The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 325
วิกฤติ
เมื่อซือหยูเห็นเงาแห่งความตาย ดวงตาข้างซ้ายของเขาก็เปล่งแสงสีม่วงออกมา!
“ผนึกเวลา!”
มังกรม่วงที่มองไม่เห็นเข้ารัดคนข้างหลังเขาทันที
เงาทมิฬที่พุ่งเข้ามานั้นหยุดนิ่งไป
ฟึ่บ–
เงาร่างที่มีแขนเดียวพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง เขาพยุงซือหยูด้วยแขนข้างเดียวที่มีและพาหนีอออกไป
“เจ้าตำหนักฉีหลาน โปรดหนีไปกับเจ้าตำหนักหยินหยูเถอะ ข้าจะระวังหลังให้เอง!”
ตู่หลงบินพุ่งตัวส่งซือหยูให้กับฮั่วฉีหลานที่กำลังเข้ามาและตะโกนอย่างรีบร้อน
ฮั่วฉีหลานนิ่งไปเล็กน้อย ระวังหลังงั้นรึ? ด้วยพลังที่น่ากลัวของสตรีทมิฬที่สามารถสังหารคนได้โดยไม่รู้ตัว ไม่มีโอกาสเลยที่ตู่หลงจะรอด
และไม่ว่าเขาจะถ่วงเวลาไว้ได้หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
…เพราะเขากำลังจะส่งตัวเองไปตาย
“ข้าควรจะตายไปนานแล้ว แต่ท่านเจ้าตำหนักก็อภัยให้ข้า ให้ครั้งนี้เป็นครั้งที่ข้าจะได้คืนชีวิตของข้าให้กับเจ้าตำหนักหยินหยูเถอะ!”
ตู่หลงราวกับถูกปลดปล่อยออกจากภูเขาที่หนักอก
ร่างกายของเขาพิการ ฐานพลังลดลงไปครึ่งส่วน และยากที่เขาจะกลับตระกูลไปได้
เขาไม่ปรารถนาถึงอดีตอีกแล้ว
ฮั่วฉีหลานพยักหน้าและแบกซือหยูกับฉีหยุนเซี่ยงบินหนีไป
ในตอนนั้นเอง เงาทมิฬได้หลุดออกจากพันธนาการผนึกเวลา
บอกได้เลยว่านางนั้นตกใจกับพลังของซือหยูมาก
“คิดจะหนีรึ?”
นางตะโกน ร่างของนางกลายเป็นเงาที่พุ่งเข้ามาไล่ล่า
ตู่หลงกัดฟันและทุบอกตัวเองด้วยฝ่ามือ
ด้วยพลังมหาศาล เขากระอักเลือดออกมาไม่หยุด
โลหิตที่หยดไหลทำให้ร่างเงาที่แทบจะมองไม่เห็นสัมผัสกับละอองโลหิต ร่างนั้นกำลังพุ่งเข้าไปหาฮั่วฉีหลาน!
“ข้าเจอเจ้าแล้ว!”
ตู่หลงใช้วิธีทำร้ายตัวเองเพื่อให้เห็นเงาทมิฬ เขารีบไล่ตามเงาทมิฬอย่างรีบร้อน
“ไสหัวไป!”
นางโกรธเกรี้ยวและส่งคลื่นพลังวิญญาณที่ไม่แข็งแกร่งนักใส่ตู่หลง
ตู่หลงป้องกันการโจมตีอย่างเต็มกำลัง แต่เขาก็กระเด็นไปไกลและกระอักเลือดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาอยู่ในสภาพปางตายในทันที
ซือหยูลืมตาอย่างยากลำบากเพื่อหันไปมอง แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ
“ตู่หลง!!”
พวกเขาควรจะเป็นศัตรูต่อกัน
แต่ด้วยสถานการณ์ประหลาดหลายครั้ง พวกเขาได้กลายเป็นกึ่งมิตรกึ่งศัตรู
เมื่อครู่ ต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง ตู่หลงได้สละตัวเองเพื่อสร้างโอกาสให้ซือหยูได้หนี!
เป็นไปได้อย่างไรที่ซือหยูจะไม่ประทับใจ?
แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความชิงชัง เขามองตรงไปยังผู้หญิงที่พุ่งเข้ามา!
นางฉวยโอกาสลอบโจมตีในตอนที่ซือหยูบาดเจ็บสาหัส ทุกการโจมตีของนางนั้นเกือบจะได้สังหารซือหยู!
คนคนนี้ต้องตาย!
และอาจจะเป็นเพราะโลหิตที่สัมผัสกาย เงาร่างทมิฬของนางที่อ่อนลง ร่างที่แท้จริงได้เปิดเผยออกมามากขึ้น
“เจ้าเองรึ! คนของฮั่นเจียงหลิน!”
ซือหยูจำผู้หญิงคนนี้ได้
นางมาที่เมืองอันยี่กับเกาคังและฮั่นเจียงหลิน!
สีหน้าของนางเปลี่ยนไป
นางฉวยโอกาสในตอนที่ซือหยูเจ็บหนักเพื่อหวังจะสังหารอย่างมั่นใจ
แต่นางก็ล้มเหลวและถูกเปิดเผยตัวตน!
ถ้านางไม่ฆ่าทุกคนที่นี่และอาณาจักรทมิฬรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ใ…
ถ้าถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นที่อาณาจักรทมิฬจะต้องไล่ล่านางเพราะนางจะสังหารฮั่นเจียงหลินเพื่อปิดปากได้
“ข้าจะไม่ให้พวกเจ้ารอดออกไปแม้แต่คนเดียว!”
นางคือเฉินยู่เหลียน!
นางเชียวชาญในวิชาลอบสังหาร แม้ว่านางจะเป็นเพียงอำมฤตระดับสามขั้นกลาง นางก็สังหารคนที่ระดับต่ำกว่าอำมฤตระดับสามขั้นสูงได้โดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย!
แต่ในตอนนี้ ที่ขอบนภาได้เปลี่ยนไป!
รู้สึกได้ถึงรังสีพลังทำลายล้างที่สั่นคลอนฟ้าดิน!
ยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตร้อยคนปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีเยอะจนนภาทอดเงาลงมามืดมิด
รังสีพลังอันไร้เทียมทานของทุกคนขับไล่เหล่าสรรพสัตว์ให้หนีไป
ขอบเขตอำมฤตร้อยคนงั้นรึ? ปริมาณเช่นนี้มากพอที่จะเผชิญหน้ากับสามขุมกำลังใหญ่ด้วยตัวเองเลยทีเดียว!
เฉินยู่เหลียนแคลงใจ
“ตระกูลตู่งั้นรึ?”
เฉินยู่เหลียนขบริมฝีปาก นางไม่มีทางเลือกนอกจากหนีไป
แม้ว่าฮั่นเจียงหลินจะติดต่อกับตระกูลตู่ แต่ถ้าตระกูลตู่รู้ว่าเฉินยู่เหลียนต้องการสังหารรองเจ้าตำหนักและใส่ร้ายพวกเขา สถานการณ์ก็คงจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
เงาแสงเริ่มบิดเบือน เฉินยู่เหลียนหนีไปทันที!
สีหน้าของฮั่วฉีหลานเปลี่ยนไปเช่นกัน นางรีบหนีไปพร้อมกับซือหยูและฉีหยุนเซี่ยง
แต่นางก็ไม่ได้มีวิชาเคลื่อนไหวที่ดีนัก และนางก็ยังแบกคนอีกสองคน ดังนั้นนางจึงหนีได้ไม่ไกลนักก่อนจะถูกยอดฝีมือทั้งร้อยคนจากตระกูลตู่ล้อมไว้ทุกด้าน
จิตสังหารทะลวงร่างของฮั่วฉีหลานจากทุกทิศทาง ดวงตาราวจันทร์เสี้ยวของนางเยือกเย็นลง
“ตระกูลตู่เร้นกายไว้ได้เช่นนี้เชียวรึ? หลายร้อยปีที่ผ่านมา กำลังเติบโตขึ้นอย่างลับๆหรอกรึนี่?”
ตระกูลตู่หลบอยู่ในป่าทมิฬมาตลอดหลายปี และยากที่คนนอกจะรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเพียงใด
ใครจะไปคิดว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตระกูลตู่ได้แอบบ่มเพาะกำลังที่แข็งแกร่งจนถึงจุดที่นับว่าเป็นขุมกำลังที่สี่ของทวีป
ในจุดนี้ บางทีอาณาจักรทมิฬเองก็ไม่ได้คาดไว้เช่นกัน
ตระกูลตู่แห่งแปดตระกูลโบราณได้ฟื้นกำลังกลับมาแล้ว!
“ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะดังมากเหล่ายอดฝีมือ
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ–
ยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตทั้งร้อยคนของตระกูลตู่ก้มหน้าและเปิดทาง พวกเขาตะโกนเสียงดัง
“ยินดีต้อนรับนายน้อย!”
นายน้อยตระกูลตู่งั้นรึ?
ตั้งแต่ตู่หลงทิ้งตำแหน่งนายน้อยไป ย่อมต้องมีคนอื่นมาแทนที่เขาอยู่แล้ว
เมื่อเหล่ายอดฝีมือให้การต้อนรับ ชายหนุ่มที่สวมชุดแพรลายบุพผาเดินมือไพล่หลังเดินเข้ามา
เขาอายุประมาณสี่สิบปี เขาดูคล้ายกับตู่หลงอยู่บ้าง
เขาดูสูงส่งตระการตา เขายิ้มอย่างชั่วร้าย
“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักฉีหลานงดงามดั่งเทพี แต่ก็ไม่เคยเผยใบหน้าที่แท้จริงสักครั้ง ข้าอยากจะได้เห็นใบหน้าใต้ม่านนั่นจริงๆ ข้าจะได้รู้เสียทีว่าที่ร่ำลือกันนั้นจริงหรือไม่!”
นายน้อยตระกูลตู่จ้องมองฮั่วฉีหลาน เขาแอบมองนางทั้งร่าง
แววตาฮั่วฉีหลานเย็นยะเยือก แต่นางก็ยังคงยิ้ม
“เจ้าเชื่อข่าวลือนั่นได้ยังไงกัน? ข้าไม่เคยเผยใบหน้าให้ใคร แล้วคนนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าข้างดงามเช่นนั้น? ข่าวลือก็เป็นดั่งข่าวลือ ไร้ซึ่งความจริง”
“แล้วตระกูลตู่ของเจ้ามาล้อมรองเจ้าตำหนักอย่างเปิดเผยเช่นนี้ พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
นายน้อยตระกูลตู่มองไปยังทหารตระกูลตู่ที่ตายไปพร้อมกับเกาคัง เขาถอนหายใจแรง
“เจ้าสังหารทหารของเมือง ทำให้งานประมูลวุ่นวายและฆ่าคนที่ประมูลแข่ง พวกข้าที่จัดการเมืองอันยี่ต้องพาพวกเจ้ากลับไปอยู่แล้ว พวกเจ้าต้องอธิบายเรื่องราวกับข้าทั้งหมด!”
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ถ้าเจ้าฝ่าฝืนกฎของเมืองอันยี่ เจ้าจะต้องถูกลงโทษ ตัวตนของรองเจ้าตำหนักอาจจะยิ่งใหญ่ในที่อื่น แต่ไม่ใช่ในเมืองอันยี่ของข้า!”
อีกฝ่ายตั้งใจจะฆ่าพวกนาง
ฮั่วฉีหลานหัวเราะ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่อาณาจักรทมิฬไม่ควรค่าแก่การถูกพูดถึงในตระกูลตู่รึ? ดูเหมือนหลังจากซ่อนกำลังมานานหลายร้อยปี เจ้าจะมั่นใจเหลือเกินนะ!”
ฮั่วฉีหลานถอนหายใจเบาๆ
“งานประมูลของเจ้าพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาสมบัติของผู้ประมูล จากนั้นคนจัดงานประมูลของเจ้าก็ส่งคนมาไล่ล่าพวกข้า ข้าต้องตอบโต้!”
“คนที่ขัดต่อกฎของเมืองอันยี่ก็คือพวกเจ้าทุกคน ไม่ใช่พวกข้า!”
นายน้อยตระกูลตู่ที่ยืนมือไพล่หลังหัวเราะ
“กฎของเมืองอันยี่งั้นรึ? ฮ่าๆๆ กฎของที่นี่ก็เป็นเช่นนั้น ถ้าตระกูลตู่สร้างกฎขึ้นมาได้ พวกข้าก็แหกกฎได้เหมือนกัน!”
“ไม่ต้องพูดถึงความโลภในสมบัติพวกเจ้า ถ้าพวกข้าอยากจะได้ชีวิตพวกเจ้า มันก็ยังคงอยู่ในกฎ! เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
นายน้อยตระกูลตู่ยิ้มด้วยมุมปาก
ฮั่วฉีหลานจะพูดอีกครั้งแต่ก็ถูกซือหยูหยุดเอาไว้
“เขาพูดถูก คนที่กำลังใหญ่กว่าคือตัวแทนของกฎ เจ้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์!”
“วางข้าลงเถอะ”
ฮั่วฉีหลานพยุงซือหยูให้ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก
ซือหยูชายตามองไปยังนายน้อยตระกูลตู่
“จงไปซะก่อนที่พวกข้าจะต้องสู้จนตัวตาย ตระกูลตู่ของเจ้ายังพอมีหวังที่จะรอดถ้าเจ้าทำอย่างที่ข้าบอก!”
นายน้อยตระกูลตู่พูดอย่างเหยียดหยาม
“น่าขันสิ้นดี! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารอดกลับไปอีกรึ?”
“แล้วก็…”
นายน้อยตระกูลตู่มองฮั่วฉีหลานทั้งกายด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย จากนั้นก็มองฉีหยุนเซี่ยง
“สตรีงดงามสองคนไม่ค่อยได้มาเมืองอันยี่บ่อยๆ ข้าต้องดูแลพวกนางให้ดีอยู่แล้ว?”
เขายังหมายตานางสองคนอีกด้วย!
“เจ้าตำหนักหยินหยู ยอมแพ้ซะ แม้เจ้าจะคุกเข่าอ้อนวอนข้ามันก็ไร้ประโยชน์! โจมตีซะ! จับตัวพวกมันไว้!”
แต่ในตอนนั้นเอง ซือหยูส่ายหัว
“ใครบอกว่าข้าจะขอร้องเจ้า?”
“ข้าแค่ให้โอกาสพวกเจ้าเท่านั้น!”
“เจ้ามองดูตัวเองก่อนเถอะ เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีอะไรมาต่อรองข้าอีกเรอะ? เพียงเพราะเจ้าภูมิใจในตำแหน่งรองเจ้าตำหนักน่ะรึ?”
“ถึงเจ้ากำลังจะตาย เจ้าก็ไม่ยอมทิ้งความหยิ่งยโสนั่น น่าเวทนานัก!”
แต่ในตอนนั้นเอง คลื่นพลังมิติได้เข้าล้อมกายฮั่วฉีหลานกับฉีหยุนเซี่ยงอย่างเงียบเชียบ
“ฮ่าๆๆๆ…นี่คือมิติบิดเบือนที่จะส่งพวกนางไปได้ไกล! ตอนที่พวกนางกลับไปถึงอาณาจักรทมิฬแล้วรายงานเรื่องนี้ เจ้าคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลตู่ของเจ้างั้นรึ?”
นายน้อยตระกูลตู่เบิกตากว้าง เขาสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้ามีพลังประหลาดอยู่เท่าใดกันแน่?”
ถ้าพวกนางหนีไปได้ ตระกูลตู่จะต้องพบกับการทำลายล้าง
ซือหยูหัวเราะ
“เจ้ามีแค่สองทางเลือกเท่านั้น อย่างแรก ข้าจะส่งพวกนางกลับไป แล้วเจ้าก็รอตระกูลตู่ของเจ้าถูกทำลายไปซะ! อย่างที่สอง ก่อนที่เรื่องจะแย่ไปมากกว่านี้ พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ให้หมด!”
นายน้อยตระกูลตู่ยืนตัวสั่น ท่าทางของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ถ้าเขาดึงดันจะสังหารซือหยู ฮั่วฉีหลานและฉีหยุนเซี่ยงก็จะหนีกลับไปรายงานให้อาณาจักรทมิฬได้รับรู้
ความผิดของการฆ่ารองเจ้าตำหนักอย่างเปิดเผยนั้นจะทำให้อาณาจักรทมิฬโกรธแค้นอย่างหนัก! โดยเฉพาะกับราชาแห่งความมืดที่เมตตาปล่อยให้ตระกูลตู่ได้อยู่รอด
ถ้าอาณาจักรทมิฬมาแก้แค้นก็มีโอกาสสูงมากที่ตระกูลตู่จะถูกทำลายโดยสมบูรณ์!
แผนเดียวในตอนนี้คือการหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาจะต้องทำสงครามกับอาณาจักรทมิฬอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ถ้าเขาปล่อยซือหยูไปทั้งอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงธนูมังกรฟ้าดินที่เป็นสมบัติเทพระดับกลาง…เรื่องที่ซือหยูสังหารคนตระกูลตู่ก็มิอาจอภัยได้
นายน้อยตระกูลตู่กัดฟันแน่นอย่างไม่พอใจ
เขายังมีทางเลือกอยู่อีกรึ?
เขาจ้องซือหยูอย่างเยือกเย็น
“ก็ได้ เจ้าชนะ!!”
แม้ซือหยูกับคนของเขาจะสร้างเรื่องวุ่นวายมากมายในดินแดนของตระกูลตู่…นายน้อยอย่างเขาก็ทำอะไรไม่ได้!
“พวกข้าจะไปแล้ว!”
นายน้อยตระกูลตู่อับอายเป็นอย่างมาก เขาหันหลังและกลับไป
เมื่อเขาบินผ่านตู่หลงที่บาดเจ็บปางตาย จิตสังหารก็ฉาบแววตาของเขา
“พาเขาไปด้วย!”
ซือหยูชักสีหน้า
“หยุดนะ! เขาเป็นคนของข้า!”
“หุบปาก!”
นายน้อยตระกูลตู่หันกลับ
“เขาคือคนทรยศของตระกูลตู่ การพาเขากลับไปลงโทษคือส่วนหนึ่งของหน้าที่ข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะมายุ่ง?”
“เจ้าดูตัวเองให้ดีเสียก่อนเถอะ!”
เห็นได้ชัดว่าเขาที่เป็นนายน้อยคนใหม่ไม่อยากปล่อยให้นายน้อยคนเก่ามีชีวิตรอด
แต่ถ้าเขาสังหารตู่หลงต่อหน้าทุกคนก็จะเป็นที่ครหานินทาได้
ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเอาตู่หลงกลับตระกูลและปล่อยให้ตระกูลจัดการ!
ส่วนเรื่องความผิดที่เขาร่วมมือกับเจ้าตำหนักหยินหยู ถึงเขาจะไม่ตาย เขาก็ต้องชดใช้อย่างสาสม!
เมื่อซือหยูเห็นคนจากตระกูลตู่เข้ามาเอาตัวตู่หลงที่บาดเจ็บปางตาย จิตใจเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
แม้ว่าเขาจะไม่บาดเจ็บ เขาก็มิอาจหยุดทั้งร้อยคนไปได้
ซือหยูมองเหล่ายอดฝีมือที่จากไปไกลและกำหมัดแน่น
ถ้าไม่ใช่เพราะตู่หลง เขาก็คงตายด้วยมือเฉินยู่เหลียนไปแล้ว
ถ้าซือหยูไม่ตอบแทนตู่หลงที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็ต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดกาล
ฮั่วฉีหลานถอนหายใจเบาๆ
“ถึงตู่หลงจะเป็นโจรมาสิบปี เขาก็ยังคงนับถือผู้คนเป็นอย่างสูง คนเช่นนี้ไม่ควรตายที่นี่!”
“พวกเราจะไปบ่มเพาะพลังและเติบโตขึ้น จากนั้นค่อยมาคิดถึงวิธีช่วยเขา!”
ซือหยูมองไปทางเมืองอันยี่อย่างเยือกเย็น
“ก็ได้! ข้าจะจดจำหนี้ครั้งนี้ไว้!”
ชิงธนูของเขา กดดันเขาจนต้องบาดเจ็บสาหัส ทำแม้แต่พยายามฆ่าเขา…ถ้าเขาไม่ล้างแค้นในครั้งนี้ เขาก็คงมิใช่บุรุษ!
“แต่ก่อนจะไป เราไม่ต้องจัดการไอ้เวรสองคนนี้ก่อนรึ?”
ซือหยูมองผ่านไปยังจางซือยี่กับตู่หมิงฮั่วที่นอนอยู่กับพื้น
เตี้ยฉีถูกคนตระกูลตู่พาตัวกลับไป ส่วนตู่หมิงฮั่วนั้นบาดเจ็บสาหัสจนพูดอะไรไม่ได้ เขาถูกมองข้ามไป
“พวกเจ้าสองคนคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าพวกเจ้างั้นรึ?”
ด้วยการสนับสนุนของฮั่วฉีหลาน ดวงตาซือหยูเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ครึ่งส่วนของบาดแผลนั้นมาจากจางซือยี่! เห็นได้ชัดว่าเขาโลภในธนูของซือหยู แต่เขาก็ใช้คุณธรรมมาเป็นข้ออ้างในการจู่โจม!
ส่วนอีกครึ่งนั้นมาจากตู่หมิงฮั่วที่ตอบแทนเขาด้วยความชั่วร้าย! ตู่หลงได้คุกเข่าอ้อนวอนเพื่อให้เขาถูกไว้ชีวิต แต่ตู่หมิงฮั่วที่ไร้จิตใจและไม่รู้สำนึกก็โยนความเอื้อเฟื้อนั้นทิ้งไปและพาคนมาไล่ล่าพวกเขา
สองคนนี้จะมีชีวิตรอดกลับไปไม่ได้!