the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 190 เครื่องถล่มภูเขา
ทหารของสมาคมตระกูลชิ่งประจำตำแหน่งอยู่หลังป้อมปืนกลหนักบนรถหุ้มเกราะ พอชิ่งเจิ่นให้คำสั่ง ปืนกลหนักก็สาดกระสุนดังราวฟ้าลั่น จำนวนกระสุนนับไม่ถ้วนพ่นออกมาเป็นตาข่ายกักขังตัวทดลองในวายุสลาตันโลหะอันน่าพรั่นพรึง!
ปลอกกระสุนจำนวนมากตกลงมาจากหลังคารถหุ้มเกราะ เพียงแค่ครึ่งนาที พื้นถนนรอบรถหุ้มเกราะก็กลายเป็นสีเหลืองอร่ามจากปลอกกระสุนอันว่างเปล่า
ตัวทดลองที่ไร้ซึ่งความกลัวเกรงต่อกระสุนปืนถูกพายุโลหะบดขยี้ หนังหนาของมันถูกกระสุนเจาะทะลุ แรงจากกระสุนปืนทำให้พวกมันกระดอนขึ้นไปบนอากาศ แต่ก่อนที่ร่างจะตกถึงพื้น ก็โดนคลื่นกระสุนอีกห่าหนึ่งซัดใส่จนกลายเป็นเนื้อบด
ก่อนหน้านี้มีบ้านเรือนไม่น้อย แต่พอพายุโลหะพัดมาถึง แนวกำแพงบ้านล้วนแหลกเหลวกลายเป็นฝุ่นผง
พายุกระสุนทำให้โครงสร้างบ้านเรือนล้มลงดั่งภูเขาถล่ม
ตัวทดลองบางตัวใช้บ้านเป็นที่กำบัง แต่กระนั้นพวกมันไม่รู้เลยว่าบ้านไม่อาจต้านทานห่ากระสุนจนพังครืน
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้หนีต่อ เขาเพียงมองภาพอำมหิตเลือดสาดตรงหน้า นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงเป็นผู้ควบคุมโลก อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ซึ่งสร้างอาวุธที่ผู้มีพลังพิเศษกลัวเกรง
เสียงเครื่องยนต์กึกก้องเป็นดั่งสัตว์ร้ายที่แท้จริง และกระสุนก็ดั่งทะเลลูกศรที่ซัดโหมยิ่งกว่าคลื่นยักษ์
มีแค่สมาคมตระกูลชิ่งที่มีปืนกลหนักพวกนี้ในคลังแสง รถหุ้มเกราะเหมือนกับกล่องเหล็กหนาหนัก และปืนกลหนักนี้ได้รับขนานว่า ‘เครื่องถล่มภูเขา’ ซึ่งหมายถึงสิ่งที่สามารถทำลายได้แม้แต่ขุนเขานั่นเอง
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าด้านในของรถหุ้มเกราะมีท่อเหล็กหลายท่อเชื่อมเข้าโครงหลักของปืน รถหุ้มเกราะแต่ละคันน่าจะเป็นอุปกรณ์ทำความเย็นกันไม่ให้ปืนกลหนักร้อนเกินไป
ชิ่งเจิ่นยืนอยู่กลางถนน คอยมองตัวทดลองที่เจออาวุธปืนของอารยธรรมมนุษย์กดดันจนค่อยๆ ล่าถอยไป ในที่สุดตัวทดลองที่ไร้ซึ่งความกลัวเกรงก็เริ่มหวาดกลัวแล้ว
ทันใดนั้นก็มีคนสังเกตเห็นตัวทดลองยืนตระหง่านอยู่เหนือตึกแห่งหนึ่ง ทว่าชิ่งเจิ่นมองกลับไปอย่างไม่ยี่หระ
หลัวหลานหัวเราะกับเริ่นเสี่ยวซู่ “เป็นไง กองกำลังครึ่งหนึ่งของที่นี่เป็นกองกำลังของฉันตอนที่อยู่ป้อม 113 เจ๋งเปล่า!”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตอบ นี่ชิ่งเจิ่นรวบรวมกองกำลังของหลัวหลานที่แตกกระจายหายไปตอนเกิดแผ่นดินไหวอย่างนั้นหรือ สองพี่น้องคู่นี้คงติดต่อกันอยู่ตลอด พอหลัวหลานเห็นสัญลักษณ์ใบแปะก๊วยความหวาดกลัวก็มลายสิ้น
ตัวทดลองเริ่มล่าถอยไปแล้ว ชิ่งเจิ่นพูดเสียงเย็น “อย่าไล่ตาม”
ทุกคนเข้าใจดีว่าถ้าพวกตนสู้ด้วยการอยู่ประจำตำแหน่ง ปืนกลหนักก็จะทรงพลังมากกว่า แต่ทันทีที่พวกเขาเริ่มเคลื่อนตัวตามล่าศัตรูจนกลายเป็นการรบในเมือง กำลังคนของสมาคมก็จะไม่เพียงพอต่อการสู้รบตบมือ
ยิ่งไปกว่านั้นคือป้อมปราการนี้อยู่ภายใต้อำนาจของสมาคมตระกูลหลี่ ทางสมาคมตระกูลชิ่งไม่มีเหตุอะไรต้องช่วยสมาคมตระกูลหลี่ล้างบางพวกตัวทดลอง ปล่อยเรื่องปวดหัวขนานใหญ่นี้ให้สมาคมตระกูลหลี่จัดการเองดีกว่า
เดิมทีสมาคมตระกูลชิ่งควบคุมยี่สิบเอ็ดป้อมปราการ แต่พอเกิดแผ่นดินไหว จำนวนป้อมปราการภายใต้การควบคุมก็เหลือเพียงสิบเก้าแห่ง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สมาคมตระกูลชิ่งก็มีแต่จะหวังให้สมาคมอื่นๆ มีป้อมปราการในอาณัติลดน้อยลงไปไม่ต่างกัน แบบนี้จะได้ยุติธรรมกันหน่อย
พอตัวทดลองหลบลึกเข้าไปในตัวเมืองป้อมปราการแล้ว หลัวหลานก็เข่าทรุดนั่งกับพื้น “ขอน้ำหน่อย ด่วนๆ”
ทหารหลายนายยกถังน้ำสะอาดออกมาจากรถหุ้มเกราะจำนวนหนึ่ง แล้วก็ส่งแก้วออกไปให้คนที่สู้รบมากับหลัวหลานที่ตอนนี้สภาพไม่ต่างไปจากผู้อพยพ
ชิ่งเจิ่นมองเขาแล้วหัวเราะ “ฉันบอกให้นายรีบออกก่อนหน้านี้ไง แต่ก็ยังยืนกรานจะเอาผลงานวิจัยของสมาคมตระกูลหลี่มาให้ได้ โลภของแบบนั้นจนสภาพแบบนี้ก็โทษใครไม่ได้”
“นายไม่รู้ล่ะสิ” หลัวหลานกระดกน้ำไปอึกใหญ่ “สมาคมตระกูลหลี่พบวิธีเชื่อมต่อกับเซลล์ประสาทในสมองแล้ว ต่อไปพวกเขาไม่ต้องตั้งโปรแกรมให้นาโนแมชชีนอีก สามารถใช้สมองของมนุษย์เป็นตัวสั่งการโปรแกรมได้เลย นี่เป็นเทคโนโลยีสำคัญมากเลยนะ นายคิดดูสิว่าถ้านาโนแมชชีนสามารถทำงานซับซ้อนได้แล้วจะน่ากลัวแค่ไหน”
ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “โลกนี้มีเทคโนโลยีสำคัญเยอะแยะ แต่เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่ของที่เราต้องการเสียหน่อย เรื่องนาโนไบโอติกส์พวกเรายังวิจัยไม่สำเร็จเลย ได้เทคโนโลยีนี้มาก็เท่านั้น”
“แต่เราเอาไปขายให้องค์กรอื่นก็ได้นี่” หลัวหลานพูดอย่างโมโห ชี้มือชี้ไม้ไปที่หยางเสียวจิ่น “ดูดิ สมาคมตระกูลหยางของยัยนี้ยังคิดอยากได้เทคโนโลยีนี้เลย ทำไมพวกเราไม่ขายให้พวกเธอซะล่ะ”
ชิ่งเจิ่นหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่น ก่อนจะกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “นายเคยช่วยพี่ชายฉันมาก่อน ฉันบอกเลยว่าฉันติดหนี้บุญคุณนาย”
“บุญคุณนั้นทดแทนไปแล้ว” หลัวหลานรีบพูด “ฉันทดแทนไปแล้วนะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ฟังแล้วก็ไม่พอใจ “แต่รอบนี้ฉันช่วยทหารไว้ตั้งหลายนาย”
หลัวหลานได้ยินก็ไม่พอใจไม่ต่างกัน “สูเสี่ยนฉู่ต่างหากที่ช่วยพวกเราไว้ ไปเกี่ยวอะไรกับนายตอนไหน”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
เรื่องนี้เขาปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย
ทันใดนั้นหลัวหลานก็พูดอย่างตกใจว่า “อะ สูเสี่ยนฉู่หายไปไหนแล้ว เมื่อกี้เงาของเขายังอยู่แถวนี้อยู่เลยนี่”
หยางเสียวจิ่นพูดเสียงนิ่ง “เขากลัวว่าพวกนายจะจับเขาเลยหนีไปแล้วน่ะสิ”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดตาม “ใช่แล้วล่ะ เขาหนีไปแล้ว”
ชิ่งเจิ่นหันไปกล่าวกับคนรอบๆ “ตั้งแต่วันนี้ไปสูเสี่ยนฉู่ไม่อยู่บนรายชื่อล่าค่าหัวอีก สมาคมตระกูลชิ่งกับเขาถือว่าหายกัน” จากนั้นเขาก็หันไม่มองหยางเสียวจิ่น “ทำไมผู้ก่อจลาจลถึงหมายหัวฉัน”
“นายจำเรื่องสถานีทดลองนิวเคลียร์ที่นายสร้างไว้ไม่ได้หรือไง” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงเย็น
เริ่นเสี่ยวซู่คิด แม่คุณ พวกเขามีพวกตั้งมากนะตอนนี้ ไม่น่าใช่เวลามาเถียงเขามั้ง
สุดท้ายชิ่งเจิ่นก็หัวเราะแล้วว่า “ขนาดสภาผู้บริหารของสมาคมตระกูลชิ่งยังไม่รู้เรื่องสถานีเลย แต่พวกเธอกลับรู้เรื่องแล้ว แค่เรื่องนั้นฉันถึงต้องตายเหรอ”
หยางเสียวจิ่นมองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง “นายคิดจะควบคุมสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้ โลกเคยถูกทำลายเพราะมันไปแล้วรอบหนึ่ง นายกำลังเล่นกับไฟ”
ชิ่งเจิ่นส่ายหน้า “เทคโนโลยีนิวเคลียร์ผิดอะไร ที่ผิดคือมนุษย์ต่างหาก เธอไม่รู้หรอกว่าไฟสีฟ้าในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์มันสวยงามขนาดไหน มันคือของขวัญที่โลกประทานมาให้”
“มนุษยชาติไม่ควรแม้แต่จะพยายามควบคุมอำนาจที่ทำลายตัวมนุษยชาติเองได้” หยางเสียวจิ่นยังพูดอย่างดื้อรั้น
“คนเราไม่ควรกินอาหารเพราะกลัวติดคองั้นสิ?” ชิ่งเจิ่นพูดจากใจจริง “ถ้าพวกเรามีปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เธอว่ามันจะประหยัดพลังงานได้มากขนาดไหนกัน”
จากนั้นชิ่งเจิ่นก็ให้คนนำเครื่องกำเนิดแสงมา “นี่คือแสงเรดิโอลูมิเนสเซนต์[1] ถ้าไม่เกิดปัญหาขึ้น มันสามารถให้กำเนิดแสงแบบนี้ไปยี่สิบปีโดยไม่ต้องใช้อะไรอย่างอื่นภายนอกมาช่วย มันคืออำนาจของเทคโนโลยีนิวเคลียร์”
“แล้วถ้าเทคโนโลยีนิวเคลียร์ถูกนำมาใช้ในสงครามอีกล่ะ” หยางเสียวจิ่นถามเสียงเรียบ
ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “มันก็ใช้จบสงครามได้เหมือนกัน จริงๆ พวกเราพูดกันไปก็หาข้อสรุปไม่ได้หรอก สู้กับตัวทดลองด้วยกันวันนี้ พวกเราถือเป็นสหายร่วมรบ แต่หลังจากวันนี้ฉันก็พร้อมต้อนรับผู้ก่อจลาจลตลอด ไม่ต้องยั้งมือหรือแสดงความเมตตา”
จากนั้นเขาก็หยิบฮาร์ดไดรฟ์จากถังโจวมาโยนให้หยางเสียวจิ่น “นี่เป็นของที่สมาคมตระกูลหยางต้องการ ว่าแต่เธอเคยคิดไหมว่า ถ้ามันเชื่อมกับนาโนเทคโยโลยีของพวกเธอได้แล้วจะเป็นยังไงต่อ มันจะยังใช้ในวงการการแพทย์อยู่เหรอ และถ้าเอาไปรวมกับเทคโนโลยีเซลล์ประสาทแล้วเอาไปใช้ในการทหารล่ะ อย่าบอกนะว่าสมาคมตระกูลหยางไม่ได้ต้องการเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการสงคราม?”
[1] เรดิโอลูมิเนสเซนต์ (radioluminescence) คือ การเปล่งแสงที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยอนุภาคพลังงานสูงหรือกัมมันตภาพรังสีจากธาตุกัมมันตรังสี