the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 254 ล่าทหารนาโนแมชชีน
เริ่นเสี่ยวซู่รู้ว่าพวกหวังอวี่ฉือเป็นนักเรียนระดับท็อป เพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ติด พวกเขาเริ่มศึกษาหาความรู้เกินระดับตัวเองไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังอดแคลงใจไม่ได้ว่านักเรียนมัธยมไม่กี่คนจะทำได้ถึงไหนกัน ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ก็พบว่าตนดูถูกนักเรียนของเจียงอู๋เกินไป ที่เจียงอู๋ใช้ชีวิต เกียรติภูมิ และหลักการเพื่อปกป้องพวกเขานั้น พวกเขาไม่ได้ทำให้เธอขายหน้าเลย
หวังอวี่ฉือคิดพักหนึ่งแล้วว่า “จะให้ออกแบบอะไรประณีตเกินไปคงไม่ไหว อย่างมากที่พวกเราทำได้ก็คือลดแรงต้านให้มากที่สุด และพยายามพัฒนาแบบระบบเกียร์กลเท่าที่…”
“ไม่ต้องอธิบายแล้ว ขอเถอะ!” เริ่นเสี่ยวซู่โบกมือไหวๆ “ออกแบบร่างคร่าวๆ มาก่อน หลังจากเรียนเพิ่มแล้วค่อยพัฒนาต่อ!”
“แต่หัวหน้าห้อง พวกเราไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมหัวหน้าห้องต้องอยากได้ของอย่างนี้ด้วยล่ะ” หวังอวี่ฉือข้องใจ “อย่างแรกเลยพวกเราไม่มีวัตถุดิบ อย่างที่สอง แหล่งพลังงานของชุดเกราะ…”
เริ่นเสี่ยวซู่โบกมืออีกรอบ “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกเราได้มีแน่!”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าข้อข้องใจของหวังอวี่ฉือสามารถไขได้ด้วยการใช้นาโนแมชชีน แต่เขายังบอกความจริงให้หวังอวี่ฉือฟังไม่ได้
หวังอวี่ฉือและนักเรียนคนอื่นๆ จ้องเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาว่างเปล่า ช่างเหอะ ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วล่ะ…
พวกนักเรียนพอเดาลางๆ ได้ว่าหัวหน้าห้องคงเจอของดีอะไรอีกแล้วแน่ๆ ยากจะกล่าวว่าใครเป็นผู้ตกหลุมพลางของเขาอีก
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่นายทหารกองพันเทพยนต์ใกล้ๆ อีกครั้ง ราวกับกำลังดูชุดเกราะใหม่เอี่ยมของตนอย่างไรอย่างนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่คิดแผนการได้แล้ว ถ้าถังโจวสามารถใช้ประโยชน์จากข่าวล่าสุดไป มันหมายความว่ากองพันเทพยนต์จะมีทางถอยจากสนามรบหลังจากนี้ไม่กี่ทางเท่านั้น เขาต้องวิเคราะห์สถานการณ์ในอนาคตให้ออกก่อน เขาถึงจะสามารถลงมือเก็บเกี่ยวนาโนแมชชีนมาทำชุดเกราะใหม่ได้สำเร็จ แต่เขายังสงสัยอยู่ว่าพวกถังโจวนั้นแข็งแกร่งและมีความสามารถมากขนาดไหน แต่พวกเขาก็คงไม่ได้อ่อนแอมากหรอก
หิมะตกถาโถมลงป่าเขาไม่หยุด ไม่ใช่แค่ด้านสมาคมตระกูลหลี่ที่เผชิญหิมะตก แต่ทั้งคนของสามสมาคมต่างโดนพายุหิมะจนติดแหงกตามสนามรบทั้งหลาย
เพราะถนนโดนหิมะหนากีดขวาง รถจึงไม่อาจขับผ่านได้ สถานที่บางแห่งหิมะถึงกับท่วมถึงเอวของทหาร จะสู้รบในสภาพการณ์แบบนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
หิมะต่างหากที่เป็นอาวุธทำลายล้างวงกว้างที่แท้จริง
การติดขัดของสงครามตอนนี้ไม่ต่างจากปลายกระบอกปืนกลหนักที่ถูกยิงจนร้อนฉ่าซึ่งจู่ๆ ก็โดนหิมะโปะจนปลายกระบอกปืนเย็นลง
เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนเดียวที่ออกจากค่ายทุกค่ำคืนและกลับมานอนในตอนรุ่งเช้า ตอนที่เขาหลับก็จะเป็นเฉินอู๋ตี๋คอยเฝ้า ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้
ไม่กี่วันมานี้ หลายคนกินหมั่นโถวไปกันหมดแล้ว ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ก็จะกลับมาทุกวันพร้อมมันฝรั่งเต็มไปหมด แต่ละครั้งจะเอามายี่สิบแปดยี่สิบเก้าหัว ด้วยเหตุนี้กลุ่มของเขาจึงมีอะไรกินทุกวัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เอามันฝรั่งมาจากไหน
พูดไปแล้ว หน่วยของเขาดูไม่เห็นจะเคยขาดอาหารเลย
พอเริ่นเสี่ยวซู่ตื่นมา หลี่ชิงเจิ้งก็ถามอย่างสงสัยว่า “เสี่ยวซู่ ทำไมช่วงนี้ดูยุ่งจังเลยล่ะ พอเย็นปุ๊บก็ออกไปข้างนอกตลอดเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างเหนื่อยอ่อน “ฉันก็ไปขุดมันฝรั่งมาให้ทุกคนไง จะให้ทุกคนกินอากาศธาตุบนขุนเขาอย่างเดียวก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
พอพูดอย่างนั้นแล้วทหารทั้งหน่วยก็น้ำตารื้น “หัวหน้าหน่วย คุณเป็นคนดีจริงๆ เลย! ขอบคุณนะหัวหน้าหน่วย!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเหรียญคำขอบคุณที่เพิ่มพูนขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้ว่าการปลดล็อคอาวุธใหม่นั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
ที่จริงเขาไม่ได้ออกไปขุดมันฝรั่งหรอก แต่ไปตกลงแผนการกับถังโจวต่างหาก
ถังโจวและคนของเขามีแผนที่สนามรบอยู่ ซึ่งหลังจากเริ่นเสี่ยวซู่ดูแล้วก็ช่วยเขาไว้ได้มาก เริ่นเสี่ยวซู่ยังคิดด้วยว่าคงจะปลอดภัยกว่าถ้าตนไปตรวจสอบสถานที่เหล่านั้นด้วยตัวเอง เพราะอย่างนั้นสองวันมานี้เขาจึงเทียวหาที่ซุ่มโจมตีชั้นยอดใกล้กับเส้นทางหนีสองแห่งที่กองพันเทพยนต์น่าจะถอยมา
การกระทำครั้งนี้ทำให้ถังโจวตื้นตันจนน้ำตารื้น “เสี่ยวซู่ นายเป็นสหายอันดีงามของสมาคมตระกูลชิ่งเรา!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองถังโจวแล้วว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะขโมยโทรศัพท์ดาวเทียมมาให้พวกนาย คิดว่าชิ่งเจิ่นกลับหลัวหลานยังมีโอกาสกลับมายืนได้ใหม่ไหม ฉันว่าเป็นเพื่อนกับหลัวหลานนี่ดีไม่เลวเลย”
“พวกเขาจะกลับมาแน่” ถังโจวตอบอย่างแน่วแน่ “ท่านชิ่งเจิ่นกับเถ้าแก่หลัวไม่อยู่ใต้การคุมขังในบ้านอีกนานหรอก พวกเรากำลังรอคอยวันนั้นอยู่”
“ถ้าเจ้าอ้วนหลัวได้ยินคำพูดนาย เขาต้องประทับใจมากแน่ๆ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “พรุ่งนี้เย็นค่อยเจอกันอีกรอบ ตอนนั้นฉันจะเอาโทรศัพท์ดาวเทียมมาให้”
สถานที่ที่เขานัดเจอกันห่างจากจุดที่เริ่นเสี่ยวซู่ปลูกเถาหนามอยู่หน่อยหนึ่งเนื่องด้วยกลัวว่าตัวเองจะถูกพบเห็นเข้า
“นายบอกว่ามีทหารนาโนแมชชีนห้านายนี่” ถังโจวถาม “ให้พวกเราช่วยใหม่”
เริ่นเสี่ยวซู่หันตัวกลับพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันมีเฉินอู๋ตี๋คอยช่วยอยู่”
รอบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะให้เฉินอู๋ตี๋ทำอะไรหรอก แต่ที่พูดแบบนั้นกับถังโจวไปเพราะจะรับมือทหารนาโนแมชชีนห้านายนั้นไม่ง่ายเลย ต่อให้เขามีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมตระกูลชิ่ง ก็ยังไม่อยากให้พวกเขารู้จักพลังของตนอยู่ดี
เช้าวันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่ก็เดินกลับค่ายพร้อมอุ้มกระต่ายในอ้อมแขน ทุกคนเห็นร่างเริ่นเสี่ยวซู่มาแต่ไกล
คนที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าค่ายอุทาน “เขาไปจับกระต่ายมาจากไหนล่ะนั่น ตัวอย่างใหญ่!”
เสบียงของนายทหารกองพันเทพยนต์ก็เริ่มหมดแล้วเช่นกัน แถมกินอาหารสนามทุกวันจะไปสู้กินเนื้อย่างได้อย่างไร พอนายทหารเห็นกระต่ายของเริ่นเสี่ยวซู่ในอ้อมแขน ลูกตาพวกเขาก็แทบหลุดออกจากเบ้า
แต่ทันใดนั้น กระต่ายตัวโตสะบัดดิ้นรนในอ้อมแขนของเริ่นเสี่ยวซู่ ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่ล้มลงกับพื้นหิมะ เจ้ากระต่ายกระโดดหนีไปทันที!
ทหารเทพยนต์พูดอย่างตระหนก “ทำไมไม่จับให้มันแน่นๆ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ตกใจ “ตามล่ามันเร็ว! ไม่งั้นฉันก็เหนื่อยเปล่าสิ!”
พอนายทหารกองพันเทพยนต์ทั้งห้าได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่คิดมากรีบเปิดใช้งานนาโนแมชชีน ความเร็วที่ระเบิดออกรวดเร็วยิ่งกว่าเจ้ากระต่าย
เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ข้างหลังหรี่ตามอง ดูจากหลินชีที่มีความเร็วไม่ถึงขนาดนั้น ทหารพวกนี้มีนาโนแมชชีนในร่างมากกว่าจริงๆ ด้วย
คนกลุ่มใหญ่ออกจากค่ายฝ่าหิมะไล่ตามกระต่ายหนี แต่ทันใดนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน พวกเขาเห็นเถาหนามสีแดงก่ำโผล่พรวดขึ้นมาตรงจุดที่นายทหารทั้งห้ายืนอยู่ และรัดพวกเขาไว้
หนามจากเถาทิ่มแทงลงบนผิวหนัง ที่ทำให้นายทหารหวาดผวาคือหนามจากเถาวัลย์พวกนี้มันดูดเลือดไปจากพวกเขาด้วย!
นายทหารกองพันเทพยนต์ออกแรงสุดชีวิตฉีกตาข่ายหนาม พวกเขาทั้งห้าหลุดออกมาได้และหอบหายใจอย่างหนัก ทว่าก่อนที่พวกเขาจะทันหายตกใจ คลื่นเถาหนามสีแดงก่ำก็โจมตีเข้ามาอีกครั้ง!
ราวกับมีเถาหนามแดงฉานนับไม่ท้วน!
พอคนที่ตามหลังมาเห็นภาพน่าสยดสยองก็พลันถอยหนีด้วยความหวาดกลัว