The Great Demon System - ตอนที่ 45 : ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตระกูล
ค่าสถานะปัจจุบันของโมบี้ตอนนี้คือ
————————————-
ชื่อ: โมบี้ เคน
เผ่าพันธุ์: ปีศาจระดับต่ำ
เลเวล: 21
XP ไปยังเลเวลถัดไป 0/10000
ระดับพลัง: 4400
พลังชีวิต: 120/120
พลังงานปีศาจ: 110/110
อัตราการฟื้นฟูพลังปีศาจ: 55 หน่วย / ชั่วโมง
ความแข็งแกร่ง: 121
ความคล่องตัว: 136
ความอดทน: 73
ความฉลาด: 110
พลังจิต: 30
แต้มสถานะที่สามารถใช้ได้: 0
————————————-
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น โมบี้จึงใช้ทักษะตรวจสอบของเขาเพื่อดูว่าเขานั้นด้อยกว่าคนรับใช้ของตัวเองมากแค่ไหน
————————————-
ชื่อ: เจย์เดน กริฟฟิธ
เผ่าพันธุ์: ปีศาจระดับต่ำ (Doppelganger)
ความสามารถ: เงา ระดับ 4
เลเวล: 25
XP: 8500/15000
ระดับพลัง: 6770
พลังชีวิต: 120/120
มานา: 180/180
พลังงานปีศาจ: 180/180
ความแข็งแกร่ง: 177
ความคล่องตัว: 212
ความอดทน: 108
ความฉลาด: 180
พลังจิต: 25
————————————-
————————————-
ชื่อ: แอ๊บบี้ รีด
เผ่าพันธุ์: ปีศาจ (Necromancer)
ความสามารถ: ไฟ ระดับ 4
เลเวล: 30
XP: 0/30000
ระดับพลัง: 9120
พลังชีวิต: 150/150
มานา: 250/250
พลังงานปีศาจ: 250/250
ความแข็งแกร่ง: 301
ความคล่องตัว: 208
ความอดทน: 161
ความฉลาด: 250
พลังจิต: 50
————————————-
ขณะที่โมบี้กำลังตรวจสอบค่าสถานะของคนรับใช้ของเขาก็มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเขาเป็นพิเศษ
‘เลเวล 30 ? นั่นคือเลเวลเมื่อมีการวิวัฒนาการงั้นเหรอ ? ฉันก็อีกไม่ไกลแล้วนี่! ด้วยอัตราการเพิ่มปริมาณ XP หลังจากเพิ่มคนรับใช้อีกคนของฉัน ฉันอาจจะไปถึงเลเวล 30 ได้ก่อนสอบ!’ โมบี้คิดอย่างตื่นเต้น
‘ฉันน่าจะมีเลเวลเท่าเจย์เดนได้ภายในสิ้นเดือนนี้ และเมื่อฉันวิวัฒนาการตอนที่เลเวลเท่ากับแอ๊บบี้ ด้วยความสามารถของฉัน ฉันก็น่าจะเก่งกาจกว่าเธอ สุดท้ายแล้วฉันก็จะเหนือกว่าทั้งคู่ด้วยปริมาณ XP ที่ได้จากทั้ง 2 คน! ฉันจะไม่เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดแบบนี้อีกนานนักหรอก!’ โมบี้คิดพลางหัวเราะออกมาด้วยความสุข
“นายท่าน…”
“นายท่าน…”
“นายท่านคะ!”
ทันใดนั้นโมบี้ก็หลุดออกจากความคิดของเขาและเห็นแอ๊บบี้กำลังเขย่าแขนเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเธอ
“นายท่านเป็นอะไรหรือเปล่า! ท่านยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนี้มา 2 นาทีแล้วนะคะ!” แอ็บบี้ร้องถามด้วยความกังวล
* อะแฮ่ม *
“โทษที ฉันไม่เป็นไร ขอโทษที่ทำให้เธอกังวลนะ ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” โมบี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
โมบี้เห็นร่างของเจย์เดนที่อยู่ด้านหลังก็กำลังหัวเราะเบา ๆ
เธอรู้ดีเกี่ยวกับ “ช่วงเวลาแห่งความคิด” ของโมบี้ เขามักจะทำแบบนี้เสมอเมื่อคิดวิธีทรมานออกหรือเมื่อมีแผนการดี ๆ ในหัว
“ฉันดีใจที่นายท่านไม่เป็นไร! อย่างที่ฉันถามท่านตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ฉันได้พยายามใช้ความสามารถของ Necromancer ของฉันแล้ว แต่ฉันก็ทำมันไม่สำเร็จสักครั้ง ท่านช่วยสอนวิธีใช้พลังของฉันได้ไหม” เธอถามแกมขอร้องพลางนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้น
“แน่นอน ฉันจะสอนวิธีควบคุมพลังงานปีศาจของเธอ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานใหม่ที่ตอนนี้เธอมีนอกเหนือจากมานาของตัวเอง”
“ฉันจะทำตามคำแนะนำของท่านทุกคำเลยค่ะ นายท่าน!” เธอตอบ
หลังจากลองนั่งสมาธิเพียง 5 วินาที แอ๊บบี้ก็สามารถรู้สึกและใช้พลังงานปีศาจของเธอได้
นั่นเร็วกว่าเจย์เดนในตอนแรกด้วยซ้ำ แม้จะไม่มากนัก
ณ จุดนี้ โมบี้ไม่แปลกใจเท่าไหร่
‘มันเป็นเรื่องปกติที่ปีศาจสามารถรับรู้ถึงพลังปีศาจของตัวเอง หรือว่าเธอนั้นเป็นคนที่เรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็ว’ โมบี้คิด
‘มันเป็นปกติ ปีศาจก็ย่อมรับรู้ถึงพลังปีศาจ’ เอวิเลียกล่าว
‘ขอบใจที่ช่วยตอบนะ’ โมบี้คิดตอบเธอ
โมบี้ยังสอนแอ๊บบี้ถึง “Energy Sense” และ “Nature’s stimulation” ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอนในอนาคต
“ขอบคุณมากสำหรับการสอนความสามารถพวกนี้ นายท่าน! คำแนะนำของท่านไม่มีที่ติและเข้าใจง่าย ตอนนี้ฉันรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก!” แอ็บบี้กล่าวแล้วนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปกับพื้นอีกครั้ง
“มันไม่มีอะไรพิเศษหรอกน่า ตอนนี้ลองใช้พลัง Necromancer ของเธออีกครั้งสิ” โมบี้พยายามตัดบทคำพูดของแอ๊บบี้
“ได้ค่ะ นายท่าน! อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ฉันต้องการซากศพเพื่อเรียกโครงกระดูกหรือซอมบี้ และฉันต้องประกอบพิธีกรรมหรือเงื่อนไขบางอย่างเพื่อเรียกอสูรอันเดธระดับสูงออกมา ดังนั้นสิ่งที่ฉันน่าจะสามารถทำได้ตอนนี้คือเรียกวิญญาณระดับต่ำมาก ๆ เท่านั้น” แอ๊บบี้กล่าว
“ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นนักเรียนที่ใช้ได้เลยนะ” โมบี้พยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันไม่สมควรได้รับคำชมอย่างนั้นหรอกค่ะ เป็นเรื่องธรรมดาที่คนรับใช้จะต้องจดจำทุกคำที่เจ้านายของตัวเองพูด” แอ๊บบี้พูดขณะยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น
มี 3 อย่างที่โมบี้กำลังคิดอยู่ในหัวตอนนี้
‘1.หัวเข่าของเธอต้องเจ็บมากแน่ ๆ จากการคุกเข่าครั้งแล้วครั้งเล่า
2.ก็แค่รับคำชมเฉย ๆ ไม่ได้หรือไงล่ะ!’
3.แล้วมันอะไรกันเนี่ย!? เธอจำทุกสิ่งที่ฉันพูด! นี่ฉันต้องระวังให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันจะพูดในอนาคตเผื่อว่าเธออาจจะตีความคำพูดของฉันผิดไป’
“ฉันจะพยายามเรียกวิญญาณระดับต่ำออกมาค่ะ จะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง!” เธอพูดขณะยกแขนขึ้นสร้างลูกบอลสีม่วงที่ดูเหมือนก้อนพลังงาน
ลูกบอลดูไม่มั่นคงอย่างมาก บิดเบี้ยวไป ๆ มา ๆ และขยับเปลี่ยนรูปทรงต่าง ๆ ก่อนที่จะหยุดลงด้วยการเป็นรูปดาว
ดาวนั้นมีขนาดประมาณเล็บมือ มันถูกล้อมรอบไปด้วยออร่าสีม่วงที่เปล่งประกายจาง ๆ เมื่อมันเคลื่อนที่มันจะทิ้งร่องรอยเป็นสีม่วงเล็ก ๆ ไปตามทาง
‘เธอพึ่งเรียกวิปส์ (Wisp) ออกมา! มันเหมาะสำหรับการสอดแนมจากระยะไกล! มันเป็นหนึ่งในวิญญาณระดับต่ำที่ใช้ได้เลย!’ เอวิเลียรีบบอกโมบี้ทันทีที่เห็นสิ่งนั้น
‘การสอดแนมระยะไกล … ดูเหมือนมันก็มีประโยชน์มากเลยทีเดียว!’ โมบี้คิดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อโมบี้ตรวจสอบพลังงานปีศาจของแอ๊บบี้หลังจากที่เธอเรียกวิญญาณนั่นออกมาโดยใช้ทักษะการตรวจสอบของเขา มันแสดงว่าเธอมีพลังงานปีศาจเหลืออยู่ 150/250
‘แม่ง! ใช้พลังงานปีศาจตั้ง 100 เพียงเพื่อเรียกไอ้ตัวเล็ก ๆ แค่เนี้ยะนะ! ถ้าจะเรียกอะไรที่ดีกว่านี้คงต้องใช้พลังปีศาจเป็นพันหน่วยแน่ ๆ !‘ โมบี้คิด
“มันก็ดูสวยดีนะ!” แอ๊บบี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข
“ใช่แล้ว!” เจย์เดนตอบพลางชื่นชมความสวยงามของมัน
“ฉันอยากลองดูว่าจะเปลี่ยนร่างเป็นแบบนั้นได้ไหม!” เจย์เดนกล่าวพลางกระโดดขึ้นลงด้วยความตื่นเต้น
ทันใดนั้นร่างของเจย์เดนก็หดตัวลงจนมีขนาดเท่ากับเล็บมือ ก่อนที่จะค่อยเปลี่ยนรูปเป็นดาวเหมือนวิปส์
“เย้! ฉันทำได้ด้วย” เธออุทานด้วยความดีใจ
‘เดี๋ยวก่อน Doppelganger สามารถเปลี่ยนร่างเป็นพวกอสูรอันเดธได้ด้วยเหรอ ? นั่นมันเป็นวิญญาณไม่ใช่เหรอ ?’ โมบี้ถามเอวิเลีย
‘ใช่ แต่เมื่อ Doppelganger เปลี่ยนรูปร่างของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนเผ่าพันธุ์ เธอยังคงเป็นปีศาจ เหมือนเดิม ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนแค่เพียงรูปลักษณ์และใช้พลังของมันได้เท่านั้น ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเธอจะยังคงเหมือนเดิม’ เอวิเลียตอบ
‘แล้วเธอพูดโดยที่ไม่มีกล่องเสียงได้ยังไงล่ะ ?’ โมบี้ถามเอวิเลีย
‘ก็เหมือนกับการพูดคุยของพวกผีและอสูรอันเดธอื่น ๆ แม้ร่างจะเน่าเปื่อยหรือไม่มีกล่องเสียงอยู่จริง แต่ด้วยเวทมนตร์ของเสียง ฉันรู้มาว่าเวทมนตร์ของเสียงนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเหล่าอสูรอันเดธ แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่เคยลองใช้นะ เพราะฉันไม่เคยเป็น’ เอวิเลียตอบ
‘อืม ก็แปลกดี’ โมบี้พยักหน้ารับรู้
“สุดยอดเลย! นี่คือพลังของ Doppelganger งั้นเหรอ!” แอ็บบี้อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ฉันขอโทษถ้าฉันจะถามคำถามที่อาจจะหยาบคาย แต่นายท่านมีความสามารถอะไรที่สุดยอดบ้างเหรอคะ” เธอถามอย่างตื่นเต้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อืม ฉันทำแบบนี้ได้!” โมบี้พูดพลางยกตัวของเธอขึ้นโดยใช้ “Devil’s hand”
“นี่ ก็ทำได้” โมบี้ใช้ทักษะ “Eyes of Sin” ของเขา
โมบี้วางแอ๊บบี้ลงที่พื้นก่อนจะแสดงท่าทางที่เหลือของเขา
“นี่เช่นกัน” โมบี้กล่าวโดยแล้วใช้ “Demon Flash” ของเขาพุ่งไปรอบ ๆ สนามประลองที่มองดูแล้วเหมือนจะเป็นภาพเบลอเพราะความเร็ว
“นี่ก็ด้วย!” โมบี้กล่าวโดยใช้ทักษะ “Hell’s Fist”
“ขอโทษนะคะนายท่าน แต่ฉันไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นเลย” แอ๊บบี้ถามด้วยความสับสน
“ใช้ “Energy Sense” ของเธอมองสิ” โมบี้ตอบ
ทันทีที่เธอใช้ทักษะตามที่โมบี้บอก เธอก็เห็นออร่าสีม่วงรอบ ๆ หมัดของโมบี้
“เหลือเชื่อมากนายท่าน!” เธออุทาน
“ฉันยังสามารถทำการใช้พลังนี่ร่วมกับดาบได้ด้วยนะ” โมบี้กล่าวพร้อมกับใช้ “Demon slash”
“แล้วสุดท้ายฉันก็สามารถใช้ทักษะที่ทำให้เป็นอัมพาตได้เหมือนที่เคยใช้กับเธอในทัวร์นาเมนต์ของห้องเรียนเรา และฉันก็ยังสามารถควบคุมจิตใจเล็กน้อยกับคนที่อ่อนแอกว่าฉัน” โมบี้อธิบาย
“พลังของนายท่านมันเหลือเชื่อมาก! ขนาดนายท่านยังไม่มีความสามารถ ทว่ากลับทรงพลังขนาดนี้! เหมาะสมกับเจ้าปีศาจมากเลยค่ะ!” แอ๊บบี้พูดพร้อมกับมองโมบี้ด้วยรอยยิ้ม
‘ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเธอกำลังสนุกหรือชมเชยฉันจริง ๆ แต่ไม่ว่าจะด้วยเพราะอะไร ฉันจะเหนือกว่าเธอในไม่ช้าและได้รับพลังที่สุดยอดกว่านี้แน่’ โมบี้คิดอย่างมีความสุข
“ขอบใจมากสำหรับคำชม” โมบี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
“เนื่องจากตอนนี้เธอเป็นสมาชิกของตระกูลแล้ว ฉันจะบอกเธอเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเจย์เดนจนมาถึงตอนนี้” โมบี้กล่าว
‘มันจะดีกว่าที่จะบอกความจริงกับเธอในตอนนี้แทนที่จะให้เธอรู้เองในภายหลัง อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ยังสามารถควบคุมเธอได้อย่างเต็มที่ แม้มีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่เธอจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพวกเรา’
**************************
15 นาทีต่อมา…
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ !! เธอยัดไอ้นั่นของเขาใส่ปากของตัวเอง!! นี่มันโคตรตลกเลย! เขาสมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้ ฉันอยากลองทำแบบนี้ใส่พ่อของฉันบ้าง ฮ่า ๆ ๆ ๆ!!! แอ๊บบี้พูดออกมาอย่างยากลำบากขณะ ขำกลิ้งอยู่บนพื้น
“เธอและนายท่านช่างสร้างสรรค์วิธีการทรมานได้สุดยอดไปเลย ส่วนตัวฉันยังไม่เคยทรมานใครด้วยตัวเอง แต่ฉันสัญญาว่าฉันเต็มใจที่จะลองทำมันนะ! ฉันต้องเรียนรู้วิธีการที่จะทำเรื่องพวกนี้อย่างถูกต้องเพื่อให้พวกมันกลัวและเจ็บปวดมากที่สุด เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะต้องลองกับครอบครัวของฉันเอง ฉันจะได้ลงมือทำอย่างเต็มที่!”
“ฉันจดจำทุกอย่างที่นายท่านกับเธอทำลงไป การให้ความสุขปลอม ๆ หรือให้ความหวังที่ผิด ๆ กับใครสักคนฟังดูแล้วน่าจะสนุกมาก ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นหน้าตาของพี่สาวเมื่อฉันทำกับเธอแบบนั้น!” แอ๊บบี้กล่าวพลางหัวเราะแบบซาดิสต์ออกมา
“ไม่ต้องกังวล ฉันแน่ใจว่าในที่สุดเธอจะได้ลองทำสักสองสามอย่างแน่นอน!” โมบี้พูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ ออกมา
“ขอบคุณมากค่ะ นายท่าน! มันมีความหมายมากสำหรับฉัน!” แอ๊บบี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่จริงเรามีเป้าหมายอยู่แล้ว ฉันจะปล่อยให้เธอไปลองกับคน ๆ นั้น! แต่ความสนุกส่วนใหญ่จะสงวนไว้สำหรับเจย์เดน เธอเป็นคนที่ต้องการให้คนนั้นตายมากที่สุด!”
หลังจากที่โมบี้อธิบายสถานการณ์ให้แอ๊บบี้ฟังดวงตาของเธอกลายเป็นประกายอย่างเชื่อมั่น
“ศัตรูของนายท่านก็เป็นศัตรูของฉันเช่นกัน ฉันไม่สามารถให้อภัยเธอในสิ่งที่เธอทำกับเจย์เดนได้!” แอ๊บบี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
“ดีใจ ที่ได้ยินแบบนั้นนะ!” โมบี้กล่าว
“นอกจากนี้นะโมบี้ ฉันลืมพูดถึงเลย หลังเลิกเรียนวันนี้ยัยสารเลวนาตาเลียนั่นบอกฉันว่า”
“วันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นนะ! เลยจัดให้เบา ๆ ไปก่อน! จากนี้ไปฉันจะทำให้ชีวิตของเธอเหมือนอยู่ในนรกเลยทีเดียว!”
“ฉันอยากจะฆ่ายัยสารเลวนั่นจริง ๆ แต่ฉันพยายามรั้งตัวเองไว้ โดยปกติแล้วเมื่อมีคนที่มีระดับพลังสูงกว่าฉันพยายามทำอะไรแบบนี้กับฉัน ฉันจะรายงานเรื่องพวกเขาให้พ่อของฉันฟังเสมอและเขาจะจัดการให้”
“แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันพบว่ามันไม่สนุกเลย ถ้าฉันไม่ได้ลงมือทำมันด้วยตัวเองแล้วมันจะได้อะไร”
“ฉันจะอดทนจนกว่าจะถึงตอนสอบ มันจะต้องคุ้มค่ากับเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดและหยดน้ำตาของเธอที่หวานฉ่ำกว่านี้แน่!”
“ฉันยังไม่รู้ว่าแรงจูงใจของเธอคืออะไรหรือทำไมเธอถึงแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อฉันแบบนั้น แต่ฉันไม่สน ไม่มีใครทำแบบนี้กับฉันโดยที่ไม่ได้รับสิ่งแย่ ๆ คืนกลับไป!” เจย์เดนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ
“ไม่ต้องห่วง! ฉันจะสนับสนุนเธอเต็มที่เลย!” แอ๊บบี้พูดพลางวางมือบนไหล่ของเจย์เดน
“แน่นอน!” โมบี้พยักหน้าเห็นด้วย
“ตอนนี้ก่อนที่เราจะหมดเวลาสำหรับวันนี้ ฉันอยากทดลองอะไรสองสามอย่างเพื่อทดสอบพลัง Necromancer ของแอ็บบี้…” โมบี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
**************************
4 ชั่วโมงต่อมา…
ตลอด 4 ชั่วโมงที่ผ่านมาโมบี้ได้ทำการทดลองต่าง ๆ มากมาย
อย่างแรกคือการทดสอบว่าวิปส์ของแอ๊บบี้มีขอบเขตจำกัดว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน
แอ็บบี้สามารถควบคุมวิปส์ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความคิดของเธอ แล้วสั่งมันบินออกไปนอกคฤหาสน์ขึ้นไปบนท้องฟ้า วิปส์นั้นค่อนข้างเร็วโดยอยู่ที่ประมาณ 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมันสามารถบินไปได้ไกลเพียง 2 นาทีจากคฤหาสน์ของเจย์เดนด้วยความเร็วเต็มที่ นั่นหมายความว่าระยะที่ไกลที่สุดอยู่ที่ประมาณ 20 ก.ม.
โมบี้ไม่แน่ใจว่านั่นคือระยะสูงสุดที่เหล่าสมุนของเธอไปได้หรือเปล่าหรือเป็นเพียงแค่วิปส์เท่านั้น
เมื่อเขาพยายามถามเอวิเลีย เธอก็บอกว่าเขาควรจะลองคิดดูด้วยตัวเองก่อน
เมื่อเจย์เดนกลายร่างเป็นวิปส์ เธอสามารถพรางตัวได้ดีขึ้นโดยใช้ความสามารถเงาของเธอ ซึ่งจะมีประโยชน์มากสำหรับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแอบซ่อนเช่นการสอดแนม
เจย์เดนเมื่อแปลงร่างเป็นวิปส์นั้นช้ากว่าวิปส์ของแอ๊บบี้ 30% เนื่องจากความเร็วสูงสุดของเธออยู่ที่ 420 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น อย่างไรก็ตามเธอสามารถเคลื่อนที่ได้ไกลเท่าที่เธอต้องการโดยไม่มีขอบเขตซึ่งแตกต่างจากวิปส์ของแอ๊บบี้ที่มีระยะสูงสุดแค่ 20 ก.ม.
นอกจากนี้แอ็บบี้ยังสามารถค้นพบว่าเธอสามารถมองเห็นผ่านการมองเห็นของวิปส์ของเธอเองได้โดยการใช้พลังงานปีศาจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โมบี้ยังค้นพบว่าทั้งเจย์เดนและแอ๊บบี้นั้นสามารถเชื่อมโยงทางความคิดและสามารถสื่อสารกันทางโทรจิตได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถสนทนากันได้ 3 ทางเนื่องจากการเชื่อมต่อนั้นไม่ได้จำกัดแค่ครั้งละ 2 คน
แอ๊บบี้พยายามเรียกวิญญาณอันเดธตัวอื่น ๆ ออกมาแต่ก็ไม่มีผล
โมบี้คิดว่ามันเป็นเพราะวิปส์เป็นวิญญาณอันเดธเพียงตัวเดียวที่เธอสามารถอัญเชิญได้ในตอนนี้หรือเธออาจจะต้องฝึกฝนเพิ่มเติม
เมื่อทั้งกลุ่มทำการทดลองเสร็จสิ้น เวลาตอนนี้ก็คือ 22:30 น.
พวกเขาทั้งหมดมุ่งหน้าไปที่ห้องอาหารซึ่งหัวหน้าพ่อครัวของ เจย์เดนกำลังเสิร์ฟอาหารค่ำรสเลิศให้พวกเขา
“อร่อยมาก! วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดเลย!” แอ๊บบี้พูดพลางตักอาหารเข้าปาก
“ตอนแรกฉันว่าเธอแปลก ๆ อยู่นิดหน่อย แต่ตอนนี้ฉันได้รู้จักเธอมากขึ้น ฉันหวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน! เราจะต้องทำงานร่วมกันไปอีกนานเนื่องจากเราเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลปีศาจเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้นะ” เจย์เดนกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่เธอหั่นสเต็กด้วยมีดและส้อม
“พะ … พะ… เพื่อนเหรอ ฉันขอโทษนะ แต่เธอแน่ใจจริง ๆ เหรอว่าต้องการเป็นเพื่อนกับคนแบบฉัน ฉันไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนเลยในชีวิต…” แอ๊บบี้พูดขณะกินอาหารของเธอช้าลง
“ไม่ต้องห่วงน่า! ฉันก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ เมื่อสัปดาห์ก่อนฉันยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน แต่หลังจากที่ฉันได้เจอกับโมบี้ เขาก็เป็นเพื่อนแท้คนแรกของฉัน! และชีวิตฉันดีขึ้นกว่าเดิมเป็นล้านเท่า!” เจย์เดนขณะแก้มแดงขึ้นเล็กน้อย
“เธอกับนายท่านเป็นเพื่อนกันเหรอ!?” เธออุทานด้วยความตกใจ
“แน่นอน เพียงแค่เขาเป็นหัวหน้าของเราไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นเพื่อนกับเขาไม่ได้ซักหน่อย” เจย์เดนพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ออกมา
“นั่นก็จริงนะ” โมบี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเราทุกคนถึงไม่มาเป็นเพื่อนกันล่ะ ? เราต้องพยายามแข็งแกร่งไปด้วยกัน ในเมื่อเราต้องการทำงานร่วมกันไปตลอดชีวิต ปีศาจน่ะมีชีวิตเป็นอมตะนะ เธอก็รู้นี่!” โมบี้กล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“นา… นาย… นายท่าน…ถ้านายท่านพูดอย่างนั้น ฉันก็จะเป็นค่ะ” แอ็บบี้กล่าวตอบ มันยากที่จะเชื่อว่านายท่านของเธอเป็นคนดีมากแค่ไหน
“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อฉันมีผู้ติดตาม ฉันก็ต้องการกลุ่มคนที่ฉันสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ฉันไม่สามารถทำเป็นจริงจัง หรือเจ้ายศเจ้ายาได้ตลอดเวลาหรอกนะ นั่นไม่ใช่คนแบบที่ฉันเป็นหรืออยากเป็นซักหน่อย” โมบี้อธิบาย
“มัน…มัน…เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความเคารพอย่างสูงจากนายท่านเช่นนี้” แอ็บบี้กล่าวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของเธอ
“มันก็เป็นเรื่องธรรมดานะ ที่ฉันจะอยู่ในกลุ่มนั้น!” เจย์เดนพูดพร้อมกับหันไปพยายามซ่อนใบหน้าที่แดงเรื่อของเธอ
“เราได้ทำการทดลองหลายอย่างเลยในวันนี้ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจพลังของแอ๊บบี้ได้ดีมากขึ้น”
“แต่ฉันยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจะทดสอบ”
“เราจะไปทัศนศึกษากันพรุ่งนี้!” โมบี้กล่าวอย่างตื่นเต้น
“ทัศนศึกษา! ฟังดูน่าสนุก!” เจย์เดนอุทานออกมา
“ไปไหนเหรอ นายท่าน” แอ๊บบี้พูดด้วยความอยากรู้
“สุสาน!”