The Great Demon System - ตอนที่ 29 : คู่หู
เจย์เดนกลายร่างกลับสู่ร่างปกติของเธอก่อนที่จะเริ่มสนทนาต่อ
“นายติดต่อฉันตอนที่กำลังเรียนอยู่เพื่อขอให้ฉันแปลงร่างเป็นนาย และไปที่ห้องทำงานของนายพลเพื่อตอบคำถามที่พุ่งเป้าความสนใจมาที่ฉัน! นายไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรกับฉันเลย! แล้วฉันยังต้องเสียเวลาทานอาหารเที่ยงไปกับการพูดคุยกับนายพล! เพียงเพราะว่านายขี้เกียจที่จะไปด้วยตัวเอง!” เจย์เดนพูดอย่างโกรธ ๆ
“นั่นเป็นเพราะฉันไม่สามารถอธิบายอะไรให้เธอรู้ได้โดยที่มันจะไม่ทำให้แผนยุ่งเหยิง เธอต้องไปแบบไม่รู้อะไรเลย ไม่งั้นมันคงไม่ได้ผล” เขาถอนหายใจ
“จริงเหรอ ถ้างั้นตอนนี้ก็อธิบายมา!” เธอพูดขณะกอดอก
“การโทรจิตของเราถูกตัดทันทีที่เธอเข้าไปในห้องทำงานของเขา ดังนั้นฉันจึงกังวลมากกว่าปกติ เขาน่าจะต้องมีคริสตัลวิเศษที่ป้องกันการสื่อสารจากภายนอกหรือการรบกวน ดูเหมือนว่าการโทรจิตของเราไม่ใช่สิ่งที่สามารถทะลุผ่านทุกอย่างได้” เขาพึมพำออกมา
“อืม ฉันก็คิดแบบนั้น แต่นายก็ยังไม่ตอบคำถามของฉัน อธิบายมาเดี๋ยวนี้!” เธอพูดด้วยอารมณ์โกรธ
“ก่อนอื่น เธอแน่ใจหรือเปล่าว่าไม่มีใครตามเธอมาเมื่อตอนเดินขึ้นมาบนนี้”
“แน่นอน ฉันมั่นใจ! ฉันไม่ได้โง่นะ นายก็รู้!” เธอพูดด้วยความรำคาญ
“ดี ก่อนอื่นฉันต้องรู้ว่านายพลนั่นถามอะไรกับเธอบ้าง” เขาถามพลางโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างคาดหวัง
“เขาเพิ่งถามฉันเกี่ยวกับ ไอ้ขยะที่ชื่อเอริค ควินน์ ที่เสียชีวิตในป่าเมื่อสองสามวันก่อน เขาให้ฉันเข้ารับการทดสอบเครื่องจับเท็จด้วยคริสตัลวิเศษ ก่อนอื่นเขาถามฉันว่าฉันฆ่าเอริคไปหรือเปล่าซึ่งฉันตอบว่าไม่ แล้วเขาก็ถามฉันว่า ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอริคหรือเปล่า แล้วเขาเสียชีวิตได้อย่างไร ฉันตอบว่าไม่เหมือนเดิม สุดท้ายเขาก็ถามฉันว่าความสัมพันธ์ของฉันกับครอบครัวกริฟฟิธเป็นยังไง ซึ่งฉันก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคำตอบทั้งหมดของฉันนั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง จากนั้นฉันก็ถูกไล่ออกจากห้องทำงานของเขา”
มันเหมือนการยกภูเขาออกไปจากอกของโมบี้
หากพวกเขาทำการสอบสวนตามปกติแทนที่จะใช้เครื่องจับเท็จ พวกเขาจะสามารถค้นหาความจริงของเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน
พวกเขาจะถามคำถามเพิ่มเติมและจะพบช่องโหว่ในคำตอบของเจย์เดนมากมาย
ตัวอย่างเช่นถ้าพวกเขาถามเธอว่า ในวันนั้นกลับที่พักกี่โมงและเธอตอบว่า 18:00 แล้วพวกเขาก็ถามเพื่อนร่วมหอพักของโมบี้ด้วยคำถามเดียวกันและพวกเขาตอบว่า 23:50 มันจะขัดแย้งกันอย่างมาก
โชคดีที่พวกเขาอาศัยเครื่องจับเท็จที่มีความแม่นยำ 100% ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถถามคำถามที่สำคัญและกว้าง ๆ ได้เท่านั้น
กลยุทธ์ของพวกเขาจะทำงานได้อย่างไม่มีที่ติหากพวกเขากำลังซักถามผู้ต้องหาตัวจริง
โมบี้ต้องเสี่ยงโชคครั้งใหญ่ ถ้าพวกเขาใช้เครื่องจับเท็จเขาก็จะไม่เป็นไร แต่หากพวกเขาทำการสอบสวนตามปกติ เขาก็จะถูกจับได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
โชคดีที่เทพีนำโชคอวยพรเขาในครั้งนี้ การลองเสี่ยงของเขาประสบผลสำเร็จ
“ฉันคิดว่านายน่าจะเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยหรือพยานในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทำไมนายถึงขี้เกียจที่จะไปเอง! นายกลับผลักเรื่องนี้ให้ฉันเพราะคิดว่าตอนนี้ฉันเป็นทาสรับใช้นายงั้นสินะ” เธอพูดอย่างโมโหมากกว่าที่เคย เธอพยายามจะชกหน้าโมบี้ก่อนที่จะถูกหยุดเอาไว้โดยพลังที่ไม่รู้จักอีกครั้ง
“แล้วถ้าฉันบังเอิญเป็นคนฆ่าเขาจริงๆ ฉันคงจะเสร็จแน่นอนถ้าฉันไปเอง” เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อโมบี้ขอให้เธอทำตามแผนของเขา เขาทำให้ดูเหมือนว่าเขาขี้เกียจเกินไปที่จะไปเอง นี่เป็นคำสั่งครั้งแรกที่เขาเคยสั่งเธอนับตั้งแต่ที่เขาทำให้เธอกลายเป็นปีศาจ เพราะเขารู้ว่านี่เป็นวิธีเดียวที่เธอจะยอมทำ
เขาต้องแน่ใจว่าความคิดที่ว่าเขาเป็นฆาตกรไม่เข้ามาในหัวของเธอ เขาต้องแน่ใจ 100% ว่าเธอจะไม่สงสัยว่าเขาเป็นฆาตกรและเห็นเพียงว่าเขานั้นขี้เกียจที่จะไปเฉย ๆ
ถ้าเธอสามารถเดาได้ว่าโมบี้อาจจะเป็นคนฆ่า การสอบสวนครั้งนี้คงจะจบลงด้วยหายนะ
เจย์เดนยืนอยู่ตรงนั้นพลางเผยสีหน้าแปลก ๆ ในที่สุดเธอก็เริ่มที่จะเชื่อมโยงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกัน ทุกอย่างเริ่มเป็นเหตุเป็นผลในหัวของเธอ
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาทำสิ่งต่าง ๆ อย่างนั้น เพราะถ้าฉันรู้อะไรขึ้นมา เขาก็คงถูกจับนั่นคือเหตุผลที่เขาต้องปิดหูปิดตาฉันและแสร้งทำเป็นเหมือนว่าเขาขี้เกียจเกินไปที่จะไปเอง’ เธอคิด
“เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น” เธอกล่าวขณะที่สงบลงแล้ว
“แต่ฉันต้องการให้นายอธิบายทุกอย่างให้ฉันฟัง ฉันสงสัยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้จริง ๆ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โมบี้รู้ดีว่าเมื่อเขาทำให้เจย์เดนกลายเป็นปีศาจในที่สุดเขาก็ต้องอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง เขาไม่สามารถซ่อนทุกอย่างต่อไปได้ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะบอกเธอพอดี
โมบี้บอกเธอทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขานับตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร แน่นอนเขาตัดทิ้งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบที่เขามี เขาบอกเธอว่าปีศาจจะแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากการต่อสู้ทุกครั้งและสามารถแข็งแกร่งได้เร็วกว่ามนุษย์ เพื่อเป็นข้ออ้างในการอธิบายการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของพลังของตัวเขาเอง
เจย์เดนฟังเรื่องราวของเขาที่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเจือความกังวลอย่างแท้จริง
โดยปกติเธอจะไม่สนใจปัญหาของผู้อื่นเลย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างดูเหมือนว่าเธอจะใส่ใจเรื่องของโมบี้
เธอไม่เคยมีเพื่อนนอกจากอเล็กซ์ แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งเธอไป เธอเติบโตมาอย่างเอาแต่ใจตั้งแต่ยังเด็ก เธอมักจะได้สิ่งที่ต้องการเมื่อใดก็ตามที่เธอต้องการโดยไม่ต้องรับผิดชอบผลกระทบใด ๆ
ที่โรงเรียนเธอมักจะได้ในสิ่งที่เธอต้องการอยู่เสมอและผู้คนก็ไม่สามารถจะทำอะไรกับเธอได้เพราะพวกเขากลัวครอบครัวของเธอ
เธอเติบโตขึ้นมาโดยเห็นทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าเป็นเพียงแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น
นับตั้งแต่ที่เธอได้พบกับโมบี้ เธอก็รู้สึกมีความสุขมากกว่าเคย
เขานั้นสามารถควบคุมเธอได้เต็มที่ แต่กลับกันเขาไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดในการบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำ เหมือนที่เธอเคยทำกับเขา แต่เขาทำให้เธอกลายเป็นปีศาจที่เยือกเย็นและช่วยให้เธอควบคุมพลังของตัวเองได้ และยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้สึกว่าพวกเขานั้นต่างมีอารมณ์ขันและความพึงพอใจอะไรที่คล้ายกันอยู่มากพอสมควร
ตอนนี้เอง เธอเพิ่งจะสังเกตว่าในที่สุดเธอก็ได้เพื่อนแท้คนแรกของเธอแล้ว
เมื่อโมบี้เล่าเรื่องราวของเขาว่าเขาถูกทารุณกรรมทุกวันอย่างไร และนาธานทรมานเขาอย่างไรเพราะสร้อยคอของเขา เขาสังเกตว่าเจย์เดนนั้นดูเหมือนจะมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องของเขาอย่างชัดเจน
โมบี้ยังอ่านอารมณ์ของเธอเพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่าเขาไม่ได้จินตนาการถึงสิ่งต่าง ๆ ไปเองและมันก็ยืนยันในเรื่องที่เขาสงสัย
‘อะไรกัน ? ฉันคิดว่าเธอเป็นยายคนโรคจิตที่ไร้หัวใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกแย่เมื่อได้ยินเรื่องเหล่านี้ของฉันกันล่ะ ?’ เขาคิด
จากนั้นเมื่อเขาเล่าไปถึงตอนที่เขาฆ่าและทรมานเอริค การแสดงออกของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เล่าให้ละเอียดตรงส่วนที่นายทุบหัวเขากับหินจนไม่เหลือฟันในปากสักซี่!” เธอพูดขณะที่เธอกำลังจะตายเพราะการหัวเราะที่มากไป
‘ไม่เป็นไร เธอเป็นคนโรคจิต แต่ฉันก็เป็นเหมือนกัน’ เขาคิดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
เธอพบว่ามันน่าสนใจมากเกี่ยวกับเรื่องที่โมบี้อธิบายถึงวิธีการทรมานของเขา มันขำจนบางครั้งเธอแทบจะลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น
โมบี้เองก็สนุกที่ได้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เขารู้สึกสนุกมากจริง ๆ แทนที่จะแกล้งทำเหมือนอย่างที่เคย ๆ
โมบี้ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองรู้สึกสนุกมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เมื่ออยู่กับเธอเขารู้สึกเหมือนว่าเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องกังวลกับการทรยศหรือการทำตัวให้เหมาะสม เพราะพวกเขามีจิตใจที่เชื่อมโยงกัน
จากนั้นบทสนทนาก็ขยายไปสู่หัวข้อที่จริงจังมากขึ้น
“เป้าหมายปัจจุบันของนายตอนนี้คืออะไร” เธอถามอย่างสงสัย
“จริง ๆ แล้วเป้าหมายในตอนนี้ของฉันคือการแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำอะไรหรือจุดประสงค์จริง ๆ ของฉันคืออะไร” เขาถอนหายใจ
“ฉันแน่ใจว่านายจะได้พบในที่สุด” เธอกล่าวแบบมองโลกในแง่ดี
ทันใดนั้นเสียงสัญญาณสิ้นสุดเวลาพักก็ดังขึ้น และสิ้นสุดการสนทนาของพวกเขาทันที
“ถ้านายมีอะไรสนุก ๆ ที่วางแผนไว้บอกให้ฉันรู้ด้วย หลังจากได้ฟังเรื่องราวของนาย ตอนนี้ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะลองใช้วิธีการบางอย่างเหมือนที่นายเคยทำ จากนี้ไปศัตรูของนายก็เป็นศัตรูของฉันเช่นกัน เราเป็นพันธมิตรกัน” เธอกล่าวพลางเผยรอยยิ้มแบบซาดิสต์ ๆ
“ถ้าอย่างนั้น เธอก็โชคดีแล้ว เจอฉันหลังเลิกเรียนแล้วฉันจะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง คู่หู” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่บางทีดูแล้วมันน่ากลัวกว่ารอยยิ้มของเธอ