The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 497
หลังจากหนึ่งวัน
ทั้งสามวิ่งผ่านที่ราบกว้างใหญ่ ในนั้นมีลู่จือยี่ ซือหยู และเว่ยกัง
และทุ่งหญ้าที่ควรจะกว้างใหญ่ไพศาลหมื่นลี้นี้ก็แปลกตรงที่มีภูเขาประหลาดห้าลูกตั้งอยู่ ภูเขานั้นชันอย่างมากและสูงเป็นเส้นตรง ยอดของพวกมันทอดยาวไปถึงเมฆา
เมฆาทมิฬล้อมรอบภูเขาทั้งห้าตั้งแต่กลางเขาถึงยอดเขา เมฆาเหล่านั้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างประหลาดเหมือนกับมีสัตว์ประหลาดดุร้ายขยับตัวอยู่ภายใน
มองจากที่ไกลๆจะเห็นว่ามันน่ากลัว ซือหยูรู้สึกถึงลางไม่ดี
“นี่คือตำหนักลับสวรรค์ สถานที่สำนักของกระโจมเทพสวรรค์”
ลู่จือยี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้านางดูตื่นเต้น
สิ่งที่เรียกว่าตำหนักลับสวรรค์มิใช่ตำหนักหลวงธรรมดาทั่วไป มันคือภูเขาที่สร้างจากยอดเขาทั้งห้า ซือหยูไม่อาจจะข่มความกังวลในใจไปได้ เขาไม่กล้าจะลดการป้องกันลง
“ถ้าหากมันเป็นสถานที่สำคัญ มันก็ควรจะอันตรายสินะ?”
ซือหยูถาม
เขาจักรพรรดิสายฟ้านั้นมีวิญญาณอัสนีที่อันตรายอย่างมาก มันมีพลังใกล้เคียงกับจ้าวเทวะ ตำหนักลับสวรรค์ก็ไม่น่าจะต่างกัน
คำพูอของเขาให้ลู่จือยี่ที่ถอนหายใจโล่งอกขมวดคิ้วขึ้นมา
“อันตรายรึ? แน่ล่ะ มันต้องมีบ้างอยู่แล้ว แม้จะเป็นยอดฝีมือในขอบเขตภูติ พวกนั้นก็ตายได้ทุกเมื่อ”
นางตั้งใจจะพูดว่าถ้าเป็นนาง อันตรายเหล่านั้นก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่นั่นก็ไม่ใช่สำหรับซือหยูและคนอื่นๆ
“ท่านผู้เฒ่าพูดมาตามตรงเถอะ”
ซือหยูถามอย่างจริงใจ
ลู่จือยี่เหลือบมองซือหยู
“เห็นแก่เจ้าที่ช่วยเหลือข้า ข้าจะบอกเจ้าก็ได้!”
ข้อมูลเรื่องตำหนักลับสวรรค์อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับรู้ได้ง่ายๆ ยอดฝีมือเร่ร่อนไม่มีหวังเลยที่จะรู้เรื่องราวรายละเอียดของตำหนักลับสวรรค์ การที่นางบอกข้อมูลกับซือหยูอย่างตรงไปตรงมานั้นเป็นสิ่งที่ประเมินราคามิได้
“ตำหนักลับสวรรรค์น่ะอันตรายมาก…”
“มีสัตว์อสูรที่ดุร้ายอยู่และไม่ทราบจำนวน รวมถึงสัตว์อสูรในขอบเขตภูติ มีหลายคนที่เข้าไปในตำหนักลับสวรรค์แล้วจบลงด้วยการเป็นอาหารของมัน แต่ถ้าเทียบกับอันตรายจริงๆของตำหนักลับสวรรค์ เรื่องสัตว์อสูรก็ไม่น่าจะเทียบกันได้เลย”
ซือหยูรู้สึกหนาวเย็นอยู่แล้วเมื่อได้ยิน ถ้าหากสภาวะอย่างนี้ที่มิอาจใช้พลังได้เกินกว่าขอบเขตภูติ สัตว์อสูรในขอบเขตภูติก็เป็นศัตรูที่ไร้เทียมทานอยู่แล้ว ถ้าหากสัตว์อสูรพวกนั้นไม่ใช่อันตรายจริงๆ แล้วอะไรเล่าจะเป็นอันตรายของที่นี่?
“มีสิ่งที่อันตรายจริงๆสองสิ่ง!”
“อย่างแรก วิบัติอัสนีจากจักรวาลที่ภูเขากักเก็บเอาไว้!”
นางพูดคำว่าวิบัติอัสนีด้วยใบหน้าเอาจริงเอาจัง นางนั้นรู้ดีว่าวิบัติอัสนีน่ากลัวเพียงใด
“พลลังของวิบัติอัสนีซุกซ่อนอยู่ในยอดเขาทั้งห้า คนนอกไม่รู้เรื่องรายละเอียดของมัน แต่ถ้าเจ้าได้เจอก็มิอาจรอดมาได้ด้วยโชคตะชาแน่…เพราะวิบัติอัสนีนั่นสังหารได้แม้กระทั่งจ้าวเทวะ! ตามที่ข้ารู้ มันคือวิชาอัสนีที่จ้าวเทวะคนหนึ่งทิ้งเอาไว้ เขาติดอยู่ในกระโจมเทพสวรรค์ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น”
วิชาที่จ้าวเทวะทิ้งเอาไว้รึ? ซือหยูสงสัย หรือนางกำลังพูดถึงสมับติที่จักรพรรดิสายฟ้าทิ้งเอาไว้?
ซือหยูคิดถึงห้องลับของจักรพรรดิสายฟ้า ซือหยูเห็นแค่สิ่งของและจิตวิญญาณของเขา แต่เขาก็ไม่เห็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่เลย หรือว่าจักรพรรดิสายฟ้าจะไม่ได้ตายที่นั่นแล้วทิ้งวิบัติอัสนีไว้ที่ตำหนักเทพสวรรค์แทน?
“ถ้าข้าได้เจอกับวิบัติอัสนี…”
“ข้าจะใช้พลังของข้าที่เกินกว่าขอบเขตภูติแล้วกระโจมเทพสวรรค์ก็จะส่งข้าออกมา แต่เจ้าสองคนทำแบบนั้นไม่ได้แน่”
ซือหยูกับเว่ยกังใจสั่น วิบัติอัสนีที่แข็งแกร่งแบบใดกันที่สังหารจ้าวเทวะได้? ถ้าพวกเขาเจอพลังระดับนั้นในตอนนี้ มิใช่ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรอดเลยหรอกรึ?
“มีไม่กี่คนที่รอดมาได้หลังจากได้เจอกับวิบัติอัสนี”
“ดังนั้น ความหวังเดียวของพวกเจ้าคือต้องไม่เจอกับพลังนั้น แต่ก็ยังมีอันตรายที่สอง สิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ซือหยูเริ่มกลัว อะไรกันจะน่ากลัวไปกว่าวิบัติอัสนีที่สังหารจ้าวเทวะได้?
“สิ่งที่น่ากลัวกว่าวิบัติอัสนีก็คือ…”
“พวกมนุษย์!”
มนุษย์งั้นรึ? ซือหยูแปลกใจมาก เขาตาลุกวาว
“เจ้ากำลังพูดถึงหุ่นเชิดที่พวกเราได้เจอรึ?”
ลู่จือยี่กลับส่ายหน้า
“ไม่ใช่ หุ่นเชิดนั่นอันตรายก็จริง แต่เขาทั้งห้าของกระโจมเทพสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ โอกาสที่จะได้เจอเขานั้นน้อยกว่าวิบัติอัสนี!”
ซือหยูยังไม่เข้าใจ
“หรือว่านอกจากพวกเรา ยังมีคนอื่นที่เข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์อีก? หรือว่าเวทยักย้ายในชั้นเจ็ดจะไม่ใช่ทางเดียวในการมาที่ชั้นแปดของกระโจมเทพ?”
ลู่จือยี่พยักหน้า
“ตลอดการค้นหามากกว่าร้อยครั้ง พวกเราพบแค่ทางเดียว แต่ก็ยังมีครั้งสองครั้งที่คนผ่านเวทยักย้ายไปยังชั้นแปดด้วยหนทางอื่น นั่นพิสูจน์ว่าจะต้องมีจุดเคลื่อนย้าย และคนอื่นนอกจากพวกเราอาจจะเข้าไปที่ชั้นแปดของตำหนักลับสวรรค์แล้ว แต่มนุษย์ที่ข้าพูดถึงไม่ใช่คนเหล่านั้นหรอก ข้ากำลังพูดถึงพวกเจ้าตำหนักลับสวรรค์ต่างหาก”
เจ้าตำหนักลับสวรรค์? ยังมีคนอื่นในตำหนักลับสวรรค์อยู่อีกรึ?
“พวกนั้นเรียกตัวเองว่าเจ้าตำหนักลับสวรรค์ พวกเขาอาศัยอยู่ในเขาทั้งห้ามานานก่อนที่ตำหนักลับสวรรค์จะเกิดขึ้นเสียอีก พวกนั้นต้องการปกป้องเขาทั้งห้า พลังของพวกนั้นอยู่ในระดับกึ่งภูติ ถ้าได้เจอกับคนพวกนั้น เราอาจจะพอรับมือได้ถ้าช่วยกันต่อสู้ แต่พวกนั้นก็มีกันร้อยคน ด้วยจำนวนเช่นนั้น ถ้าต้องเจอและต่อสู้ในตอนที่พลังของข้าถูกจำกัด ข้าก็ต้องเลือกหนีเท่านั้น”
ซือหยูตกตะลึง! กึ่งภูติร้อยคน? แม้ซือหยูจะมีพลังที่ต่อสู้กับยอดฝีมือกึ่งภูติได้ มันก็ยังยากเหลือเกินถ้าจะต้องรับมือกับกึ่งภูติร้อยคน
“แต่ก็มีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าในนั้น…”
ลู่จือยี่พูดต่อ
“มีโอกาสสูงที่จะมีคนในขอบเขตภูติอยู่กับพวกนั้นด้วย”
ขอบเขตภูติรึ? ซือหยูครุ่นคิด ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีคนในขอบเขตภูติ แต่พวกเขาก็ถูกจำกัดพลัง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมีพลังเหนือกว่าขอบเขตภูติได้
เดี๋ยวสิ…ซือหยูกำลังใช้ความคิด
สีหน้าเขาหม่นหมอง เขาอ้าปากค้าง
“หรือเจ้าจะบอกว่า พวกนั้นที่เป็นผู้อาศัยในชั้นแปด ฐานพลังจะไม่ถูกจำกัด? พวกนั้นปล่อยพลังที่เหนือกว่าขอบเขตภูติได้ตามใจนึก?”
ลู่จือยี่พูดเสริม
“ใช่แล้ว! แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่ตามที่ข้าคาด ในองครักษ์ร้อยคนจะมีคนที่เป็นภูติอยู่แน่นอน! ถ้าใครที่เข้าตำหนักลับสวรรค์ได้เจอ หนทางเดียวที่รออยู่ก็คือความตาย”
ซือหยูกลับมามีสีหน้าปกติ ถ้าลู่จือยี่พูดข้อมูลมากเช่นนี้ นางก็เหมือนกับแนะให้ซือหยูไม่เสี่ยง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีโอกาสอยู่มากที่หุ่นเชิดสีเงินจะอยู่ใกล้ๆ พวกเขาทำได้แค่เข้าไปที่ตำหนักลับสวรรค์เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจอกับหุ่นเชิด
ซือหยูหายใจเข้าลึก
“ลองเข้าไปกันเถอะ”
แต่ที่อีกฝั่ง เหงื่อเย็นๆไหลออกจากหน้าผากของเว่ยกัง แม้ว่าเขาจะพยายามใจเย็นอยู่ ในดวงตานั้นก็ไม่สบายใจเลย
“ถ้าเจ้าเตรียมใจได้แล้วก็ไปกันเถอะ”
ลู่จือยี่เหลือบมองซือหยู
“ตามหลังข้ามา”
นางพูดจบและมองยอดเขาที่สาม นางพาซือหยูกับเว่ยกังไปที่นั่น เว่ยกังระวังและมิอาจปิดบังความตื่นเต้นได้
“ยินดีด้วยท่านป้า”
“พวกเราจะได้สมบัติของช่างฝีมือจากตำหนักลับสวรรค์แล้ว”