The Great Demon System - ตอนที่ 42 : อาจารย์โมบี้
แอ๊บบี้จัดการสั่งชาของเธอแล้วเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับโมบี้
“ขอโทษที่ฉันมาช้า ฉันมักออกกำลังกายอยู่เป็นประจำเลยทำให้มาที่นี่ช้า แล้วทำไมนายถึงให้ฉันมาที่นี่แทนที่จะเริ่มการฝึกกันทันทีล่ะ” แอ๊บบี้ถามด้วยท่าทางที่ค่อนข้างติดจะรำคาญสักหน่อย
“ฉันแค่อยากรู้จักเธอและแรงจูงใจของเธอให้มากขึ้นก่อนที่เราจะเริ่มการฝึกฝนกัน” โมบี้ตอบ
โมบี้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเธอให้ได้มากที่สุดก่อน เขาอยากรู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหนก่อนที่จะเริ่มทำตามแผนของเขา
“โอเค ฉันว่ามันก็ฟังดูเข้าท่า” แอ๊บบี้พูดพร้อมกับผ่อนคลายมากขึ้น
“ฉันได้ยินที่เธอพูดว่ามีใครบางคนที่เธอต้องเอาชนะให้ได้ โดยยอมจ่ายทุกอย่าง และเธอนั้นต้องการแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย เธอช่วยเราเรื่องนี้ให้ละเอียดขึ้นได้ไหม?” โมบี้ถาม
“พูดตามตรงฉันไม่ชอบพูดเรื่องนี้มากนัก แต่เนื่องจากนายจะเป็นอาจารย์ในอนาคตของฉัน ฉันคิดว่าบอกนายไปก็คงไม่น่าจะเป็นอะไร” แอ๊บบี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เธอหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า
“อย่างที่นายอาจจะรู้อยู่แล้วว่าตระกูลรีดนั้นเป็นตระกูลที่ใช้ไฟเพียงหนึ่งเดียวในโลกและเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีพลังอำนาจและเป็นที่รู้จักกันดี”
“ตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันอ่อนแอและบอบบางมาก จึงอยู่ภายใต้เงาของพี่สาวบดบังอยู่เสมอ”
“เธอชื่อเจสสิก้า รีดเธอเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ที่โรงเรียนของเรานี่แหละ และเธอก็เป็นนักเรียนแรงค์ A แล้ว เธอก็คือเป้าหมายหลักของฉันในการเอาชนะและแก้แค้น”
คำว่า”แก้แค้น” สร้างความประทับใจให้กับโมบี้เป็นอย่างมาก เพราะในสายตาของเขาเธอไม่ได้ดูเหมือนคนประเภทที่จะตามแก้แค้นคนอื่น
“เธอมีความสามารถมากกว่าฉันเสมอ เธอชอบกลั่นแกล้ง ทำร้ายและล้อเลียนฉันทุกวัน เพียงเพราะความอ่อนแอและไร้ประโยชน์นั้นเป็นเรื่องที่น่าเสื่อมเสีย“
“เธอมักจะใช้ฉันเป็นเป้าหมายในการซ้อมของเธอและยังทดลองเทคนิคใหม่ ๆ ของเธอกับฉันในการซ้อมต่อสู้เพื่อเป็นข้ออ้างในการทำร้ายฉันเสมอ มันเหมือนกับว่าเธอรู้สึกสนุกและเพลิดเพลินอย่างมาก”
“ฉันยังมีรอยไหม้และแผลเป็นอย่างรุนแรงซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ แม้กระทั่งทำการรักษาโดยแพทย์ที่ฝีมือดีที่สุดมาแล้วก็ตาม” เธอพูดขณะที่เธอเผยให้เห็นช่วงบริเวณไหล่ของเธอเล็กน้อย ตรงนั้นมีรอยแผลเป็นสีแดงเข้มน่าเกลียด
“พวกคนรับใช้ไม่เคยรายงานอะไรให้กับพ่อแม่ของฉัน อาจด้วยเพราะความกลัวหรือพวกเขาก็อาจจะไม่ชอบฉัน พวกเขามองว่าฉันเป็นคนล้มเหลวและเสื่อมเสียต่อครอบครัว”
“ฉันอ่อนแอและบอบบางมาก ในแต่ละวันฉันโดนพวกคนรับใช้เรียกว่าฉันคือตัวเสื่อมเสียของครอบครัวลับหลัง แต่บางครั้งก็พูดต่อหน้าเลยด้วยซ้ำ
“พี่สาวของฉันเป็นคนโปรดของพ่อแม่ ดังนั้นเธอจึงมักจะรอดตัวไปอยู่เสมอ หลายอย่างเธอมักจะขู่ว่าจะทรมานฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่ได้พูดอะไรถึงสิ่งที่เธอทำให้พ่อกับแม่รับรู้“
“ฉันอยากจะบอกพ่อแม่เกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ทุกครั้งที่ฉันพูดออกไปพวกเขาไม่เคยเชื่อฉันเลยหรือบางทีพวกเขาดูเหมือนไม่สนใจฉันเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าพวกเขาเกลียดฉันมากพอ ๆ กับพี่สาวของฉันและคนรับใช้ทั้งหมด พวกเขาต้องเห็นฉันเป็นตัวสร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัว”
“จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงยังให้ฉันมีชีวิตอยู่และเลี้ยงฉันต่อมา”
“วันหนึ่งพี่สาวของฉันพบว่าฉันพยายามเปิดเผยเรื่องของเธอให้พ่อแม่ของเราได้รับรู้เรื่องต่าง ๆ แน่นอนพวกเขาไม่เชื่อฉัน”
“คืนนั้นเรามีการฝึกซ้อมกันตามปกติ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับคืนก่อน ๆ ที่ผ่านมา คืนนั้นฉันรู้สึกเจ็บปวดและหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิต เธอได้แผดเผาและสร้างบาดแผลทั่วร่างกายของฉันมากยิ่งกว่าเดิม ความเจ็บปวดและทรมานนั้นเหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่ฉันเคยจินตนาการมาตลอดในชีวิตแม้แต่น้อย”
‘ทำไมคนที่จิตใจไม่มั่นคงหรือผ่านเรื่องแย่ ๆ มาถึงดึงดูดฉันได้เสมอ ? อะไรคือแรงจูงใจของเธอที่ทำให้กล้าเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ ? เธอพยายามทำให้ฉันรู้สึกแย่ไปกับเรื่องของเธอหรือเปล่า ? ฉันคาดหวังว่าจะค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แต่มันกลับถูกส่งมาให้ฉันเฉย ๆ ซะอย่างนั้น แต่ถ้าที่เธอพูดเป็นความจริง ฉันก็เห็นความคล้ายคลึงมากมายระหว่างชีวิตของฉันกับเธอ’ โมบี้คิดพลางหวาดระแวงตามปกติของเขา
“หลังจากคืนนั้นฉันคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่สุดท้ายฉันตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ครอบครัวของฉันหัวเราะทีหลังไม่ได้ ฉันไม่สามารถทิ้งทุกอย่างและปล่อยให้พวกเขาชนะ ฉันตัดสินใจที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อให้พวกเขาชดใช้ทั้งหมดที่ทำให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้”
“ฉันสัญญาว่าจะทำให้พวกเขาเจ็บปวดรวดร้าวและทรมานมากกว่าที่ฉันเคยอดทนผ่านมาหลายร้อยเท่า”
“ตั้งแต่ฉันอายุ 10 ขวบ ฉันฝึกอย่างหนักทุกวัน พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่เสียเวลาอันมีค่าไปแม้แต่วินาทีเดียว”
จากนั้นโมบี้ก็สังเกตเห็นว่าแอ๊บบี้มีมัดกล้ามเนื้อของเด็กผู้หญิงซ่อนอยู่ภายใต้ชุดนักเรียนที่ค่อนข้างหลวมของเธอ
‘ว้าว เธออาจจะเป็นพวกบ้าการฝึกมากกว่านายก็ได้นะ’ เอวิเลียพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ
‘หึ! เป็นไปไม่ได้! ฉันคือปรมาจารย์ด้านการฝึกฝน! นี่เป็นหนึ่งในสิ่งเดียวที่ฉันสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าฉันมีเหนือคนอื่น ๆ’ โมบี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจอย่างชัดเจน
“นั่นคือเหตุผลที่ในระหว่างการทดสอบทักษะ ฉันชื่นชมการพยายามอย่างหนักทั้งหมดที่นายทุ่มเทลงไป เพื่อให้มาถึงจุดที่นายอยู่ในวันนี้ แทนที่จะหัวเราะเยาะนายเหมือนผู้หญิงปลอม ๆ พวกนั้น”
โมบี้พบว่ามันก็แปลกที่เธอนั้นเป็นคนเดียวในกลุ่มของเขาในการทดสอบทักษะ เมื่อตอนเข้าเรียนที่ไม่ได้เยาะเย้ยประสิทธิภาพของเขาในการทดสอบ แต่ตอนนี้เขาได้รับคำตอบสำหรับเรื่องนั้นแล้ว
ตอนนี้โมบี้รู้สึกเคารพแอ๊บบี้มากกว่าเดิมเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“เนื่องจากการฝึกฝนทั้งหมดของฉัน ฉันไม่เคยมีเวลาหรือความสนใจที่จะหาเพื่อนที่โรงเรียนเลยนอกจากนี้ฉันไม่สามารถไว้วางใจใครได้ด้วย เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของฉัน”
“พูดตามตรงฉันไม่ไว้ใจนายเลยสักนิด แต่เนื่องจากนายอ่อนแอกว่าฉันมาก ฉันจึงสบายใจที่จะคุยกับนายมากกว่า โดยไม่ต้องปิดบังอะไร”
“และพูดตามตรงนายคือความหวังเดียวของฉันในการที่จะพัฒนาความสามารถ ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานั้นฉันประสบปัญหา การฝึกซ้อมของฉันนั้นมันไม่ดีขึ้นเลย ไม่ว่าฉันจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม พูดตามตรงฉันยอมตายดีกว่าถ้าฉันต้องอยู่ที่จุดนี้ไปตลอดชีวิต ฉันยังคงอ่อนแอเกินไปที่จะแก้แค้นและถ้าฉันทำมันไม่ได้แล้ว ชีวิตของฉันจะมีอยู่ไปเพื่ออะไร ?”
“ฉันเชื่อว่าการเรียนศิลปะการต่อสู้อาจช่วยให้ฉันเอาชนะปัญหาคอขวดและก้าวไปสู่อีกระดับได้”
‘เธอมาถึงขีดจำกัดแล้ว จากสิ่งที่ฉันบอกได้ก็คือเธอเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและบอบบางมาก เธอได้ฝึกฝนร่างกายและความสามารถจนถึงขีดสุดของมันแล้ว ไม่ว่าเธอจะฝึกหนักแค่ไหนระดับพลังของเธอก็จะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก และเธอจะอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต’ เอวิเลียกล่าว
‘ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องการคือร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น ? ใช่ไหม?’ โมบี้ถาม
‘ถูกต้อง’ เอวิเลียตอบ
‘เพอร์เฟค!’
“ฉันพยายามทำตามและฝึกฝนเทคนิคของอาจารย์ลีโอ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรฉันเลย”
“ตอนที่เราต่อสู้กันฉันรู้สึกเหมือนว่านายมีพละกำลังมหาศาลและน่ากลัว ที่มาจากศิลปะการต่อสู้และเทคนิคของนาย มันไม่เหมือนอะไรที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตของฉัน”
“ฉันแค่มีความรู้สึกว่านายจะสามารถช่วยฉันทะลุคอขวดนี้ได้”
“แล้วนายคิดว่าฉันเหมาะสมพอที่จะฝึกหรือเปล่า แม้ว่าการฝึกของนายจะไม่ช่วยให้ฉันทะลุคอขวด แต่ฉันก็ยังสัญญาว่าจะตอบแทนนายแน่นอน!”
โมบี้แสร้งทำเป็นใช้เวลานานในการไตร่ตรองเรื่องราวของเธอ เขาตั้งใจฟังเธออยู่ตลอดเวลาและตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทำอะไร
“ฉันรู้วิธีที่จะทำให้เธอเอาชนะปัญหาของเธอนี้ได้ ฉันสัญญากับเธอได้อย่างแน่นอน แต่กระบวนการนี้จะเจ็บปวดอย่างมาก เธอยังอยากจะทำหรือเปล่า ?” โมบี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
โมบี้กำลังทดสอบการแก้ปัญหาของเธอว่าเธอจริงจังมากแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า
“จริงเหรอ!! นายทำได้จริงเหรอ!? ฉันขอสัญญากับนายเลยว่า ฉันไม่แคร์ความเจ็บปวด ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะปัญหานี้!” แอ๊บบี้กรีดร้อง พลังกระโดดลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง นั่นดึงความสนใจทั้งหมดในร้านมาที่โต๊ะของพวกเขา
“ใจเย็น ๆ! เธอกำลังเป็นจุดเรียกความสนใจนะ!” โมบี้กระซิบบอกเธอเบา ๆ
“โอ้ ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันคุมตัวเองไม่ได้ นี่มันเป็นข่าวดีที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาในชีวิต! ฉันสาบานเลย!” แอ๊บบี้พูดด้วยรอยยิ้มและกลับมานั่งลงตามเดิมขณะพยายามสงบสติอารมณ์
“แล้ว! นายจะทำมันยังไง เราจะเริ่มกันเลยไหม!” แอ๊บบี้กล่าวด้วยความรู้สึกกระตือรือร้นอย่างชัดเจน
“ใช่ ฉันทำได้เลยในวันนี้! เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ก่อนอื่นทำไมเราไม่ไปพบกับลูกศิษย์คนอื่นของฉันก่อนล่ะ ?” โมบี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลูกศิษย์คนอื่น!? นายกำลังบอกว่าฉันไม่ใช่คนเดียวงั้นเหรอ!?” แอ๊บบี้พูดด้วยความตกใจ
“เธอคงเคยได้ยินชื่อเธอคนนั้นมาบ้าง เธอจะรู้ว่าเป็นใครเมื่อเราไปถึงที่นั่น ตอนนี้ดื่มชาของเธอให้หมดเร็ว ๆ แล้วตามฉันมา” โมบี้พูดขณะที่เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ทางออกของร้าน
“เฮ้! รอฉันด้วย!” แอ๊บบี้พูดขณะที่เธอดื่มชาที่เหลือและวิ่งตามโมบี้ออกไป
โมบี้สั่งให้แท็กซี่ขับพาเขาไปยังจุดหมาย
ในระหว่างการเดินทางแอ๊บบี้ยังคงถามโมบี้เกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของพวกเขา และลูกศิษย์คนอื่นของเขาคือใคร แต่สิ่งที่โมบี้จะตอบกลับคือ
“เธอจะรู้ในไม่ช้าหรอก”
หลังจากนั่งแท็กซี่ 30 นาทีในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย
มันเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีสวนขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นทางยาวไปสู่ประตูคฤหาสน์ขนาดใหญ่
แม้ว่ามันจะยังเล็กกว่าคฤหาสน์ของครอบครัวเธอ แต่แอ๊บบี้ก็ประหลาดใจกับความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของมัน มันดูดีและสงบกว่าบ้านของครอบครัวเธอมากมายนัก
เมื่อพวกเขาเคาะประตู พ่อบ้านชราก็เปิดให้พวกเขาทันทีเหมือนเขากำลังรออยู่แล้ว
“คุณหนูกำลังรอพวกคุณอยู่ที่สนามประลอง ผมขออนุญาตเดินพาพวกคุณไปที่นั่น” พ่อบ้านพูดพร้อมกับโค้งคำนับ
“ขอบใจมาก!” โมบี้ตอบด้วยรอยยิ้ม โดยใช้น้ำเสียงที่คุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้ว
คฤหาสน์ทั้งหลังให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าบ้านของครอบครัวแอ๊บบี้ นั่นน่าจะเกิดจากความทรงจำเลวร้ายทั้งหมดที่เธอต้องทนอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น ไม่ใช่เพราะคฤหาสน์ที่เธออยู่ตอนนี้ดูดีกว่าแต่อย่างใด
หลังจากเดินไปประมาณไม่กี่นาที ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทางเข้าสนามประลอง
“นี่คือทางเข้าสู่สนามประลองของเรา คุณหนูจะรอพวกคุณอยู่ข้างใน ตอนนี้ผมขอตัวก่อน แต่หากต้องการสิ่งใดเรียกผมได้เสมอ” พ่อบ้านพูดพร้อมกับโค้งคำนับและเดินย้อนกลับไปทางที่พวกเข้าพึ่งมา
เวทีตรงหน้าของเธอมีขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้แอ๊บบี้รู้สึกประหลาดใจ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าสนามประลองขนาดใหญ่เช่นนี้จะถูกบรรจุอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้
ตรงกลางเวทีมีร่างของหญิงสาวผมสีน้ำเงินยืนรออยู่
“ลูกศิษย์ของนายก็คือ เจย์เดน กริฟฟิธเหรอเนี่ย!? ฉันได้ยินมาว่าเธอนั้นเอานายมาเป็นสัตว์เลี้ยง! สรุปว่ามันเป็นแค่การปิดบัง ที่แท้เธอเป็นลูกศิษย์ของนายต่างหาก!?” เธออุทานออกมา
“ใช่แล้ว!” โมบี้ตอบด้วยความมั่นใจอย่างชัดเจน
ในที่สุดเมื่อพวกเขามาถึงกลางเวที เจย์เดนก็คำนับเขาแล้วพูดว่า
“สวัสดีค่ะอาจารย์ ดูเหมือนว่าคุณจะได้ลูกศิษย์คนใหม่แล้ว”
“ใช่ เธอจะเป็นลูกศิษย์ที่จะมาเป็นเพื่อนของเธอ ฉันหวังว่าพวกเธอทั้ง 2 คนจะเข้ากันได้ดีนะ” โมบี้ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าเชื่อถือ
“เอ่อ…ท่านอาจารย์…คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคุณจะช่วยฉันเอาชนะปัญหาของฉันได้อย่างไร” แอ๊บบี้ถามพร้อมกับโค้งคำนับ
หลังจากเห็นว่าเจย์เดนแสดงความเคารพต่อโมบี้อย่างมาก เธอก็รู้สึกว่ามันจะแปลกถ้าเธอทำตัวสบาย ๆ กับเขามากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอพยายามขอร้องบางสิ่งบางอย่างอยู่
“คอขวดของเธอนั้นเกิดจากร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เกิดของเธอ ตอนนี้ร่างกายของเธอนั้นมาอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว ไม่ว่าเธอจะฝึกหนักแค่ไหนเธอก็จะไม่มีทางแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ไม่ต้องกังวล! ที่จะบอกก็คือฉันเคยผ่านประสบการณ์ที่คล้ายกันมาแล้ว ฉันอ่อนแอ อ่อนแออย่างมาก ความแข็งแกร่งของฉันแทบไม่เคยมากขึ้นกว่าเดิมเลย ทว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันได้รับอำนาจที่สมบูรณ์แบบ เพื่อทลายข้อจำกัดและพันธนาการของมนุษย์และกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น!” โมบี้กล่าวโดยบอกความจริงบางส่วนกับเธอ แต่ยังคงมีอีกหลายสิ่งปิดบังอยู่
“ฉันไม่แน่ใจว่าฉันเข้าใจสิ่งที่นายเพิ่งพูด แต่ถ้ามันสามารถทำให้ฉันผ่านพ้นปัญหาและช่วยให้ฉันมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ฉันก็จะยอมเป็นหนี้บุญคุณของนายไปตลอดชีวิต” แอ๊บบี้โค้งคำนับพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“วิธีนี้จะเจ็บมากเจ็บกว่าที่เคยรู้สึกมาตลอดชีวิต แน่ใจไหมว่ายังอยากจะลอง” โมบี้ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แน่นอนกว่าทุกอย่างในชีวิต! ถ้ามันได้ผลฉันสัญญาว่าจะตอบแทนทุกสิ่งที่นายต้องการ เท่าที่ฉันจะสามารถทำได้!” เธอตอบอย่างไม่ลังเลเลย
“ดี! ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือผ่อนคลายและปล่อยให้พลังงานของฉันไหลเวียนภายในร่างกายของเธอโดยไม่ขัดขืนใด ๆ” โมบี้พูดขณะที่เขาวางมือบนศีรษะของเธอ
ทันใดนั้นความรู้สึกมหัศจรรย์ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอ ขณะที่เธอรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไม่รู้จักผ่านเข้ามาในหัวของเธอ เธอรู้สึกสงบและมีความสุขมากกว่าที่เคยรู้สึกมาตลอดหลายปีหรืออาจจะทั้งชีวิต
‘นี่มันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอก… ‘ เธอคิดพร้อมกับรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้า