the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 319 สิ่งเดียวที่ทำลายมนุษย์คือตัวมนุษย์เอง
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 319 สิ่งเดียวที่ทำลายมนุษย์คือตัวมนุษย์เอง
ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงดังลั่นของอันอวี้เฉียนเข้าหู เริ่นเสี่ยวซู่คงไม่ถ่อมาถึงที่นี่หรอก
“ดังขนาดนั้นเลย?” อันอวี้เฉียนผงะเล็กน้อย จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้า “กำลังกลับบ้าน?”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่มองเข้าไปในลานบ้าน และเห็นว่าชายชรากับหญิงชราดูอารมณ์ดีกันไม่น้อย เขาอดถามอันอวี้เฉียนไม่ได้ว่า “พวกเขาคือคนที่ชนะได้เงินลุงไปเหรอ”
“ช่าย” อันอวี้เฉียนยิ้มพูด
“ไม่รู้เหรอไงว่าพวกเขาลอบสลับไพ่น่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
อันอวี้เฉียนเงียบไปและรีบลากเริ่นเสี่ยวซู่ออกจากตรอก เริ่นเสี่ยวซู่พลันเข้าใจ “ลุงตั้งใจเสียเงินให้พวกเขางั้นสิ”
“ใช่” อันอวี้เฉียนพูดพร้อมถอนหายใจ
เริ่นเสี่ยวซู่พลันคิดออกว่าเป็นเพราะเรื่องนี้เองอันอวี้เฉียนถึงได้มีชีวิตอย่างน่าเวทนานัก เริ่นเสี่ยวซู่เคยถามเรื่องความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ของอันอวี้เฉียนกับพระราชวัง ซึ่งมันตอบมาว่าเขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าความเชี่ยวชาญของอันอวี้เฉียนน่าจะอยู่ในระดับไร้ที่ติอะไรแบบนั้นเสียอีก แต่พระราชวังพูดว่าในด้านวิทยาศาสตร์ไม่มีระดับไร้ที่ติ ดังนั้นทุกคนสามารถมาถึงระดับสูงสุดได้ที่แค่ระดับปรมาจารย์
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจสิ่งที่พระราชวังต้องการสื่อ อย่างไรมนุษย์ก็กำลังสืบค้นแดนแห่งวิทยาศาสตร์อยู่ ย่อมไม่มีใครสามารถก้าวไปถึงความสมบูรณ์แบบได้
แต่ไฉนคนที่มีความเชี่ยวชาญคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ระดับปรมาจารย์ถึงมาลงเอยเป็นบรรณารักษ์ได้ล่ะ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีเรื่องราวอะไรเบื้องหลัง
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “พวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับลุงน่ะ”
“พวกเขาเป็นสมาชิกครอบครัวของเพื่อนเก่าสองคนที่เป็นลูกศิษย์ของฉันน่ะ” อันอวี้เฉียนว่า “ระหว่างทำการทดลอง เพราะฉันประมาทเลินเล่อเลยเกิดระเบิดในแล็บ ผู้ช่วยสองคนของฉันเลยเสียชีวิต”
“ทดลองอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ลองเดา “ทดลองนิวเคลียร์?”
“ถ้าเป็นงั้นนายคงไม่เห็นป้อมปราการ 88 แล้วไหมฮึ” อันอวี้เฉียนหงุดหงิด
“อ้อ” เริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าอันอวี้เฉียนทำงานในสาขาฟิสิกส์นิวเคลียร์เสียอีก
“จากนั้นก็ถูกไล่ออกและเสียอาชีพไป แฟนฉันก็ขอเลิก ก่อนที่เธอทิ้งฉันไปยังเอาเต่าที่เลี้ยงไว้ที่บ้านไปด้วย” อันอวี้เฉียนถอนหายใจ
“เพราะงั้นลุงเลยหดหู่เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
“คิดว่าไงล่ะ ถ้าเป็นนายจะทำยังไง” อันอวี้เฉียนถาม
เริ่นเสี่ยวซู่คิดตามอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “อย่างน้อยก็แบ่งเต่าครึ่งหนึ่งแล้วเอามาหมักในไหเหล้าตัวเองไง”
อันอวี้เฉียน “???”
กำลังพูดถึงอดีตน่าเศร้าของเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ มาพูดเรื่องแบ่งครึ่งเต่าล่ะเนี่ย
เขาไม่รู้หรอกว่าผู้อพยพอย่างเริ่นเสี่ยวซู่น่ะ ต่อให้คนที่รักตายไป ก็ยังใช้ชีวิตต่อไปตามปกติไม่มีเวลาที่ไหนไปคร่ำครวญหรอก
เริ่นเสี่ยวซู่เจอชาวเมืองน้อยมากมายที่คนในครอบครัวเสียชีวิตไปในวันก่อนหน้าและวันต่อมาก็ยังต้องไปทำงานต่อ
พวกเขาเดินไปตามถนน ร่างของอันอวี้เฉียนใต้แสงไฟส้มสลัวดูหม่นหมองเป็นพิเศษ
เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ลุงตั้งใจเสียเงินเพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นใช่ไหม”
“ใช่” อันอวี้เฉียนพยักหน้า “ยังไงฉันก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้วไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเขาไม่ใช่ พอไม่มีลูกก็ไม่มีใครคอยช่วยเหลืออีก”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ลุงเป็นคนมีน้ำใจมากเลยน่ะ”
“ยังไงพวกเขาก็ตายเพราะฉัน” อันอวี้เฉียนว่า
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะ!” เริ่นเสี่ยวซู่โบกมือและแยกทางกับอันอวี้เฉียน ถึงเขาจะไม่อาจเห็นอกเห็นใจอันอวี้เฉียนได้ แต่ใจก็รู้สึกเคารพนับถือเขาจากใจจริง
อันอวี้เฉียนพลันเรียกเริ่นเสี่ยวซู่และถาม “ทำไมนายถึงเสาะหาความรู้นักล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่หันมามอง และกล่าวขึ้นบนถนนยาวในเงามืด “ผมเคยตอบคำถามนี้ไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
“นายรู้หรือเปล่าว่าปลายทางของวิทยาศาสตร์มีอะไรรออยู่” อันอวี้เฉียนถาม
“ไม่รู้” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว
“มันไม่มีปลายทาง!” อันอวี้เฉียนว่า “และนั่นทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง!”
“สิ้นหวังเรื่องอะไรล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจ
อันอวี้เฉียนดูเหมือนไม่ได้กำลังกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่แต่เอ่ยกับตัวเอง “ดินแดนนี้เมื่อหนึ่งร้อยหกสิบห้าล้านปีก่อนมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่แต่โฮโม[1]มีตัวตนขึ้นมาราวๆ สามล้านปีก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงภัยพิบัติธรรมชาติหรือการกลายพันธุ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พวกเราอาจจะไม่ได้เห็นหายนะที่ภัยพิบัติธรรมชาตินำมาให้ในชีวิตนี้ด้วยซ้ำ…แต่สิ่งเดียวที่ทำลายมนุษย์คือตัวมนุษย์เอง!”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกจับทางไม่ถูกอยู่บ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอันอวี้เฉียนพูดเรื่องนี้กับเขาทำไมและอะไรดลใจให้เขาพูดเช่นนี้กับตน
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “งั้นลุงคิดว่ามนุษย์จะทำลายตัวเองได้ยังไง”
“วิทยาศาสตร์”
คำพูดนี้ผ่ากลางรัตติกาล ราวกับนี่คือชะตาลิขิตที่รอมนุษย์อยู่ ณ ปลายถนนยาว
“สติไปหมดแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่โบกมือลากลับบ้าน
…
เริ่นเสี่ยวซู่กลับบ้าน และก็เห็นว่าทุกคนกำลังรออยู่ในลานหน้าบ้าน เขามองสีหน้าของทุกคน “ทำไมรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีเลยล่ะเนี่ย”
เหยียนลิ่วหยวนเดินมาส่งจดหมายเชิญที่มีอักษรนูนสีทองและลวดลายตกแต่งอยู่ตรงมุม มันมีพู่ประดับห้อยลงมาตรงกลางจดหมายด้วย
จดหมายเชิญนี้ประทับผนึกขี้ผึ้งลวดลายแกะสัมฤทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของสมาคมตระกูลหยางอย่างสวยงาม
เหยียนลิ่วหยวนว่า “มีคนมาส่งให้เมื่อตอนเย็น พวกเขาบอกว่าสมาคมตระกูลหยางเชิญพวกเราสองคนไปที่คฤหาสน์ แล้วก็เตือนว่าให้ใส่ชุดทางการด้วยเพราะคืนนั้นจะมีแขกผู้มีเกียรติจำนวนมาก”
เริ่นเสี่ยวซู่เปิดซองจดหมาย ถึงข้อความจะเขียนอย่างสุภาพมาก แต่ทุกคนก็ทราบดีว่าที่จู่ๆ สมาคมใหญ่อย่างตระกูลหยางส่งจดหมายเชิญเด็กผู้อพยพสองคนนี้ไม่ใช่เพียงเพราะแค่อยากทำความรู้จักแน่
“ไปดีไม่ไปดี” เหยียนลิ่วหยวนกระซิบถาม “ผมรู้สึกว่าสมาคมตระกูลหยางไม่ประสงค์ดี”
“งานเลี้ยงที่หงเหมิน?[2]” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ไม่ใช่ว่าแก้วเหล้าแตกปุ๊บแล้วจะมีมือสังหารสามร้อยนายโถมมาจากเงามืดหรอกมั้ง”
“ผมว่าไม่น่านะ” เหยียนลิ่วหยวนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ยังสบายใจได้อยู่ก็หัวเราะ “แต่เรื่องไม่ได้เรียบง่ายแน่นอน”
“เอาล่ะ เรื่องนี้ยังไม่ต้องคิดมาก” เริ่นเสี่ยวซู่ตบหัวเหยียนลิ่วหยวนเบาๆ “พรุ่งนี้เช้าฉันจะพานายไปซื้อเสื้อผ้า ต้องไปดูกันหน่อยว่างานเลี้ยงที่สมาคมจัดหน้าตาเป็นยังไง”
“ได้” เหยียนลิ่วหยวนรับคำอย่างเชื่อฟัง
เริ่นเสี่ยวซู่พลันถาม “มีปัญหาอะไรที่โรงเรียนไหม”
“ไม่มี ทุกอย่างราบรื่นไม่เลว” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม
“โกหกทีไรก็ยิ้มแบบนี้ตลอด” เริ่นเสี่ยวซู่ “นายกับต้าหลงโดนเพื่อนร่วมห้องแบนล่ะสิ”
“เปล่าๆ พี่รีบเข้าไปพักเหอะ อาการบาดเจ็บพี่ยังไม่หายดีเลย” เหยียนลิ่วหยวนพูดระหว่างพลักเริ่นเสี่ยวซู่เข้าบ้านไป
หวังฟู่กุ้ยเดินมาหา “วันนี้ฉันออกไปแลกทองจำนวนหนึ่งเป็นเงิน แต่ไม่ได้แลกมากกันคนเพ่งเล็ง…”
“มาพูดเรื่องเงินอะไรดึกๆ ดื่นๆ เสี่ยวซู่เหนื่อยแล้ว ให้เขาไปพักผ่อนก่อน” เสี่ยวอวี้บ่นมาจากทางข้างหลัง “เสี่ยวซู่กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวฉันไปอุ่นอาหารกับผัดมะเขือเทศผัดไข่ให้ ในหม้อยังเหลือซุปไก่อยู่…”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม นี่สินะบ้าน
[1] โฮโม (Homo) หมายถึงพี่น้องร่วมสายสกุลมนุษย์สมัยใหม่ (Homo sapiens)
[2] งานเลี้ยงที่หงเหมิน (Hongmen Banquet; 鸿门宴) เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์จีน เป็นส่วนหนึ่งของสงครามฉู่-ฮั่น เซี่ยงอวี่หรือฌ้อปาอ๋องแห่งรัฐฉู่เรียกหลิวปังแห่งรัฐฮั่นมาร่วมงานเลี้ยง ซึ่งตัวหลิวปังก็รู้ว่านี่เป็นงานเลี้ยงสังหาร แต่การไม่ไปนั้นจะเป็นอันตรายมากกว่า สุดท้ายหลิวปังก็รอดจากงานเลี้ยงไปได้