The Great Demon System - ตอนที่ 46 : ศัลยกรรมพลาสติก
ตอนนี้เป็นเวลา 23.00 น. เมื่อทั้งกลุ่มรับประทานอาหารที่บ้านของเจย์เดนเสร็จ โมบี้และแอ๊บบี้ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปที่หอพักของโรงเรียนแล้ว
ทั้งคู่กล่าวอำลากับเจย์เดน และออกจากคฤหาสน์ของเธอด้วยรถลีมูซีนกับพ่อบ้านเหมือนเช่นเคย
ทุกครั้งที่โมบี้พยายามพูดคุยกับแอ๊บบี้ เธอมักจะตอบเขากลับด้วยวิธีที่สุภาพจริง ๆ โดยมักจะพูดคำว่า “นายท่าน” เหมือนเธอเป็นอัศวินผู้กล้าหาญที่คุยกับกษัตริย์ของตัวเอง
‘ฉันควรจะพร่ำบอกเธอว่าไม่ต้องสุภาพขนาดนั้น หรือยอมชินกับคำชมทั้งหมดนี้ดี เนื่องจากฉันจะต้องกลายเป็นเจ้าแห่งปีศาจและมีผู้ติดตามอีกมากมายในอนาคต ฉันอาจจะต้องคุ้นเคยกับการถูกยกย่องเหมือนเทพเจ้าบ้าง จริง ๆ มันก็อาจเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ฉันคิดว่าหลังจากที่เราได้รู้จักกันนานมากขึ้น ในที่สุดเธอก็อาจจะผ่อนคลายมากขึ้น… ในที่สุดละนะ’
‘ฉันคงต้องการเรียนรู้วิธีการเป็นผู้นำที่เหมาะสม แม้ว่าฉันจะชอบนิสัยของเจย์เดนมากกว่าแอ๊บบี้เพราะฉันชอบบุคลิกกับนิสัยของเธอมากกว่า แต่ฉันคงไม่สามารถพูดออกไปได้เพื่อป้องกันที่จะไม่ทำให้เกิดความอิจฉา อาฆาตหรือความเกลียดชังระหว่างกันในตระกูล นั่นอาจเป็นเพราะฉันเพิ่งเจอกับแอ๊บบี้และฉันไม่คุ้นเคยกับบุคลิกที่ดูคลั่งไคล้แบบนี้ของเธอ ฉันไม่ได้รู้สึกเกลียดเธอเลย อันที่จริงฉันค่อนข้างเห็นใจในสาเหตุของแรงจูงใจและเหตุผลในการแก้แค้นของเธอ บางทีความคิดของฉันอาจเปลี่ยนไปเมื่อฉันรู้จักเธอมากขึ้นและได้ใช้เวลากับเธอมากขึ้น’
‘ฉันค่อยข้างประหลาดใจที่เห็นเจย์เดนเสนอตัวจะเป็นเพื่อนกับแอ๊บบี้ บอกตามตรงว่าฉันรู้สึกโล่งใจ ฉันกลัวว่า 2 คนนั้นอาจจะเข้ากันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ฉันดีใจที่เห็นว่าพวกเธอทั้งคู่อยากเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน บางทีเจย์เดนอาจแค่อยากจะมีเพื่อนผู้หญิงคุยด้วยหรือออกไปเที่ยวด้วยกัน อย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนผู้ชายที่ดูน่าจะดีอยู่ 2 คน’ โมบี้คิดพร้อมหัวเราะเบา ๆ พลางนึกถึงอเล็กซ์และเรย์
‘วันนี้จบลงด้วยดีกว่าที่ฉันเคยหวังไว้ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนและมันก็ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ’
‘ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องกังวลก็คือการสอบที่จะมีขึ้นในเดือนหน้า’ โมบี้คิดด้วยสีหน้าจริงจัง
‘นายท่าน! เราจะถึงโรงเรียนในอีก 5 นาที’ แอ๊บบี้พูดโดยใช้โทรจิตของพวกเขาที่เชื่อมต่อกัน
โมบี้บอกให้เธอสื่อสารกับเขาโดยใช้โทรจิตภายในรถลีมูซีน เพราะพ่อบ้านอาจจะพบว่ามันแปลกและน่าสงสัยว่าคนแรงค์สูงอย่างแอ็บบี้จะพูดกับคนแรงค์ต่ำเช่นโมบี้ด้วยคำว่า “นายท่าน”
‘เยี่ยมมาก ขอบใจที่บอกนะ’ โมบี้ตอบกลับแล้วยิ้มให้
‘แต่ว่าในเมื่อเธออยู่หอพักนั่นหมายความว่า เธอมีเพื่อนร่วมหอหรือเปล่า’ โมบี้ถามด้วยความสงสัย
‘ไม่ค่ะ ฉันอยู่หอพักคนเดียว เนื่องจากฉันมาจากครอบครัวที่สำคัญ ฉันเลยมีทางเลือกให้เลือก’
‘ครอบครัวของฉันเกลียดฉันและปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นขยะ แต่พวกเขาก็ยังไม่ทอดทิ้งฉันซะทีเดียว ส่วนเหตุผลนั้นฉันก็ไม่แน่ใจ ดังนั้นฉันยังคงมีสิทธิพิเศษของการเป็นคนในครอบครัวรีด คนเดียวใน โรงเรียนที่รู้เรื่องที่บ้านทำกับฉันก็คือพี่สาว คนอื่น ๆ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แล้วเธอก็ยังไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของฉันที่โรงเรียนด้วย แต่ฉันมั่นใจว่าเธอจะทำได้ทุกเมื่อ เธอคงต้องมีแผนบางอย่างที่จะทรมานและทำให้ฉันอับอายอยู่แน่นอน’ แอ๊บบี้อธิบาย
‘ไม่ต้องห่วงนะ! มันจะไม่เกิดขึ้น! ตราบใดที่เธอยังอยู่กับฉันและเจย์เดน! พวกเราจะช่วยเหลือเธอเอง!’ โมบี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
‘ขอบคุณค่ะนายท่าน ฉันจะรับใช้ท่านด้วยความซื่อสัตย์จนถึงวันที่ฉันจะตายเลย!’ แอ๊บบี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
‘แล้วพวกเสื้อผ้าราคาแพงที่เธอใส่ตอนที่เราพบกันครั้งแรกในการสอบทักษะล่ะ ทำไมถึงมีล่ะ’ โมบี้ถามด้วยความสนใจ
‘เสื้อผ้าราคาแพงเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าผ้าขี้ริ้วสำหรับครอบครัวของฉัน แม้แต่คนรับใช้ก็สวมเสื้อผ้าที่ดีกว่านั้น’ แอ๊บบี้อธิบายด้วยน้ำเสียงเคารพ
‘อืม ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่บอกนะ’ โมบี้ตอบพลางยิ้มให้อย่างสดใส
‘ฉันเดาว่าตอนนั้นชีวิตฉันคงจะยากจนมากจริง ๆ มองอะไรก็ดูแพงในสายตาของฉันไปหมด ฉันคงเข้าใจเธอผิดเมื่อเราพบกันครั้งแรก ฉันคิดว่าเธอเป็นคนชั้นสูงที่คิดว่าเธอดีกว่าคนอื่น ๆ แต่ฉันนั้นคิดผิดถนัดเลย’ โมบี้คิด
เมื่อพวกเขากำลังจะไปถึงโรงเรียนโมบี้ ย้ำให้แอ๊บบี้นึกถึงเรื่องที่พวกเขาคุยกันที่บ้านของเจย์เดน ก่อนหน้านี้
‘จำไว้ว่าพรุ่งนี้เธอต้องปกปิดระดับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันที่โรงเรียน นอกจากนี้อย่าเข้าหาฉันหรือคุยกับฉันที่โรงเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องดราม่าที่ไม่จำเป็นพวกนั้น หากเธอต้องการคุยกับฉันก็ให้ใช้การโทรจิตของเราเท่านั้น แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเธอกับฉัน และทำเหมือนเราเป็นคนแปลกหน้ากัน ฉันเข้าใจว่ามันอาจจะยากหรือน่าเสียดาย แต่นี่ก็เพื่อประโยชน์ของตระกูลของเรา ฉันสัญญาว่าเราจะไม่ต้องทำแบบนั้นตลอดไป’ โมบี้กล่าวด้วยรอยยิ้มและวางมือบนไหล่ของแอ๊บบี้
‘แน่นอนค่ะนายท่าน ฉันเข้าใจ ฉันสัญญาว่าฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง แม้ว่าจะทำให้หัวใจของฉันเจ็บปวดมากที่ต้องทำตัวเย็นชาและไร้หัวใจต่อคนที่ช่วยชีวิตฉัน แต่เพื่อนายท่านและเพื่อนของฉัน ฉันจะอดทนต่อทุกสิ่งเพื่อนายท่านและตระกูลค่ะ!’ แอ๊บบี้ตอบอย่างแน่วแน่
‘ฉันดีใจนะที่เธอคิดได้แบบนี้’ โมบี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพวกเขามาถึงโรงเรียน โมบี้และ แอ๊บบี้ก็แยกทางกันทันทีโดยหวังว่าจะไม่มีใครเห็น เพราะมันอาจจะทำให้เกิดข่าวลือที่ไม่ต้องการแพร่กระจายไปมากขึ้น
เมื่อโมบี้ไปถึงห้องของเขา เขาเดาว่าอเล็กซ์จะอยู่ที่นั่นเพื่อรอให้เขากลับมา แล้วสอบปากคำเหมือนเขานั้นเป็นแม่ของโมบี้ แต่เมื่อเขามาถึง เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าอเล็กซ์และเรย์ทั้งคู่กำลังเล่นวิดีโอเกมกันอยู่
“เฮ้… ดูเหมือนว่าโมบี้กลับมาแล้ว! อยากเล่นกับเราไหม” อเล็กซ์กล่าวโดยยื่นจอยควบคุมไปที่หน้าโมบี้
“ทำไมจะไม่ล่ะ” โมบี้กล่าว เขายิ้มแล้วคว้าตัวจอยควบคุมจากมือของอเล็กซ์
**************************
วันถัดไป
โมบี้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเหมือนปกติและทำภารกิจประจำวันก่อนแล้วค่อยกลับมาอาบน้ำ
เขาเพิ่มค่าสถานะ 3 แต้มให้กับค่าความฉลาดโดยเพิ่มจาก 110 เป็น 113
จากนั้นเขาใช้เวลาที่เหลือในการฝึกฝนทักษะ “Devil’s Hand” โดยหมุนหนังสือไปเรื่อย ๆ เขาหมุนมันที่ปลายนิ้วของเขาโดยให้มันลอยเหนือนิ้วประมาณ 1 มิลลิเมตร นั่นทำให้แทบมองไม่ออกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้สัมผัสนิ้วของเขาจริง ๆ ขณะกำลังหมุน
จากนั้นเขาก็ออกจากหอพักมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น ๆ ที่จ้องมองมาที่เขาเหมือนปกติ
เมื่อเขาเข้ามาในห้องเรียน เขาสังเกตเห็นว่าแอ๊บบี้นั้นมาถึงก่อนแล้ว
เธอมองเขาด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะมองออกไปและแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่ได้สังเกตเห็นเขาด้วยซ้ำ
‘ให้ตายเถอะ เธอตีบทแตกเลย!’ โมบี้คิดอย่างประทับใจในการแสดงของเธอ
ทันทีที่เขาเข้าชั้นเรียนเขาได้ยินเสียงซุบซิบมากมายที่เขาคาดว่าจะได้ยิน
“นี่! ฉันคิดไปเองหรือว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉันรู้สึกว่าวันนี้แอ๊บบี้ รีดดูสวยมากกว่าเดิม”
“ใช่! นายพูดถูก! เธอแม่งดูเซ็กซี่มาก เหมือนว่าทุกสัดส่วนของเธอมันดีขึ้นและผิวพรรณของเธอนั้นก็ดูเรียบเนียนมาก!”
“เธอได้ทำศัลยกรรมพลาสติกมาหรือเปล่า ?”
“มันก็เหมือนที่เกิดขึ้นกับเจย์เดน กริฟฟิธ ไม่ใช่เหรอ ?”
“เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่ว่าเธอไปเจอกับสัตว์เลี้ยงของเจย์เดน กริฟฟิธเมื่อวานนี้หรอกหรอ ?”
“ใช่หรอวะ…”
ทันใดนั้นทั้งห้องก็หันกลับมามองโมบี้ ที่นั่งอยู่ด้านหลังของชั้นเรียนด้วยสายตาละโมบ
การกลายร่างเป็นปีศาจมีผลข้างเคียงในการทำให้คนที่กลายร่างเป็นปีศาจนั้น มีเสน่ห์มากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่แอ๊บบี้ดูสวยงามมากกว่าเดิม
‘เวรละ! ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้! ฉันนี่โคตรโง่เลย! ฉันควรจะคิดได้ก่อนว่ามันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!’ โมบี้คิดในความวุ่นวาย
“ฉันสาบานเลยว่ามันไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิด! ฉันไม่มีความสามารถที่จะทำให้เกิดอะไรแบบนั้นได้แล้วฉันก็ไม่ใช่ศัลยแพทย์ตกแต่ง” โมบี้พูดพร้อมกับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้ทุกอย่างที่ทั้งห้องกำลังพูดกันยุติลง
“ช่วยทำให้ฉันได้ไหม ฉันสัญญาว่าจ่ายเงินให้นาย 10,000 เหรียญ” เด็กผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียดจมูกโตพุ่งออกมาจากเหล่านักเรียน
“ฉันจะจ่ายนาย 15,000 เหรียญ!”
“หุบปาก! ฉันจะจ่ายให้นาย 20,000 เหรียญเลยเพื่อใช้ความสามารถนั้นของนายกับฉัน!”
“ฉันพนันได้เลยว่าทั้งกริฟฟิธและรีดจ่ายให้เขาอย่างน้อย 25 แกรนด์! ดังนั้นฉันจะจ่าย 30 แกรนด์เลย!” (1 แกรนด์ = 1,000 เหรียญ)
“35 แกรนด์!”
“อย่าไปฟังพวกนั้น! ฉันจะให้ 38 แกรนด์!”
ทั้งห้องเรียนกำลังปะทุเข้ากับสงครามการประมูล การเสนอราคาสุดท้ายจบลงที่ 50000 เหรียญ โมบี้ที่นั่งอยู่เฉย ๆ ตกใจแทบอ้าปากค้าง
เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบอกพวกเขาว่าเขานั้นไม่สามารถทำศัลยกรรมได้หรือมีความสามารถเกี่ยวกับการเสริมความงาม แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง
‘เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงเนี่ย ?’ เขาคร่ำครวญด้วยความรำคาญและหงุดหงิด
ทันใดนั้นแอ็บบี้ก็ตวาดขึ้นเสียงดังลั่นห้องเรียน
“ทุกคนหุบปากซะ! พวกเธอพูดเหมือนไม่เห็นหัวฉันเลยนะว่าฉันยังนั่งอยู่ตรงนี้! ฉันไม่ได้ไปทำศัลยกรรมหรือโดนใช้ความสามารถที่ช่วยเพิ่มความสวยอะไรทั้งนั้น! ทั้งหมดที่ฉันทำคือการแต่งหน้าและใส่เสื้อผ้าที่เน้นสัดส่วนมากขึ้น แล้วพวกเธอเริ่มสนใจแล้วโยนสมมติฐานลอย ๆ ไร้สาระใส่ฉัน รับประกันได้เลยว่าไอ้กระจอกตรงนั้นไม่มีความสามารถอะไรทั้งสิ้น พวกเธอเคยเห็นคนที่มีความสามารถแล้วมีระดับพลังแค่ 800 หรือไง ฉันกล้าพนันเลยว่าไม่มีใครเคยเห็น! ทั้งหมดที่ฉันไปคุยกับเขามาคือการเคลื่อนไหวของเขาและเขาใช้ศิลปะการต่อสู้แบบไหน ที่เอาชนะฉันในทัวร์นาเมนต์ได้ และนั่นคือทั้งหมด ถ้าพวกเธอยังมีปัญหาก็มาเคลียร์กับฉัน! ถ้าพวกเธอยังพยายามใส่ร้ายเรื่องของฉันต่อก็พูดไปเลย แต่เตรียมใจสำหรับสิ่งที่จะตามมาด้วยละกัน!” แอ็บบี้กล่าวด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราดซึ่งส่งผลให้พวกเขาทุกคนขนลุกไปทั่วทั้งหลัง
เธอยังคงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนจนถึงตอนนี้ จึงไม่มีใครกล้าต่อต้านหรือเถียงคำพูดของเธอ ทุกคนในห้องเรียนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
นักเรียนส่วนใหญ่คิดว่าสิ่งที่แอ๊บบี้พูดเป็นความจริงและพวกเขาสงสัยกันมากเกินไป มันสมเหตุสมผลที่เธอต้องการจะถามเขาว่าเธอนั้นพ่ายแพ้ได้อย่างไร และทุกคนก็รู้สึกว่าระดับพลังของโมบี้นั้นต่ำเกินกว่าที่จะมีความสามารถ พวกเขาก็เลยทิ้งเรื่องนี้ไป
‘แอ๊บบี้… ตอนนี้เธอเป็นคนที่ช่วยชีวิตของฉันแล้ว!’ โมบี้คิดและรู้สึกดีใจอย่างมากกับการกระทำของคนรับใช้เช่นเธอ
ทันใดนั้นโมบี้ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ดูเหมือนกำลังร้องไห้ดังขึ้น
‘ฉันขอโทษนะคะนายท่าน ฉันสาบานว่าฉันไม่ได้หมายความตามที่ฉันพูด! ฉันแค่… ‘
‘ชู่…ไม่เป็นไร…ฉันเข้าใจ เธอไม่จำเป็นต้องอธิบาย เธอทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ! เธอช่วยฉันเอาไว้จริง ๆ ฉันภูมิใจในตัวของเธอมาก พยายามทำเรื่องดี ๆ แบบนี้ต่อไปนะ!’ โมบี้บอกเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเหมือนแม่กำลังปลอบเด็กที่กำลังร้องไห้
‘ขอ… ขอบ… ขอบคุณค่ะ สำหรับคำพูดให้กำลังใจของท่าน ฉัน… ฉันไม่สมควรที่จะเป็นถูกเรียกว่าเพื่อนเลยจริง ๆ…’ แอ๊บบี้ตอบตะกุกตะกักเกือบทุกคำ เนื่องจากความสุขในใจของเธอ
1 นาทีต่อมา อาจารย์ลีโอเดินเข้ามาในห้องเรียน เขาคาดหวังว่าจะพบนักเรียนที่ส่งเสียงดังและโวยวายตามปกติ ทว่าทุกคนนั้นกลับเงียบกริบที่เขาเข้ามาในห้อง เช่นเดียวกับทุกวัน แต่เขาประหลาดใจที่พบว่าทั้งห้องเรียนนั้นเงียบยิ่งกว่างานศพซะอีก
‘เกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย ?’ ลีโอคิดด้วยความประหลาดใจ