นั้นคือตําแหน่งที่มีสัตว์อสูรปริศนาอยู่
เอลลี่ที่เห็นก็รู้ได้ทันที่เธอมองไปที่เบลซก่อนจะพูดว่า “ระวังด้วยหละ” แล้วเดินออกไปห่างๆเพื่อไม่ให้เกะกะ แต่ในใจจริงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเธอจะเข้าไปช่วยเขาแน่นอน
MANGA DISCUSSION