The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 596
ซ่า! เสียงมิติฉีกขาดแล่นเข้าหูซือหยูอย่างไร้คำเตือน ในความอันตรายนั้นเอง ร่างของซือหยูถูกแสงสีทองโอบล้อมและย้ายไปในตำแหน่งอันไกลโพ้นทันที!
วายุทมิฬแล่นผ่านแสงสีทองไปยังนภา ยอดกระโจมเทพสวรรค์ที่ถูกวายุทมิฬได้กลายเป็นสีดำสนิทและดูเหมือนจะถูกกัดกร่อน
ซือหยูใจเย็นลงแต่ก็รีบอัดพลังชีวิตลงในไม้หกทิศ เขามองลู่จือยี่
ซูม
ใบไม้ทองคำใบหนึ่งหยุดที่ใต้เท้าของซือหยูและลอยกลับมาที่มือลู่จือยี่ นางเก็บใบไผ่ทอง แววตาของนางเงางามใต้ขนตาที่ทอดเป็นแพ
นางพูดอย่างใจเย็น
“เจ้าจะต้องตายด้วยมือข้าเท่านั้น”
ซือหยูงุนงง มันเป็นอย่างนั้นรึ?
จากนั้นชายในชุดดำก็เดินออกมาจากหมอกพิษ
ลู่จือยี่ถามทันที
“รู้แล้วรึว่าเจ้าโดนหลอก ฉีเทียนโจว?”
“ข้ายอมรับว่าข้าประมาทความคิดอ่านของเจ้าเด็กคนนี้ไป”
ชายชุดดำคือฉีเทียนโจว เขาเหลือบมองซือหยูด้วยแววตาน่ากลัว
“เขาตบตาเก่งจริงๆ เจ้าไม่ผิดหรอกที่โดนหลอก ถ้าข้าไม่รู้จักเขามาก่อน ข้าก็คงจะไล่ตามร่างเทียมเหมือนกับเจ้า”
ลู่จือยี่เห็นด้วยกับฉีเทียนโจว
ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่น แม้ว่าเขาจะหลอกฉีเทียนโจวได้ ลู่จือยี่ก็ยังเจอตัวเขาอยู่ดี
“แต่ก็เถอะ จากสถานะของเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะลอบโจมตีเช่นนี้”
ลู่จือยี่ลูบใบไม้ทองคำในมือเมื่อพูด
“จากฐานพลัง ไม่จำเป็นเลยที่เจ้าจะต้องลอบโจมตี แต่เจ้าคิดจะจู่โจมข้าต่างหาก…ใช่หรือไม่?”
ลู่จือยี่ฟันพื้นเบื้องล่าง เสียงระเบิดดัง พื้นเบื้องล่างแยกออก
ในตอนนั้น พลังอสูรทมิฬที่แข็งแกร่งกว่าที่ใช้กับซือหยูสิบเท่าได้ปรากฏให้เห็น มันถูกแสงสีทองบดขยี้ทิ้งไป พลังอสูรทมิฬก่อนหน้าเป็นเพียงการหลอกล่อความสนใจ!
ฉีเทียนโจวถอนหายใจเบาๆ รอยยิ้มของเขาหายไป
“เจ้านี่ช่างรับมือยากเสียจริง!”
เพราะคนที่เขาอยากจะลอบโจมตีจริงๆก็คือลู่จือยี่ ท้ายสุดแผนของเขาจึงถูกมองผ่านอย่างง่ายดาย
“ข้าจะตรวจสอบเขาเอง เจ้าถอยไปซะ!”
ลู่จือยี่เดินอย่างสง่างามไปที่ระหว่างฉีเทียนโจวกับซือหยู
พลังของลู่จือยี่นั้นแข็งแกร่งมาก ท่าทางสง่างามของนางดูน่าทึ่ง
“เกรงว่าข้าจะทำอย่างที่เจ้าบอกไม่ได้นะ!”
ฉีเทียนโจวจะต้องได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
ลู่จือยี่หมุนใบไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ในมือ มันส่องแสงสีทองจนทำให้ใบหน้านางดูไร้ความด่างพร้อย
“เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
นางตะโกน
นางพูดได้เช่นนั้นเพราะนางคือธิดาสวรรค์แห่งดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด แม้แต่ผู้เฒ่าหลายคนก็ต้องตกใจในพรสวรรค์ของนาง
“หึหึ แน่ล่ะว่ามันต้องยาก ถ้าข้าอยู่คนเดียวนะ!”
ฉีเทียนโจวหัวเราะอย่างลึกลับ เขาหยิบเอาหุ่นเชิดที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษญ์ออกมา
ซือหยูเคยเห็นหุ่นเชิดไม้นี้มาก่อน ชางก่วนชิงเอ๋อเคยใช้มันมาหลายครั้ง!
ความต่างเดียวคือหุ่นเชิดไม้นี้ไม่ได้ดูเหมือนม่อเทียนฉวน มันกลับดูเหมือนบางคนที่ซือหยูไม่รู้จัก
“หน่วยลาดตระเวนหลวงฮงหลวนรึ? นี่เป็นหุ่นเชิดไม้วิญญาณที่ใช้ผนึกนางสินะ?”
ลู่จือยี่จำได้ในทันที นั่นทำให้ซือหยูตกใจมาก
ฉีเทียนโจวหัวเราะอย่างเย็นชา
“เจ้าก็รู้เรื่องหน่วยลาดตระเวนหลวงเหมือนกันสินะ! ถ้าเจ้าไม่อยากให้วิญญาณเจ้าเป็นอันตราย เจ้าก็จงหนีไปจากที่นี่ซะ! วิญญาณของฮงหลวนไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับมือได้ พลังเพียงน้อยนิดจะทำให้เจ้าเจ็บหนัก!”
หน่วยลาดตระเวนหลวงฮงหลวน? คนผู้นี้คือใครกัน?
ลู่จือยี่ดูลังเล นางกังวลใจกับหุ่นเชิดนี้มาก
“เจ้ากับพวกคนตำหนักเมฆาม่วงมันโลเล พวกเจ้าไม่ยอมจำนนต่อนายท่านจนถึงตอนนี้ ท่านได้ส่งหน่วยลาดตระเวนหลวงไปประจำการที่ดินแดนพรสวรรค์เพื่อดูแลเจ้ากับเหล่าสำนักที่ตำหนักเมฆาม่วงปกครอง! ถ้าหากข้าอัญเชิญวิญญาณของนางมาในที่แบบนี้ เจ้าคิดรึว่านางจะเมตตาต่อเจ้า? ถึงตอนนั้นวิญญาณของเจ้าก็จะเจ็บหนัก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาบอกว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าก็แล้วกัน!”
ซือหยูดูเยือกเย็นแต่ในใจนั้นตื่นตระหนก แค่พลังเสี้ยวเดียวของฮงหลวนก็จะทำให้ลู่จือยี่บาดเจ็บจนมิอาจฟื้นตัวได้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะต้องมีพลังที่เหนือว่าจุดสูงสุดของจ้าวเทวะ!
ลู่จือยี่ค่อยๆถอยช้าๆ นางมองซือหยูด้วยสีหน้าซับซ้อน แววตานางมีแสงอันเย็นชา
“เจ้าจัดการเรื่องนี้เองก็แล้วกัน!”
ลู่จือยี่หายตัวไปกับแสงสีทอง ก่อนที่จะหายตัวไป นางหันมามองร่างซือหยูที่ค่อยๆจางหายด้วยดวงตาอันงดงาม
ตอนที่พวกเขาต้องวิชาลับหยินหยาง นางได้ทำให้ซือหยูตกอยู่ในอันตรายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนาง ในวันนี้ตอนที่เขามีปัญหา นางได้ทิ้งเขาอีกครั้ง นางรู้ว่าไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะกอบกู้ความสัมพันธ์ของนางกับซือหยู
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของทั้งคู่ ไม่ว่าฉีเทียนโจวจะมาหรือไม่ ทั้งสองก็คงไร้ซึ่งความสัมพันธ์อันใดต่อกันอยู่ดี ลู่จือยี่ค่อยๆหลับตา นางรู้สึกถึงความขมขื่นในจิตใจโดยเฉพาะเมื่อนางเห็นว่าซือหยูกำลังมองนางตอนที่นางมองเขา
เมื่อสายตาประสานกัน ลู่จือยี่มิได้เห็นความแปลกใจหรือผิดหวังจากสายตาของซือหยูเลย มันคือดวงตาที่ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง
ราวกับว่าซือหยูรู้มาโดยตลอดว่านางจะตัดสินใจเช่นนี้และหักหลังเขา การมองราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกแย่
จากนั้นพลังมิติก็พาตัวนางไปอย่างรวดเร็ว นางทิ้งซือหยูไว้ที่นี่ เช่นเดียวกับอดีตที่นางหวังว่าจะเก็บไว้ไปตลอดกาล
ฉีเทียนโจวที่ยังถือหุ่นเชิดไว้ในมือดูผิดหวัง
“นางหนีไปเร็วจริงๆ ถ้าข้าได้มีโอกาสทำให้ดวงวิญญาณนางเสียหาย ข้าก็จะได้จบเส้นทางการบ่มเพาะพลังของนางซะ”
นั่นก็เพราะว่าถ้าหากวิญญาณเสียหาย เส้นทางการบ่มเพาะพลังจะยากขึ้นอย่างมาก แล้วตำหนักเมฆาม่วงยังมีกู้ไทซูอยู่แล้ว ถ้าธิดาสวรรค์อย่างลู่จือยี่ถูกกำจัดไปก็คงจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับพวกเขา!
“เจ้าหนู เอามันมาให้ข้า เจ้ารู้ว่าข้าต้องการอะไร”
ฉีเทียนโจวพุ่งเข้าหาซือหยูด้วยความเร็วสูง
ซือหยูในตอนนี้อยู่เพียงลำพังกับจ้าวเทวะ! ซือหยูมองดูหุ่นเชิดในมือของอีกฝ่ายและประเมินสถานการณ์ ฉีเทียนโจวนั้นมีฐานพลังจำกัดอยู่แค่ภูติขั้นกลางในร่างเงา ถ้าหากซือหยูต่อสู้ด้วยทั้งหมดที่มี เขาอาจจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่หุ่นเชิดนี้มีภัยต่อวิญญาณของเขา ดังนั้นจึงนับได้ว่าลู่จือยี่คิดดีแล้วที่จากไป เป็นไปได้ที่ซือหยูจะสู้กับฉีเทียนโจว แต่การต่อสู้กับหุ่นเชิดนั้นเป็นไปไม่ได้เลย!
ซือหยูไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาเรียกสายฟ้าออกมารอบตัวเพื่อใช้เลี่ยงสายฟ้า! แต่การยักย้ายก็ไม่ได้เกิดขึ้น! ดูเหมือนจะมีพลังที่มาจำกัดเขาได้ก่อตัวขึ้นขวางกั้นมิติเอาไว้!
ซือหยูเห็นหุ่นเชิดในมือฉีเทียนโจวที่เริ่มเปล่งแสงสีคราม หากดูจากที่ไกลๆ หุ่นเชิดนี้จะเหมือนกับหุ่นเชิดแก้วสีครามที่สวยงามมาก
“คิดหนีเรอะ? เจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้รึ?”
หุ่นเชิดสีครามเพียงแค่เปล่งแสงอ่อนๆ แต่มันก็ผนึกมิติได้เป็นร้อยลี้! จากฐานพลังในตอนนี้ของซือหยู…ไม่มีทางเลยที่เขาจะทำลายผนึกและหนีไปได้!
“กรรรรร!!”
ในตอนนั้นเอง กิเลนน้อยร้องออกมา มันพยายามตบอะไรบางอย่างตรงหน้า
กิเลนน้อยที่ถูกแสงสีครามล้อมได้เปลี่ยนจากรูปลักษณ์ของมนุษย์ไปเป็นรูปลักษณ์แท้จริงอย่างช้าๆ
สภาพแรกของกิเลนน้อยนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือ ไม่เพียงแต่มันจะผนึกคนได้ มันยังสลายการแปลงร่างทุกแบบได้อีก ดังนั้นในระยะร้อยลี้นี้ ใครก็ตามที่ซ่อนตัวอยู่จะถูกเผยออกมา!
“ลูกแก่นแท้วิญญาณ!”
ฉีเทียนโจวตกตะลึงมาก
“มันฟักแล้วงั้นเรอะ!”
นอกจากตกใจแล้วฉีเทียนโจวยังดีใจมากด้วย ดวงตาเขาสั่นระริกขณะที่อุทาน
“สวรรค์เข้าข้างข้าแล้ว! ถ้าข้าพาสิ่งนี้ไปให้นายท่าน ข้าจะต้องได้รางวัลอย่างงามแน่!”
เพื่อเลี่ยงโอกาสที่จะพลาด ฉีเทียนโจวอัดพลังชีวิตลงในหุ่นเชิดต่อไป แสงสีครามที่ล้อมรอบตัวกิเลนน้อยนั้นหนาแน่นขึ้น มีสองมือที่เกิดจากแสงสีครามออกมาจับกิเลนน้อยที่รีบกระโดดด้วยกีบทั้งสี่เพื่อพยายามแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์
มันเงยหน้าและกระโดดกลับไปที่มือของซือหยูอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็น่าตกใจที่ฝ่ามือสีคราวนั้นคว้าขาหลังของมันไว้ได้! มันไม่ได้สนใจร่างลวงของกิเลนน้อยเลย มันให้ผลแบบเดียวกับแสงพลังของกู้ไทซู!
กิเลนน้อยตกใจและพยายามจะหนีไปหาซือหยู แต่ฝ่ามือสีครามกลับลากมันไปทางฉีเทียนโจว!
ใบหน้าซือหยูหม่นหมองลง กิเลนน้อยนั้นช่วยเหลือเขามามากและไม่เคยขอสิ่งใดตอบแทนเลย มันทุ่มเทกับซือหยูมากนัก ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้มันถูกเอาตัวไป!
แต่ก่อนที่ซือหยูจะได้ทำอะไร ฉีเทียนโจวก็พูดอย่างเย็นชา
“ข้าเจอแก่นแท้วิญญาณแล้ว เจ้าไม่มีประโยชน์กับข้าอีกแล้ว! แต่ดูเหมือนว่าจะมีสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับแก่นแท้วิญญาณ ข้าคงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตไม่ได้แล้ว!”