The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 539
และเหล่าหนอนด้านหลังเขาก็พุ่งเข้ามาเพื่อปล่อยพลังหินออกมาเป็นจำนวนมาก เส้นทางถอยของเขาถูกปิดสนิท โจวจิ้งขมวดคิ้วและยกกระบี่ฟันไปข้างหน้า
หยดพลังหินที่พุ่งเข้าใส่โจวจิ้งนั้นเหมือนหยดน้ำที่มีขนาดเท่าหมัด มันใหญ่ยิ่งกว่าพลังที่เจิ่งซื่อชิงเจอหลายเท่า
พลังกระบี่ที่ฟันเข้าใส่ไม่อ่อนลงไปแม้แต่น้อย พลังโจมตีวิญญาณทำให้หยดพลังถูกผ่าครึ่ง มันช้าลงอย่างมาก
โจวจิ้งใช้กระบี่ฟันหยดพลังและบินไปที่เหนือแท่นบูชา เขาเป็นคนที่สองที่ผ่านป่ารูปปั้นไปได้!
และนอกจากราชาหนอน เขาได้ทำลายพลังทั้งหมดตลอดทาง นั่นทำให้หลายคนลืมหายใจ ทุกคนชื่นชมเขา
ไป่หยีเจี้ยนปรบมือเช่นกัน เขาหัวเราะออกมา
“ดี! สิบห้าวินาที ช้ากว่าชางก่วนชิงเอ๋อเมื่อปีที่แล้วแค่นิดเดียวเท่านั้น”
คำพูดของเขานั้นแฝงคำชมเอาไว้ด้วย
หลายคนตกใจ
“สำนักยูเฟิงตระการตานักในกระโจมเทพสวรรค์รอบนี้! สองคนผ่านป่ารูปปั้นได้สำเร็จ!”
“ฮ่าๆๆๆ เช่นนั้นข้าก็ขอลองด้วย”
เสียงที่เต็มไปด้วยพลังภูติดังออกมาจากมุมหนึ่ง นั่นคือราชาปีศาจที่สวมชุดคลุมดำ
ราชาปีศาจก้าวออกมาข้างหน้า แต่ก้าวนั่นกลับทำให้เขาหายตัวไป เขาไปถึงหนึ่งในสามของพื้นที่ป่า!
ไป่หยีเจี้ยนตกใจ
“เขาใช้พลังเช่นนั้นได้แม้จะอยู่ในการจำกัดพลัง ร่างกายนั่นมันอะไรกัน!”
การจำกัดพลังนั้นส่งผลแค่กับพลังชีวิตและพลังวิญญาณ แต่ไม่ส่งผลกับกายเนื้อ อย่างน้อยเขาจะต้องมีพลังในขอบเขตภูติ มิเช่นนั้นเขาคงจะทำแบบนั้นไม่ได้!
คนอื่นเห็นแค่ร่างของราชาปีศาจเปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ขยับตัวไปได้หนึ่งในสามของพื้นที่ป่าทุกครั้ง หนอนหินตอบสนองต่อเขาไม่ทันด้วยซ้ำ มีเพียงราชาหนอนหินที่ร้องคำรามเสียงดัง แต่มันก็ป้องกันราชาปีศาจไม่ได้ เขาผ่านป่ารูปปั้นไปอย่างง่ายดาย
ตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นกินเวลาเพียงสิบวินาทีเท่านั้น! การผ่านป่ารูปปั้นอย่างง่ายดายของเขานั้นทำให้ลานนกกระจอกเทวะเงียบกริบ!
ไป่หยีเจี้ยนแปลกใจมาก เขาสงสัยในตัวตนของอีกฝ่าย
“ยินดีด้วย สหาย”
เขาเรียกราชาปีศาจว่าสหาย นั่นแสดงว่าเขาหวาดกลัวต่อราชาปีศาจ
ราชาปีศาจนั่งลงบนแท่นบูชา ดูทีท่าว่าเขาจะไม่ฟังไป่หยีเจี้ยนเลย
“เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ชางก่วนชิงเอ๋อพูดอย่างไร้อารมณ์
“ต่อไปอย่าขยับตัวอีก การจำกัดพลังมันไวต่อการสัมผัสมาก การโจมตีแบบไร้ประโยชน์ของเจ้าจะทำให้หนอนหินโกรธยิ่งกว่าเดิม ถ้าพวกเจ้าสองคนสร้างปัญหา ตัวข้าเองก็อาจจะกลายเป็นหินได้”
สำหรับนางนั้นกดดันมากถ้าจะพาคนสองคนและผ่านป่ารูปปั้นไปพร้อมกัน และนางยังต้องเป็นห้าลำดับแรกอีก
ในตอนนี้มีสามคนแล้วที่ผ่านป่ารูปปั้น และเวลาที่ใช้สูงสุดคือยี่สิบวินาทีจากเจิ่งซื่อชิง หรืออีกอย่างก็คือถ้าทั้งสามจะเป็นห้าลำดับแรก อย่างน้อยนางก็ต้องไปถึงอีกฝั่งในเวลาที่น้อยกว่ายี่สิบวินาที นี่เป็นเรื่องที่ท้าทาย
แต่ซือหยูกลับพูดสิ่งที่นางต้องตกใจ
“ข้าขอบคุณน้ำใจของเจ้า แต่ข้ายอมรับไม่ได้หรอก ข้าบอกแล้วว่าข้าจะหาทางของข้าเอง”
ชางก่วนชิงเอ๋อตัวแข็งทื่อ นางพูดตอบทันที
“เจ้าพูดจริงรึ?”
นางไม่เชื่อว่าซือหยูจะพูดเช่นนั้นออกมาอีกหลังจากที่ได้เห็นความยากลำบากในการผ่านป่ารูปปั้น
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าซือหยูนั้นไม่รู้อะไร แต่ตอนนี้นางน้องคิดอย่างจริงจังแล้ว หรือว่าซือหยูจะมีสายเลือดโบราณที่ต่อกรกับพลังหินได้จริง?
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่หยุดเจ้า ข้าจะไปรอที่อีกฝั่งก่อนล่ะ”
ชางก่วนชิงเอ๋อหยุดดื้อรั้น นางเข้าป่ารูปปั้นไป
ทุกคนมองนางและอยากจะดูว่ายอดฝีมือหญิงที่มีสายเลือดโบราณที่ได้รับการยอมรับจากผู้สร้างสรรพสิ่งจะผ่านป่ารูปปั้นด้วยวิธีใด
แต่ชางก่วนชิงเอ๋อก็บินไปตามปกติ นางเพียงใช้ร่างกายที่ทรงพลังของขอบเขตภูติผ่านพื้นที่ป่าส่วนมากอย่างง่ายๆ ส่วนพื้นที่ของราชาหนอนส่วนสุดท้าย นางก็ผ่านมาเฉยๆ
ตลอดเส้นทาง หนอนหินตอบสนองไม่ทันเลย นี่คล้ายกับสิ่งที่ราชาปีศาจเจอ แต่นางก็เร็วกว่าราชาปีศาจอยู่บ้าง นางใช้เวลาเพียงแปดวินาที
ไป่หยีเจี้ยนพยักหน้า ส่วนยอดฝีมือในลานนกกระจอกนั้นรู้สึกเสียดายที่มิอาจได้เห็นพลังจากสายเลือดโบราณ
หลายคนไม่คิดอะไรนักที่นางใช้เวลาเพียงแปดวินาที ชางก่วนชิงเอ๋อในใจพวกเขานั้นเป็นหมายเลขหนึ่งเหนือทุกสิ่ง
“จิงหยู เราก็ไปกันเถอะ กอดข้าแน่นๆนะ”
ซือหยูพูดเบาๆ
เซี่ยจิงหยูใช้มือเนียนนุ่มจับเอวของซือหยูเอาไว้ นางรู้สึกกังวลแต่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องป่ารูปปั้น นางกลับกังวลเรื่องซือหยู นางมิอาจเยือกเย็นเป็นธรรมชาติได้ดังเดิม นางระวังตัวกว่าเดิมมาก ซือหยูไม่ได้เห็นท่าทางของนางและเดินไปที่ป่ารูปปั้น
เมื่อไปถึงป่ารูปปั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในร่างที่ถูกบางอย่างกดเอาไว้ มันยากมากที่จะใช้พลังวิญญาณที่นี่ ร่างกายที่ว่องไวของเขารู้สึกราวกับแบกภูเขาเอาไว้
นั่นมิใช่ทั้งหมด เซี่ยจิงหยูที่ตามเขามาใกล้ๆก็สัมผัสได้ถึงการจำกัดพลัง คลื่นที่มองไม่เห็นแล่นผ่านป่ารูปปั้น
ทันใดนั้นซือหยูก็ร้องครางออกมา ร่างของเขาลงไปกองกับพื้น! เขารู้สึกราวกับต้องแบกภูเขาลูกใหญ่นับสิบลูก ซือหยูที่ตกใจปล่อยพลังวิญญาณออกมาเพื่อให้ตัวเองยืนขึ้นได้
ส่วนเซี่ยจิงหยูก็รู้สึกถึงแรงกดดันแบบเดียวกัน และนางก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าซือหยูที่มีร่างกายระดับกึ่งเทพ แรงกดดันเช่นนี้ทำให้นางจมลงกับพื้นอย่างมิอาจควบคุมอยู่
ซือหยูคว้าข้อมือของนางเอาไว้และดึงนางขึ้น แต่นั่นก็ทำให้ซือหยูรู้สึกราวกับแบกภูเขาเอาไว้ยี่สิบลูก! ด้วยแรงกดดันมหาศาลเช่นนี้ตรงตามที่ไป่หยีเจี้ยนพูดเอาไว้ มันยากมากที่จะขยับตัว
ไป่หยีเจี้ยนยืนกอดอกและพูดอย่างเย็นชา
“หนุ่มน้อย เจ้าทำเป็นไม่ฟังคำเตือนของข้า ถ้าเจ้าตายที่นี่ก็อย่าโทษที่ข้าไม่เตือน!”
ยอดฝีมือหลายคนบนลานนกกระจอกเทวะส่ายหน้าเช่นกัน
“แม้แต่คนในขอบเขตภูติก็ไม่มั่นใจว่าจะพาคนไปด้วยได้อย่างปลอดภัย เขาโง่เขลานักแม้จะเป็นแค่ราชามนุษย์”
“หรือเขาอยากจะอวดดีกัน? เพราะอย่างไรเขาก็ได้คำเชิญจากผู้สร้างสรรพสิ่ง มีโอกาสที่เขาจะมีพลังพิเศษอยู่กับตัว แต่สถานการณ์ตอนนี้แย่แล้ว!”
“ถ้าเขาตายก็ได้แต่โทษตัวเองเท่านั่น น่าเสียดายที่เขาเอานางคนนั้นไปด้วย นางคงต้องตายที่นี่ด้วยความชิงชัง”
เซี่ยจิงหยูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงผู้คนรอบข้าง เสียงอันอ่อนโยนของนางพูดไปที่แผ่นหลังข้างหน้า
“พี่หยู ไม่ต้องสนใจข้า โปรดไปข้างหน้าคนเดียวก่อนเถอะ”
แต่ซือหยูก็สะบัดตัว เขาพูดกับตัวเอง
“มันแค่ระดับนี้เองรึ? ดีล่ะ นี่ง่ายกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ไกลจากลานนกกระจอกเทวะ เสียงของเขาดังไปถึงหูของยอดฝีมือทุกคน
เหล่าผู้คนตัวแข็งทื่อ เด็กหนุ่มคนนี้อวดดีจนไม่รับรู้เหตุผลไปแล้วรึ?
ซือหยูจับข้อมือของเซี่ยจิงหยูและเริ่มข้ามป่ารูปปั้นจากการบิน
เขาช้ามาก มันราวกับว่าเขาเดินทีละก้าว เทียบกับคนที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนหน้า เขานั้นช้าราวกับหอยทาก! แต่นี่เป็นขีดจำกัดของซือหยู ถ้าหากมีกึ่งเทพคนอื่น พวกเขาก็อาจจะไม่เร็วไปกว่าซือหยูถ้าต้องแบกภูเขายี่สิบลูกเอาไว้
“โอ้ เขายังเดินได้อีก ข้าประเมินเขาต่ำไปจริงๆ”
ไป่หยีเจี้ยนแปลกใจ
“แต่ถ้าเร็วแค่นั้น เขาก็จะตายเร็วกว่าทุกคนก่อนหน้านี้!”
ไป่หยีเจี้ยนส่ายหน้ามองคนที่เหลือเพื่อหาคนที่มีคุณสมบัติพอจะผ่านป่ารูปปั้น
ถึงตรงนี้ ซือหยูได้ผ่านระยะพันศอกไปแล้ว ด้วยความเร็วอันเชื่องช้าทำให้เขาถูกหนอนหินเจอตัวมานานแล้ว พวกมันกำลังพุ่งเข้าใส่อย่างเร็ว
หนอนหินพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทาง มันล้อมมนุษย์ผู้เชื่องช้าสองคน พวกมันยังปล่อยพลังหินจำนวนมากออกมาพร้อมกัน หลายคนส่ายหน้า พวกเขาไม่อยากจะมองต่อว่าเกิดอะไรขึ้น
“น่าขัน”
บางคนไม่เข้าใจว่าเหตุใดซือหยูถึงทำเช่นนั้นเพื่อที่จะตาย
“อ๊ะ!! ดูนั่นเร็ว!”
แต่จากนั้นก็มีใครไม่รู้ตะโกนออกมาราวกับเห็นผี ยอดฝีมือหลายคนขมวดคิ้ว หรือว่าสองคนนั้นจะผ่านไปได้ด้วยดี?
เมื่อพวกเขาหันไปมองก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาด พวกเขาตัวสั่นระริก
เอ๋? ไป่หยีเจี้ยนหันไปมอง เขาเบิกตากว้างในทันที ใบหน้าเขาแทนที่ด้วยความแปลกใจ
“นั่นมัน…”
ซือหยูถูกปกคลุมด้วยพลังหินนับไม่ถ้วน แต่เขาเพียงแค่สะบัดมือทุกคนก็จ้องมองอย่างตกตะลึง!
หลังหินที่พุ่งเข้าใส่เขาหายไปเฉยๆ! ราวกับว่ามีเพลิงร้อนระอุแผดเผาพลังหินหายไป!
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในสายตาเหล่ากึ่งเทพ แต่ไป่หยีเจี้ยนนั้นมองเห็นเพลิงที่มองไม่เห็นที่ลุกโชนออกจากตัวซือหยู เพลิงนั้นแผดเผาพลังหินจนไม่เหลือสิ่งใด
เพลิงเหล่านั้นยังลุกไหม้ตามพลังหินไปถึงตัวหนอนที่พ่นพลังออกมา! หนอนทั้งสิบตัวดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดและตายไป!
ซือหยูกำจัดพลังหินและสังหารหนอนหินได้เพียงแค่การสะบัดมือ!
ซือหยูจับมือเซี่ยจิงหยูและเดินไปทางแท่นบูชาอีกด้านราวกับว่าเขาเดินเล่นอยู่ในสวน
เมื่อเขาเดินไปอีกพันศอก หนอนหินจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาโจมตี พวกมันมีกันนับร้อยและก็อยู่ใกล้กันจนทำให้พื้นเป็นสีดำ
“นี่เป็นเพราะความไวต่อการรับรู้ของป่ารูปปั้น สองคนนั้นเคลื่อนไหวพร้อมกัน พวกเขาทำให้หนอนหินสนใจมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า”
แค่วินาทีเดียว ซือหยูกับเซี่ยนจิงหยูถูกคลื่นหนอนล้อมโดยไร้ทางออก หนอนหินที่ดุร้ายปล่อยพลังหินมหาศาลออกมาจนดูเหมือนเมฆาทมิฬ
ด้วยพลังหินมากมายเช่นนี้ แม้แต่คนที่ผ่านป่ารูปปั้นไปแล้วก็ต้องหวาดกลัว
เจิ่งซื่อชิงหวาดกลัวมาก ถ้าถูกหนอนหินจู่โจมมากมายเช่นนี้ ถ้าเป็นเขา สร้อยปกป้องวิญญาณก็อาจจะป้องกันไม่ได้
ส่วนโจวจิ้งนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เขามองคนในหมอกโดยไม่ละสายตา
ชางก่วนชิงเอ๋อเตรียมที่จะไปช่วงทั้งสองในทุกเมื่อ
ราชาปีศาจครุ่นคิด ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ในลานนกกระจอกเทวะเงียบสนิท
ไป่หยีเจี้ยนผู้เย็นชาเริ่มคาดหวังกับสองคนนี้