The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 603
ความชิงชังเอ่อล้นในใจซือหยู เขาสงสัยว่าคำสาบานของอาจารย์มันสำคัญถึงขนาดนั้นเชียวรึ เขารู้ทั้งรู้ว่าสตรีอันเป็นที่รักของศิษย์กำลังจะถูกฉกชิงไป แต่เขาก็ยังไม่แยแส แต่ที่ซือหยูชิงชังที่สุดก็คือความอ่อนแอใช้ไม่ใช่ของตัวเองที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น
“เจ้าอาจจะพูดถูก”
จางซื่อเหลียนพูดออกมา
หลังจากที่ครุ่นคิด นางจึงเริ่มยอมรับข้อสันนิษฐานของเซี่ยจิงหยู ร่างวิญญาณโบราณของเซี่ยจิงหยูน่าจะส่งผลไปถึงสิ่งรอบข้างจนทำให้ชางก่วนชิงเอ๋อเข้าใจผิด
จางซื่อเหลียนโล่งใจ เพราะร่างวิญญาณวิญญาณโบราณนั้นหายากมาก การปรากฏตัวแม้เพียงหนึ่งอย่างเซี่ยจิงหยูก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อยู่แล้ว คงจะเป็นฝันถ้าหากได้พบกับอีกคนอยู่ในที่เดียวกัน
“ปล่อยเขาซะ”
เซี่ยจิงหยูพูดอีกครั้ง
จางซื่อเหลียนพยักหน้าและถอดแหวนมิติของซือหยูออกมา นางไม่สนใจซือหยูเลย นางปล่อยวิญญาณของตัวเองเข้าไปดูภายในนั้น
“อะไรกัน? มีแต่ของล้ำค่าทั้งนั้นเลยนี่”
จางซื่อเหลียนอุทานเบาๆ
มีหลากหลายสีเปล่งประกายมาจากในแหวนพร้อมกับตราสายฟ้าห้าธาตุที่ลอยออกมา จางซื่อเหลียนหยิบมันขึ้นมาดู
“นี่เป็นสมบัติภูติ ถึงจะเป็นแค่ต้นแบบ มันก็คือสมบัติภูติของจริง”
“ข้าเพิ่งจะมาเป็นอสูรเนรมิตร ข้ายังไม่มีสมบัติภูติของตัวเองเลย ข้าจะต้องสมบัติภูติสายฟ้านี้ชั่วคราว”
จางซื่อเหลียนหยิบมันไปโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง นางไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันเป็นของคนอื่น
ความโกรธและโศกเศร้าเอ่อล้นในใจซือหยู ข้าตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วรึ? แม้แต่สมบัติของข้าเองก็ถูกหยิบเอาไปง่ายๆอย่างนี้รึ?
“หยุดนะ! นั่นมันของซือหยู เจ้าไม่ควรไปแตะต้อง”
เซี่ยจิงหยูพยายามจะห้ามไม่ให้นางเอาสิ่งใดไป
จางซื่อเหลียนไม่ได้สนใจแม้จะมองนางหรือซือหยู นางเพียงค้นในแหวนต่อไปราวกับไม่มีใครยืนมองนางอยู่
นางพูดอย่างใจเย็น
“น้องจิงหยู เขาก็แค่คนไร้ค่าที่ข้าจะฆ่าหรือไว้ชีวิตก็ย่อมได้ สมบัติพวกนี้ก็คือค่าที่ข้าไว้ชีวิตเขา เจ้าควรจะดีใจด้วยซ้ำที่มีสมบัติที่ควรค่าพอจะเก็บเอาไป! มิเช่นนั้นข้าคงจะปิดปากเขาไปนานแล้วเพื่อไม่ให้เรื่องร่างวิญญาณโบราณกระจายออกไป”
เพราะคนอย่างซือหยูนั้นไร้ค่าในสายตานาง
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
วงแสงบินลอยออกมาจากแหวนสองครั้ง นั่นคือสายใยมังกรกับภาพเขียนทัณฑ์ภูติสุริยา
“สองชิ้นนี้ยอมรับได้ ข้าจะเอาสายใยมังกรไปแลกกับวัตถุดิบที่ใช้งานได้ ส่วนวิชาระดับภูติ ข้าจะเอาไปให้คนรุ่นหลังบางคนได้…”
จางซื่อเหลียนพูดอย่างเรียบเฉย
“ส่วนต้นอ่อนของไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ มันก็เป็นของล้ำค่าเหมือนกัน มันจะสร้างปัญหากับข้าได้”
จางซื่อเหลียนยิ้มก่อนจะพบต้นอ่อนไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ นางเก็บไว้ในอกอย่างดี
จางซื่อเหลียนพยักหน้า
“ไม่เลว! ข้าได้ของดีมาเยอะเลย!”
นางโบกมือเพื่อปลดซือหยูให้เป็นอิสระ
“ของที่เหลือมันไร้ค่าสำหรับข้า เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ”
นางพูดราวกับว่านางนั้นเมตตาและใจกว้าง
“น้องจิงหยู ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาใต้เท้า”
จางซื่อเหลียนดึงมือเซี่ยจิงหยูขณะที่ยิ้มอย่างเดิม ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่เคยมองซือหยูแม้สักครั้ง
“เดี๋ยวก่อน!”
ซือหยูตะโกน
“คนที่เจ้าเรียกว่าใต้เท้านั่นคือใครกัน แล้วเจ้าจะพานางไปเพื่ออะไร?”
สิ่งที่ซือหยูกังวลไม่ใช่สมบัติที่ถูกเอาไปเลย แต่เป็นชะตากรรมของเซี่ยจิงหยู
จางซื่อเหลียนตอบกลับ
“ท่านเป็นคนที่เจ้าไม่มีวันจะได้แตะต้อง เขาเป็นราชา! ส่วนน้องจิงหยูนั้นงดงาม น่าหลงใหล และมีร่างวิญญาณ นางเหมาะที่จะเป็นสนมให้ท่านราชาได้เลือก ข้าเชื่อว่าน้องจิงหยูจะได้เป็นนางสนมลำดับสาม”
นางยิ้มและพูดต่อ
“นับแต่นี้ไป นางจะได้เป็นวิหคเพลิงที่ทะยานสู่นภา ถ้าหากเจ้าเป็นห่วงนางก็อย่าได้ติดต่อหานางอีก! เจ้าสองคนมีชะตาที่แตกต่างกันยิ่งนัก”
จางซื่อเหลียนส่ายหน้า
“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้าสองคนจะจบตรงนี้”
ซือหยูเจ็บแปลบใจใน เซี่ยจิงหยูจะถูกพาตัวไปเป็นสนมของคนอื่น! ซือหยูได้แต่กำหมัดแน่น เขารู้สึกราวกับหัวใจจะตายจากไป
“เดี๋ยว! ขอเวลาให้พวกข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่? ข้าอยากจะบอกลาเขา…”
เซี่ยจิงหยูพูดออกมา
แม้จางซื่อเหลียนจะไม่พอใจกับคำขอ แต่เซี่ยจิงหยูเองก็จะได้เป็นนางสนมในอนาคต นางอาจจะต้องก้มหัวให้กับเซี่ยจิงหยูด้วยซ้ำ จางซื่อเหลียนจึงต้องยอมเพราะไม่อยากจะให้นางโกรธ
“ก็ได้ แต่แค่นาทีเดียวเท่านั้น”
จางซื่อเหลียนทิ้งให้สองคนอยู่ตามลำดับ แต่นางก็กระซิบอยู่กับตัวเองก่อนจะออกไป
“ไอ้เด็กนั่นมันยิ่งใหญ่อะไรกันนักหนา? ข้าเห็นเป็นแค่ขยะเท่านั้น…”
ข้าเป็นแค่ขยะเรอะ? ซือหยูกำหมัดแน่นกว่าเดิมกับคำพูดสุดท้ายของนาง
“พี่หยู…”
เซี่ยจิงหยูพูดเสียงสั่น นางมิอาจทนรับความทุกข์ทรมานได้อีกแล้ว ดวงตานางแดง นางกระโจนเข้าหาอ้อมกอดของซือหยู
ซือหยูสวมกอดนางกลับเป็นครั้งแรก ทั้งคู่มิอาจซ่อนความรู้สึกต่อกันได้อีกแล้ว เขารักเซี่ยจิงหยูอย่างที่นางรักเขามาตลอด ความรู้สึกเจ็บปวดที่รู้ว่าจะเสียนางไปในอีกไม่นานทำให้เขามิอาจปิดบังความรู้สึกได้ไปมากกว่านี้แล้ว
“พี่หยู”
นางรู้สึกว่ามือของซือหยูโอบเอวของนางไว้แน่น ในที่สุดนางก็ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาต่อนางเป็นครั้งแรก โลกของนางเต็มไปด้วยสีสันที่มิอาจอธิบายและความอบอุ่น
นางประทับใจในความรักที่เขามอบให้นาง ความตื้นตันและอารมณ์ที่ไหลหลากดั่งวายุแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่ปลดปล่อยนางเป็นอิสระ แม้ว่านี่จะเป็นการแยกจากที่ควรจะโศกเศร้า ความดีใจก็เอ่อล้นออกมาเมื่อได้รับรู้ความจริง
วันนี้จะเป็นวันที่มิอาจลืมเลือน เป็นวันอันตื่นเต้น และเป็นวันที่แต่งแต้มสีสันให้กับชีวิตของนาง มันคือวันที่นางพบว่าคนที่นางรักได้รักนางไม่ต่างกัน หัวใจของทั้งคู่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง
“จิงหยู ข้า…”
ซือหยูเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นความสุขบนใบหน้าของนาง ความสุขใจเช่นนี้มาสายเกินไป!
“อย่าพูดเลย! ข้าเข้าใจแล้ว ข้ายินดีที่จะทำ ข้าทนได้ทุกอย่างเพื่อพี่หยู ข้าไม่เคยเสียใจอะไรทั้งนั้น”
เซี่ยจิงหยูยื่นมือแตะริมฝีปากของซือหยูและยิ้มอย่างอ่อนหวาน รอยยิ้มของนางเปล่งประกายตระการตา
เซี่ยจิงหยูดูอ่อนโยนในภายนอก แต่นางทั้งกล้าแกร่งและหนักแน่นจากภายใน หลังจากการจากลานี้ ซือหยูรู้ดีว่านางจะมิได้อยู่เพียงแค่โลกที่ต่างออกไป แต่นางอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกที่เขาอยู่อีกแล้ว
นั่นก็เพราะว่านางคงจะเลือกความตายเป็นแน่ ปลิดชีวิตตนเอง แทนที่จะใช้ชีวิตดั่งนางสนม ซือหยูมั่นใจในเรื่องนี้มาก
“พี่หยู อย่าพูดเลย ปล่อยให้ข้าได้เป็นสุขอยู่กับกอดของพี่ยังดีกว่า เหมือนกับคืนที่เราอยู่ใต้แสงจันทร์ครั้งนั้น”
เซี่ยจิงหยูหลับตาอย่างเป็นสุขอยู่ในอ้อมกอดเดิมที่นางเฝ้าหามาเนิ่นนาน
นางหน้าแดงเมื่อนึกถึงความทรงจำเก่าๆ…
การพบกันของทั้งคู่ที่สวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ที่ตำหนักดยุคเซี่ยนหยูนั้นคือวันก่อนที่ซือหยูจะแต่งงาน ตั้งแต่วันนั้นมา นางก็หลงรักการที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของซือหยู
“พี่หยู ข้ารักพี่ อาจจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
เซี่ยจิงหยูแนบใบหน้ากับอ้อมอกของซือหยู นางรวบรวมความกล้าสารภาพต่อเขา
“ข้ารักพี่ตั้งแต่วันนั้น ตั้งแต่วันที่เราอยู่ใต้แสงจันทร์คืนนั้น ข้ารักพี่หยูตลอดมา”
นางหน้าแดงและพูดต่อ
“ข้ารักการให้คุณค่าของผู้คน ความใจดี ความสง่างาม และข้าก็รักคุณธรรมกับจิตใจของพี่หยู ข้ารักที่พี่หยูสร้างปาฏิหาริย์ได้ทุกครั้ง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนทำให้ข้าตกใจได้อย่างพี่หยู ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในดวงวิญญาณของข้าที่จะสลักอยู่ในใจของข้าตลอดไป”
ซือหยูไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือเป็นสุขเลยขณะที่ฟังคำสารภาพของเซี่ยจิงหยู เขารู้สึกเพียงความเจ็บปวดและโศกเศร้าทรมาน
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของพี่หยู ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่พี่หยูกอดข้ากลับอย่างนี้ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพี่จะรักข้า พี่หยู ข้ามีความสุขมากเลย!”
เซี่ยจิงหยูน้ำตารื้น
“ที่กอดข้าเป็นครั้งสุดท้าย ขอบคุณนะ”
เซี่ยจิงหยูไหล่สั่น นางเงยหน้า น้ำตาสองสายไหลอาบแก้ม ภาพนี้ช่างดูงดงามและโศกเศร้าไปพร้อมๆกัน
นางเขย่งเท้าเงยหน้าจรดริมฝีปากกับซือหยู ความอ่อนนุ่มและหอมหวานสั่นคลอนซือหยูไปถึงแกนร่าง
ทั้งคู่ที่กอดจูบกันได้ก้าวข้ามความสัมพันธ์ฉันสหายไปแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ นี่คือจูบแรกของซือหยู เขายังไม่เคยแม้แต่กอดหรือจูบฉินเซี่ยนเอ๋อเลย
ซือหยูมีความสุขจนเจตจำนงเดิมได้พวยพุ่งจากหัวใจ ข้าจะต้องไม่เสียนางไป! ข้าจะต้องไม่เสียนางไปอย่างแน่นอน!
ฟึ่บ!
เสียงคนบินพุ่งเข้ามา จางซื่อเหลียนกลับมาแล้ว
“ที่นี่จะปิดตัวลงแล้ว เราไม่มีเวลาเหลือมากนัก ไปกันเถอะจิงหยู”
จางซื่อเหลียนเข้ามาขัดทั้งคู่และดึงตัวเซี่ยจิงหยูออกจากอ้อมกอดของซือหยู นางไม่สนใจซือหยูแม้แต่น้อย
แม้จะต้องจากอ้อมกอดของซือหยู เซี่ยจิงหยูก็ยังคงยิ้มอย่างสดใส
“พี่หยู ข้าพอใจแล้วล่ะ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะ…”
“หยุดนะ!”
ซือหยูหลับตาไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาอีกครั้งด้วยแสงที่เปล่งประกายออกมา
จางซื่อเหลียนที่กำลังจะจากไปรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกอันน่ากลัวที่ทำให้นางใจเต้นแรง นางที่ใจสั่นหันไปเผชิญหน้ากับซือหยู
นางพูดเบาๆ
“เจตจำนงอะไรกัน!”
เจตจำนงต่อต้านของเขาทำให้แม้แต่สวรรค์ต้องโกรธเกรี้ยว และมันยังทำให้กงล้อแห่งโชคชะตาหมุนวนกลับ มันทำลายได้ทุกความอยุติธรรมและความไม่ถูกต้อง!
เหล่าเมฆาโดยรอบสั่นไหว ใบไม้บนต้นไม้ร่วงหล่น สรรพสัตว์นับไม่ถ้วนพากันแตกตื่นหนี การเกิดขึ้นของเจตจำนงทำให้สรรพสิ่งหลีกหนีราวกับว่าเป็นเจตจำนงที่เกิดจากสวรรค์! ซือหยูในตอนนี้ไม่ดูเหมือนมนุษย์อีกแล้ว เขาดูเหมือนกับอสูร…คนที่ละทิ้งสวรรค์และเต็มใจเลือกเส้นทางของอสูร!
“เจตจำนงเจ้าแข็งแกร่ง! ถ้าคนอย่างเจ้าไม่ตายโดยเร็ว เจ้าก็จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า!”
จางซื่อเหลียนประเมินซือหยูอย่างเหมาะสมเป็นครั้งแรก จิตใจอันกล้าแกร่งของเขาทำให้นางอึดอัด
“ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยจิงหยู ข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้ว”
จางซื่อเหลียนละสายตาไป
“เจ้าควรจะขอบคุณนางเพราะดีเท่าไหร่แล้วที่โชคชะตานำพาให้นางได้มาเจอเจ้า”
“ข้าบอกให้หยุด!”
ซือหยูพูดอีกครั้ง ทั้งร่างของเขาเริ่มแปลกไป ในตอนนั้น พลังอันชั่วร้ายเริ่มที่จะกระจายไปทั้งตัว
จางซื่อเหลียนที่กำลังบินออกไปรีบหันกลับมามอง นางเบิกตากว้าง
“นั่นมันพลังชั่วร้ายอะไรกัน?”
นางเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง สัญชาตญาณบอกว่าสัตว์ร้ายในตัวซือหยูกำลังจะตื่นขึ้นมา นางเริ่มหวาดกลัว จิตสังหารของนางพุ่งขึ้นมา
“คุกเข่าซะ”
จางซื่อเหลียนยกมือขึ้น พลังวิญญาณจากระยะร้อยลี้อัดแน่นกลายเป็นภูเขาลูกยักษ์!
ปั้ง!
พื้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและจมลึกลงไปหลายสิบเมตร ซือหยูนั้นถูกแรงกดดันกดจนไปอยู่ในส่วนลึกสุดของผืนดิน
“พี่หยู!”
เซี่ยจิงหยูร้องด้วยความตกใจ นางหน้าซีดเผือด
ร่างของซือหยูบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว เขายังใช้พลังทั้งหมดจนไม่เหลืออยู่อีก เขาไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาเลย กระบวนท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตายอย่างไม่เหลือชิ้นดี!
จางซื่อเหลียนขมวดคิ้ว ซือหยูผู้นี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ข้าคิดนี่…