The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 315
หัวหน้าทหารถอนหายใจแรง
“เจ้ากล้ามาก่อเรื่องในที่ประมูลของตระกูลตู่งั้นรึ? ก่อนจะมา เจ้าไม่รู้รึว่าเมืองอันยี่เป็นที่รู้จักเพราะอะไร?”
เขาเห็นคนมามากมายที่โง่เขลาอย่างซือหยู
“จับพวกมันไปสืบสวน!”
หัวหน้าทหารสั่งคนของตัวเอง
ทหารคนอื่นเก้าคนรีบทำตามคำสั่ง พวกเขาเข้าโจมตีซือหยูและคนในกลุ่มเขาจากทุกทิศทาง
ซือหยูไร้เหตุผลที่จะทนกับเรื่องนี้แล้ว
ในหนทางเดียวในการจัดการกับคนเช่นนี้
คือการใช้พลัง!
“วิบัติอัสนีเยือกแข็ง!”
ซือหยูตะโกนเบาๆ เมฆาครึ้มก่อตัวขึ้นบนนภาทันที
มังกรอัสนีม่วงพุ่งลงมาโดยมีกลุ่มซือหยูเป็นศูนย์กลาง มังกรอัสนีคำรามอย่างบ้าคลั่ง
เปรี๊ยะ—
เปรี๊ยะ—
อั้ก—
ทหารอำมฤตระดับหนึ่งทั้งเก้าคนที่ล้อมซือหยูกระเด็นลอยออกไปเพราะมังกรอัสนีก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีก!
หัวหน้าทหารเบิกตากว้าง!
แค่การโจมตีเดียวก็ทำให้อำมฤตเก้าคนกระเด็นไปแล้วรึ?
เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่และเริ่มตอบสนอง หัวใจเขาเต้นอย่างรวดเร็ว เขากลืนน้ำลาย เขาพยายามพูดขู่แต่ก็เป็นความขี้ขลาดจากจิตใจ
“อวดดีนัก! เจ้ากล้าทำร้ายทหารตระกูลตู่!”
แววตาซือหยูคมกริบ
“เจ้าจะเล่นตลกกับข้ารึ? ถ้าไม่ให้ข้าทำอะไรเลย งั้นเจ้าก็อยากให้ข้ารอให้พวกนั้นเข้ามาทำร้ายข้ารึ?”
พูดจบซือหยูก็เดินเข้าหาหัวหน้าทหาร
หัวหน้าทหารฝืนใจเย็น
“เจ้าจะทำอะไร? ถ้าเจ้าทำร้ายข้า ตระกูลตู่จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ซือหยูส่ายหัว
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ทหารอย่างเจ้ามีสิทธิ์พูด!”
“ทหารอย่างเจ้าควรจะปกป้องเจ้านาย ไม่ใช่ให้เจ้านายคอยปกป้องเจ้า!”
ซือหยูพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย เขาพูดและเดินชี้ดัชนีไปทางหัวหน้าทหาร
หัวหน้าทหารรีบป้องกัน
“อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้า!”
ไม่นานเขาก็ใจเย็นลงเล็กน้อย
เมื่อครู่ เขาตกใจกับวิบัติอัสนีเยือกแข็ง แต่ในตอนนี้เมื่อเขาสัมผัสดีๆ เขาก็พบว่าซือหยูเป็นแค่อำมฤตระดับหนึ่ง ซึ่งยังห่างไกลกับเขา
“วายุสามกระหน่ำ!”
หัวหน้าองครักษ์ตะโกนเบาๆ ฝ่ามือเขาเป็นดั่งเวหาที่ทะลวงชั้นเงาในนภา
นี่คือวิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้น!
ซือหยูไม่สนใจ บอลอัสนีก่อตัวขึ้นที่ปลายดัชนี
“ดัชนีสายฟ้าดารา!”
ซือหยูใช้พลังเพียงแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น
ครืน—
ครืน—
การโจมตีทั้งสองปะทะกัน ฝ่ามือของหัวหน้าองครักษ์ไหม้เกรียม
อ๊าก—
หัวหน้าองครักษ์ถอยหลังไปสามก้าว เขาหน้าซีดเผือด
“วิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง! จะ…เจ้าเป็นใครกัน?”
ชายหนุ่มอายุสิบหกใช้วิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูงได้จริงๆรึ?
เขาที่มีระดับปัญญาสูงส่งเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครหนุนหลัง
ซือหยูหัวเราะ
“เอ๋? เจ้าเลิกจับข้าไปสืบสวนแล้วรึ เจ้ากลับพยายามจะถามข้าตรงนี้น่ะหรือ?”
ซือหยูส่ายหัว เขาเดินไปพร้อมกับยื่นดัชนี!
ฝ่ามือของหัวหน้าองครักษ์เจ็บปวดอย่างมาก ไม่มีทางที่เขาจะป้องกันซือหยูได้ เขารีบถอยและร้องตะโกน
“อย่าให้มันมากนัก!”
ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่น
“มากไปรึ? เมื่อครู่ ใครกันที่อยากจะจับข้าหลังจากคุยกันไม่รู้เรื่อง? และใครกันที่ไม่ให้ของของข้าคืนและยังไล่ข้าออกไป?”
“เจ้าเอาของของข้าไปและยังอยากจะจับตัวคนของข้าอีก เลิกพูดได้แล้ว!”
เปรี๊ยะ–
ดัชนีสายฟ้าดาราพุ่งเข้าใส่ตัวเขาตรงๆ
หัวหน้าองครักษ์ร้องครวญครางและหมดสติไปกับพื้น
“มีพลังแค่นั้นแต่ก็ยังกล้าเอาของของคนอื่นไปอีกรึ?”
ซือหยูส่ายหัวและมองไปยังชายแก่!
ในตอนนั้น ชายแก่รู้แล้วว่าสถานการณ์กำลังย่ำแย่และกำลังจะหนี
ชายแก่หน้าซีดราวกับคนตาย เขารีบเข้าไปในที่ประมูลอย่างรีบร้อน
“จะหนีไปไหน?”
ซือหยูเดินราวกับยืนอยู่บนปีก เงาของเขาดั่งภาพลวง เขาบีบคอชายแก่เอาไว้หลังจากที่จับตัวได้
“ปละ…ปล่อยข้า!”
ชายแก่ร้องอย่างเจ็บปวด
ฟึ่บ–
ซือหยูชิงกล่องหยกคืนและหัวเราะอย่างเย็นชา
“ถึงเจ้าจะแก่เฒ่าเช่นนี้ เจ้าก็ยังใช้กลเช่นนี้อีก เจ้าไม่มียางอายบ้างรึ?”
ในความเป็นจริง จิตใจของซือหยูนั่นเป็นดั่งคันฉ่องกระจ่าง
ผู้ประเมินสมบัติอย่างชายแก่ผู้นี้นั่นตรวจสอบสมบัติมามากมาย และเขาก็ยังมองดูผู้คนมานับไม่ถ้วน!
เขารู้ดีวว่าสมบัติของใครควรจะหมายตาและของใครที่ไม่ควร
พลังของซือหยูกับคนที่มาด้วยนั้นไม่สูงและดูไม่คุ้นหน้า และพวกเขายังอ่อนวัยไร้ผู้อาวุโสติดตาม ดังนั้นพวกเขาคือคนที่ดีที่สุดที่จะรังแก
เขาไม่คิดเลยว่าพลังของซือหยูจะเหนือกว่าที่มองดูจากภายนอก นั่นทำให้เขาต้องเจ็บปวดอย่างมาก
“ข้าคือผู้ตรวจสมบัติของตระกูลตู่ นี่ยังไม่สายเกินไป ถ้าเจ้าหยุดตอนนี้ ไม่อย่างนั้นตระกูลตู่จะไม่…”
เพี๊ยะ—
ซือหยูตบหน้าชายแก่อย่างแรงจนเขามึนงง
“ไม่รู้สำนึก!”
ซือหยูพูดอย่างเยือกเย็น
“ข้าบอกเจ้าไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าขนวิหคเพลิงนั่นข้าได้มาอย่างถูกต้อง ตอนนั้นเจ้าก็ไม่ควรจะโลภมากเช่นนี้!”
“ข้าทนความไร้สาระของเจ้ามาหลายครานัก ตอนนี้เจ้าควรจะหยุดได้แล้ว!”
“น่าเวทนานักที่เจ้ามาท้าทายความอดทนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเรื่องเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะแก้ไขทุกสิ่งได้ด้วยตำแหน่งคนตรวจสมบัติงั้นรึ?”
ซือหยูโยนเขาลงกับพื้น ชายแก่ไม่มีฐานพลังสูงนัก เขากระแทกกับพื้นและกระอักเลือดออกมา เขาร้องอย่างเจ็บปวด
“เจ้าบอกว่าพวกข้าจะโกงเจ้าแล้วยังบอกว่าพวกข้าเป็นคนชั้นต่ำ เจ้าไม่คิดเลยรึว่าคนที่ชั้นต่ำจริงๆคือเจ้า! เพราะเจ้าโลภกับของของข้า เจ้าใช้วิธีไร้ยางอายในการชิงมันไป!”
ซือหยูเก็บกล่องหยกที่ใส่ขนวิหคเพลิงไว้กับตัวและปล่อยจิตสังหารออกมา
ซือหยูยกขาขึ้นและกำลังจะสั่งสอนกาเฒ่าด้วยบทเรียนที่เขาไม่มีวันลืม
ในตอนนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็รีบออกมาจากที่ประมูล
เขาอายุประมาณห้าสิบปี เส้นผมนั้นขาวแซมดำ แต่ก็มีสีขาวที่มากกว่า
เขาสวมชุดสีเทา เขาดูมีพลังอำนาจ
“โปรดหยุดเถอะ!”
ชายวัยกลางคนชุดสีเทานั้นฐานพลังไม่น้อย เขาเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูงและแข็งแกร่งกว่าหัวหน้าทหารหลายเท่า
ชายแก่บนพื้นที่ร้องครวญครางมองราวกับได้เจอผู้กอบกู้ เขาคลานและกลิ้งไปหาชายวัยกลางคนทันที
“นายท่าน โปรดช่วยข้าด้วย คนผู้นี้ชั่วช้าดุร้ายนัก เขาพยายามจะบุกเข้าไปในงานประมู….”
เพี๊ยะ—
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฝ่ามือยักษ์ก็ตบหน้าเขาอย่างไร้ปรานี
ด้วยพลังมหาศาล ฟันของชายแก่หลายซี่หลุดออกมาจากปากพร้อมกับโลหิต เขาเบิกตากว้าง
“นายท่าน ทำไมถึง….”
“เจ้าโง่! เจ้ายังไม่คิดจะขอโทษอีกรึ? คนที่ยืนอยู่หน้าเจ้าคือเจ้าตำหนักฉีหลานกับเจ้าตำหนักหยินหยู!”
ชายวัยกลางคนในชุดเทาเสียใจกับคนของเขามากที่ไม่ได้ดั่งหวัง
ทั้งร่างของชายแก่สั่นเครือ
“เจ้า…ตำหนัก!”
ริมฝีปากเขาสั่นระริก ชายแก่มองไปทางซือหยูและฮั่วฉีหลาน ใบหน้ามีแต่ความกลัว
“ขะ…ข้าขอโทษ…”
ซือหยูไม่คิดจะมองเขา เขาหันไปสนใจชายชุดเทาและรู้สึกทึ่งเล็กๆ
เขาเพิ่งจะได้เป็นเจ้าตำหนักแค่สามเดือน และก็เพิ่งจะแสดงตัวอย่างเป็นทางการต่อตำหนักรองในหนึ่งเดือนก่อน
แต่คนคนนี้กลับรู้ถึงตัวตนของทั้งเขาและฮั่วฉีหลาน
ซือหยูเริ่มระแวง
ตระกูลตู่นั้นเก็บตัวอยู่ในป่าทมิฬ แต่พวกเขาก็รู้ข่าวในโลกภายนอกเป็นอย่างดี!
ตระกูลตู่ยังคงมีอำนาจ!
“ข้าคือตู่หมิงฮั่ว ผู้จัดงานประมูลของตระกูลตู่ เป็นเกียรติยิ่งนักที่พวกท่านมางานประมูลของพวกเรา ถ้าหากไม่เป็นไร เชิญพวกท่านนั่งที่พิเศษในห้องของแขกผู้มีเกียรติเถอะ”
ตู่หมิงฮั่วยิ้มอย่างสดใส