The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 346
เขาไม่คิดว่าจะมีคนบุกเข้ามาในเขตหยินหยูเมื่อเขากลับมาในครึ่งเดือนให้หลัง!
ที่ทำให้ซือหยูโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิมก็คืออีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีความบาดหมางกับเขาอย่างเจ้าตำหนักอังฟาง
เขาไม่รู้จักกับเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงด้วยซ้ำ พวกเขาไม่เคยพบกันแม้สักครั้ง
อีกฝ่ายปรากฏตัวอย่างไม่มีเหตุผลและฆ่าทหารของเขา ทั้งยังทำลายตำหนัก…ทำแม้กระทั่งจับคนเป็นตัวประกัน!
ผู้คนไม่ควรจะกระทำการเช่นนี้กับคนธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงซือหยูที่เป็นหนึ่งในรองเจ้าตำหนักเลย เพราะอย่างไรคนเหล่านั้นก็ต้องถูกจัดการในไม่นาน
ซือหยูเป็นอะไรในสายตาของเขากัน? เดรัจฉานที่ไร้ศักดิ์ศรีที่เขาฆ่าได้โดยการสะบัดมืองั้นรึ?
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงมองขอบนภาไปทางซือหยูที่กำลังบินเข้ามา เขาผลักฉีหยุนเซี่ยงออกไป เขายิ้มเยาะ
“ขี้ขลาดนัก! แม้เจ้าจะเป็นมดปลวกต่อข้า แต่เจ้าก็ยังไปหลบซ่อน คนของเจ้าทุกคนควรจะละอายใจ!”
เขายังคงดื้อรั้นและคิดว่าซือหยูกลับมาแล้ว แต่ซ่อนตัวจากเขาเพราะหวาดกลัว
ฉีหยุนเซี่ยงล้มลงกับพื้น ใบหน้านางประหลาดใจ
ความอยุติธรรมและความโศกเศร้าที่รู้สึกได้หายไปสิ้น
ซือหยูได้กลับมาจากเมืองอันยี่อันวุ่นวาย นางปลดเปลื้องความกังวลไปได้เสียที!
“ถ้าเขาขี้ขลาด บนโลกนี้ก็ไม่มีใครที่กล้าหาญอีกแล้ว เจ้าไม่เข้าใจหรอก!”
ฉีหยุนเซี่ยงยิ้มอย่างอ่อนโยน
นางมองร่างที่บินเข้ามาอย่างไม่ละสายตา
“กล้าหาญ? เขาน่ะเรอะ? หึหึ ถ้าเทียบกับความปากดีของมัน จิตสังหารในเสียงของมัน เจ้าตำหนักหยินหยูก็กล้าหาญที่สุดล่ะนะ!”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงกอดอกหัวเราะ
เขาดูถูกซือหยู
ฉีหยุนเซี่ยงยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เห็นไหมล่ะ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเริ่มไม่พอใจ เขารอซือหยูให้ร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานซือหยูก็มาถึงน่านฟ้าตำหนักหยินหยู
เขามองรอบๆและเห็นซากตำหนักกับทหารที่บาดเบ็ดได้อย่างชัดเจน
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเงยหน้ามอง
“เอาล่ะ ถ้าเจ้ากล้าโผล่หัวออกมาด้วยความยากลำบากเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ทำลายศักดิ์ศรีสุดท้ายที่เจ้ามี เก็บของแล้วไปกับข้า”
เขาพูดจบและไม่มองซือหยูอีก เขาออกจากตำหนัก
พรึ่บ–
ซือหยูคลื่นพลังพุ่งเข้าใส่เขา
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตัวแข็งทื่อ
“ทำอะไรของเจ้า?”
ซือหยูร่อนลงจากนภา เขาซัดฝ่ามือเข้าใส่เสี่ยวกวง!
“เจ้าหูหนวกรึ ข้าบอกว่าข้าจะจัดให้ ถ้าเจ้าอยากตายนัก!”
ฝ่ามือพุ่งเข้าใส่เสี่ยวกวง
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตกใจ เขาตะคอก
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเรอะ? เจ้าควรทำทุกอย่างตามที่พลังเจ้ามี เจ้าลงมือกับคนอย่างข้าด้วยพลังระดับต่ำของเจ้า นี่ไม่ใช่ความบ้าคลั่งแล้ว นี่มันคือความโง่เขลา”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงยกฝ่ามือขึ้นโดยไม่ลงแรงมากนัก เขาตอบโต้ได้อย่างไม่มีปัญหา
“ลืมไปซะเถอะ กับคนอย่างเจ้าที่ไม่เคยเห็นพลังอำมฤตระดับสาม เจ้าคงไม่เข้าใจว่าจู่โจมข้ามันหมายถึงอะไร”
“ครั้งนี้ ข้าจะชี้แนะเจ้าสักหน่อย ต่อไปสมองเจ้าจะได้เติบโตขึ้นบ้าง”
ปั้ง–
ปั้ง–
ทั้งสองปะทะกันอย่างรวดเร็ว
แต่ตอนที่ปะทะกัน สีหน้าผ่อนคลายของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็เปลี่ยนไป เขาประหลาดใจ
“อำมฤตระดับสามขั้นต้นงั้นรึ? เจ้าเพิ่มพลังขึ้นมาแล้วรึ!”
ในการปะทะ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงไม่มีโอกาสได้เพิ่มพลังวิญญาณ เขามิอาจป้องกันตัวจากแรงปะทะได้
กร๊อบ—
เสียงกระดูกแตกดังมาจากฝ่ามือของเขา เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอยไปสามก้าว โลหิตในกายเดือดพล่าน กลิ่นโลหิตคละคลุ้งในลำคอ
เขาบาดเจ็บเพราะประมาท
ซือหยูร่อนลงกับพื้นเบาๆ ยากจะมองเห็นสีหน้าของเขา แต่ทุกคนที่ได้ยินเสียงก็บอกได้เลยว่าเขากำลังถากถาง
“อำมฤตระดับสามมันยิ่งใหญ่นักรึ? เจ้าพูดว่าอำมฤตระดับสามมันแข็งแกร่งนักหนา คนที่พูดเช่นนี้ก็มีแต่นักสู้แถวสองทั่วไปอย่างเจ้าเท่านั้น”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหัวเราะ
“เจ้ารู้จักความหยาบคายเช่นนี้แค่เพราะใช้จังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวและได้เปรียบอยู่เล็กน้อยงั้นรึ? มีคนสอนเจ้าให้เลียนแบบคนตาบอดหรืออย่างไร?”
“ข้าพูดได้เช่นนี้ก็เพราะพลังของข้าเหนือผู้ใด ความหยาบคายของเจ้าก็แค่ทำให้เจ้าเป็นตัวตลกเท่านั้น!”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงตอกกลับ
ซือหยูส่ายหน้า
“คนที่ต่ำต้อยกว่าเจ้าเมื่อหยาบคาย เจ้าเรียกว่าตัวตลก แต่เจ้าก็พูดว่าเจ้าหยาบคายได้ก็เพราะมีพลังเหนือผู้อื่น เช่นนั้นจากตรรกะของเจ้า เจ้าก็แค่ตัวตลกที่อยู่ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งกว่าสินะ!”
“เป็นคำชมเชยเสียด้วยซ้ำที่เรียกเจ้าว่านักสู้แถวสองธรรมดา”
เสี่ยวกวงใบหน้าบิดเบี้ยว
“คนอื่นจะมองข้ายังไงก็เรื่องของมัน แต่สิ่งเดียวที่ข้าบอกได้ในตอนนี้ก็คือเจ้ากำลังเป็นตัวตลกต่อหน้าข้า!”
“เจ้ากับข้าเป็นอำมฤตระดับสาม เจ้าคงจะไม่เข้าใจความต่างของขั้นต้นกับขั้นกลาง! เจ้าได้เปรียบเพราะข้าตกใจเท่านั่น นั่นคือขีดจำกัดของเจ้า!”
“ทีนี้ข้าจะชี้แนะเจ้าถึงความต่างระหว่างระดับชั้น!”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคำรามและใช้พลังด้วยความโกรธ
“หกภาพลวง!”
พลังวิญญาณของเสี่ยวกวงก่อตัวเป็นภาพลวงรอบกาย ทั้งหกร่างยืนอยู่ข้างกัน ยากที่จะบอกว่าร่างใดคือของจริง
ทั้งหกร่างพุ่งเข้ามาพร้อมกัน ฝ่ามือของแต่ละร่างทับซ้อนกันอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นสมุทรที่เข้ากดดันซือหยู
ซือหยูไม่พูดอะไร เขาโต้กลับด้วยพลังทั้งหมด!
เขาไม่ได้ใช้วิชาบ่มเพาะ เขาเพียงแต่ใช้ประสบการณ์ในการต่อสู้และพลังวิญญาณเพื่อป้องกันตัว!
แม้ว่าพลังจะห่างไกลจากอำมฤตระดับสามขั้นกลาง แต่เมื่อนำมารวมกับประสบการณ์การต่อสู้อันเข้มข้น..พลังของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
กระบวนท่าแรก!
กระบวนท่าที่สอง!
กระบวนท่าที่สาม!
หลังจากที่ผ่านไปสิบเก้ากระบวนท่า เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็ได้โอกาสโจมตี การโจมตีของเขาดุร้ายขึ้นไปทุกที
แต่อีกฝ่าย ซือหยูยากที่จะรับมือไหว เขาแทบจะป้องกันตัวไม่ได้ในท้ายสุด
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคำรามลั่น
“มันจบแล้ว!”
ปั้ง–
พลังวิญญาณของเจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเพิ่มขึ้นมหาศาล พลังของเขาเพิ่มจนถึงจุดสูงสุด
ด้วยการโจมตีที่รุนแรง ซือหยูได้เสียท่า ฝ่ามือซัดเข้าใส่อกของเขา
ปั้ง—
ซือหยูกระเด็นไปหลายร้อยเมตร เขาเข้ากระแทกกับกำแพงจนกลายเป็นซาก
“ท่านเจ้าตำหนัก!”
คนในตำหนักหยินหยูตกตะลึง
เจ้าตำหนักของพวกเขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่า!
ตัวตนไร้พ่ายในหัวใจพวกเขาพังทลายลง
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาต้องพบกับความพ่ายแพ้?
ตั้งแต่เจ้าตำหนักเฟิงฉิงและซื่อเหยาจนถึงโจรสลัดวารีทมิฬ เจ้าตำหนักหยินหยูเอาชนะทุกคนจนพวกเขาต้องตกตะลึงมิใช่รึ?
พวกเขามิอาจยอมรับความพ่ายแพ้ของเจ้าตำหนักได้
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงลดพลังวิญญาณลง เขาปรับโลหิตที่พุ่งพล่านให้กลับมาเป็นปกติ เขาค่อนข้างประหลาดใจ
แม้ศัตรูจะมีฐานพลังห่างไกลจากเขา เขาด้วยประสบการณ์การต่อสู้มากมายทำให้อีกฝ่ายทนเขาได้ถึงยี่สิบกระบวนท่าโดยไม่ใช้กระบวนท่าใดเลย อีกฝ่ายกลับแพ้เมื่อเขาใช้พลังเต็มที่ในกระบวนท่าที่ยี่สิบเท่านั้น
ในด้านความต่างของฐานพลัง เขาคงจะเป็นคนที่น่าขันในที่สุด
เมื่อคิดเช่นนี้ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก็มีสีหน้าดุร้าย
“ดี! ทนข้าได้ถึงยี่สิบกระบวนท่าด้วยประสบการณ์เพียงอย่างเดียว เจ้าภูมิใจในตัวเองได้เลย!”
“แต่เจ้ามันก็แค่คนธรรมดา! เจ้าเห็นความต่างของระดับรึยัง ต่อหน้าข้า เจ้าทำได้แค่เงยหน้ามองเท่านั้น!”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงจ้องซือหยู
“ถ้ารู้ที่ต่ำที่สูงแล้วก็หุบปากแล้วตามข้ามา เลิกเป็นตัวตลกซักที!”
เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหันหลังให้ตำหนักหยินหยูและส่ายหัว
แต่เขากลับตัวแข็งทื่อ ราวกับถูกฟาดด้วยสายอัสนี!