The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 579
ไม่เหลือใครอีกแล้วในลานนกกระจอกเทวะ นั่นเป็นเพราะว่าการต่อสู่ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในตำหนักกระดูก หลังจากนั้นก็เกิดการต่อสู้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมขึ้นอีกจึงไม่มีใครกล้าจะอยู่ที่นี่
หลังจากที่ซือหยูไปยังที่เก็บสมบัติ เขาไม่พบร่องรอยของเวทความฝันอยู่เลย เขาสงสัยว่ามันคงจะถูกหุ่นเชิดสีเงินทำลายไปแล้วหรือไม่ก็มีคนอื่นเก็บไป
ซือหยูหันมองรอบๆ สิ่งที่เห็นมีเพียงซากจากการทำลายล้าง กระดูกสัตว์อสูรที่เคยอยู่ที่นี่ได้หายไปพร้อมกับมุกสมุทรสาบสูญที่เขาไม่มีเวลามากพอจะเก็บไว้กับตัว
ซือหยูผิดหวังอย่างแปลกๆที่รู้ว่าตัวเองมาช้าเกินไป เขาสงสัยว่าใครกันที่เอากระดูกสัตว์อสูรกับมุกอีกเม็ดไป
กระดูกสัตว์อสูรเหล่านั้นเป็นกระดูกในระดับอสูรเนรมิตรที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ถ้าหากซือหยูอยากจะซ่อมเกราะราชาศิลานิรันดร์ สิ่งที่เขาต้องการก็คือวัตถุดิบแบบนี้
ส่วนมุกสมุทรสาบสูญคือวัตถุดิบสายฟ้าที่มีคุณสมบัติสูงที่สุด เขาต้องการเพื่อใช้ตีตราสายฟ้าห้าธาตุขึ้นใหม่ให้เป็นสมบัติภูติ
ดังนั้นจึงน่าเสียดายที่ของทั้งสองสิ่งถูกคนอื่นเก็บไปแล้ว ซือหยูมองจนทั่ว และขณะที่เขาจะยอมแพ้และบินไปที่อื่น…เขาก็สังเกตเห็นศพของไป่ฉี
ศพนี้ถูกกระบี่ทองของซือหยูฟันเป็นสามส่วน ซือหยูมองร่างไร้วิญญาณที่ไร้การเคลื่อนไหว
ซือหยูบินไปค้นดู เขาเจอน้ำเต้าโลหิตที่มีรอยหน้าภูติสลักเอาไว้ นี่คือน้ำเต้าปีศาจที่เต็มไปด้วยสุราโลหิตของคนในตระกูลไป่หยีเจี้ยนทั้งตระกูล หลังจากที่ไป่ฉีดื่มมันเข้าไป ฐานพลังของเขาพุ่งสูงขึ้นจนถึงขอบเขตภูติ
ซือหยูถือน้ำเต้าโลหิตและรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกดำ นั่นก็เพราะว่าสิ่งนี้มีแต่โลหิตของทั้งตระกูลไป่!
ถ้าเขาอยากจะเพิ่มฐานพลัง เขาต้องดื่มมัน แต่เมื่อคิดว่ามันทำมาจากอะไรก็ทำให้เขาตัวสั่น เพราะสิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับคนป่าที่ดื่มโลหิตมนุษย์!
เขาทิ้งความต้องการที่จะโยนมันทิ้งไปและเก็บมันเอาไว้เอง หลังจากที่มองรอบๆเป็นครั้งสุดท้ายและยืนยันว่าไม่ได้พลาดอะไรไป ซือหยูจึงบินไปจากที่นี่…
เขาสงสัยน่าเซี่ยจิงหยูจะเป็นอย่างไรบ้าง นางน่าจะหนีไปได้…
เพราะตัวเขาเองเป็นเป้าหมายของหุ่นเชิดสีเงิน หุ่นเชิดไม่น่าจะไล่ล่าเซี่ยจิงหยูที่หนีไปก่อนได้ แต่แม้กระนั้นเขาก็เป็นห่วงนางมาก
ซือหยูรู้สึกเหงาเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะแยกกับเซี่ยจิงหยูมาเพียงสองสามวัน แต่เขาก็รู้สึกราวกับว่าวันเหล่านี้เนิ่นนานไปหลายปี!
ตอนนี้ ทั้งคู่อยู่คนละสถานที่และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใด เขาไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ด้วยซ้ำ! นั่นทำให้เขาร้อนใจและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก!
ซือหยูยืนนิ่งอย่างไร้อารมณ์ไปนาน จากนั้นเขาหันไปมองลานนกกระจอกเทวะ การเดินทางของเขาในกระโจมเทพสวรรค์จะจบลงที่นี่
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการเข้าร่วมพิธีแลกเปลี่ยนนี่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งสุดท้ายในกระโจมเทพสวรรค์ ดวงตาของเขาลุกวาวไปครู่หนึ่งเมื่อคิดถึงเป้าหมายในครั้งนี้
เขาต้องการวัตถุดิบสามชนิด และเขาไม่รู้ว่าเขาจะได้มุกเงินเลี่ยงสายฟ้าและโลหิตมังกรมาจากที่ใด เขาต้องหวังเป็นครั้งสุดท้ายกับพิธีนี้ โชคดีที่เขายังมีเวลาเหลืออีกสี่วันก่อนที่มันจะเริ่มขึ้น
หลังจากที่รู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกสี่วัน เขาออกบินไปไกลเพื่อหาสถานที่พักฟื้นพลังและรักษาบาดแผล ครึ่งวันผ่านไป เสียงคนสองคนบินดังสะท้อนเข้าหู
สตรีงดงามสองคนลอยอยู่กลางอากาศ หนึ่งคนมีร่างที่ปกคลุมด้วยหมอก ส่วนอีกคนนั้นงดงามเป็นอย่างมากและมีร่างกายผอมบาง ใบหน้านั้นเกินกว่าคำว่าสวยงามไปแล้ว
แต่ใบหน้านางกลับเต็มไปด้วยความกังวล นางคือเซี่ยจิงหยู! นางกลับมาแล้ว! นางรีบกลับมาที่นี่หลังจากเจอสถานที่ซ่อนตัวของเหล่าจ้าวแห่งความมืด!
จางซื่อเหลียนจากสำนักบัวขาวบินอยู่ข้างนาง
“น้องจิงหยู ร่างของพวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ มิใช่ว่าซือหยูจะหนีรอดไปได้รึ? เขามีสมบัติตั้งเยอะ การหนีรอดไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่+”
จางซื่อเหลียนพูดด้วยเหตุผล แต่เซี่ยจิงหยูกลับยังคงขมวดคิ้วและเป็นกังวลอย่างมาก
เซี่ยจิงหยูโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอ ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่ซือหยูช่วยชีวิตนาง และนางก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนเขาได้อย่างไร
ดูเหมือนว่าจางซื่อเหลียนจะมองเซี่ยจิงหยูออก นางถามด้วยความสับสน
“เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับซือหยูกันแน่? ดูเหมือนว่าเจ้าสองคนสนิทกันมากนะ”
เซี่ยจิงหยูกลับมาได้สติหลังจากได้ยินคำถาม นางพยายามจะใจเย็นต่อหน้าจางซื่อเหลียน
“เขาเป็นสหายเก่าของข้า”
“สหายเก่ารึ? ข้าไม่เคยเห็นคนที่เป็นแค่เพื่อนเสี่ยงชีวิตให้คนอื่นมากขนาดนี้หรอกนะ!”
จางซื่อเหลียนยิ้มขณะที่พูด
หลังจากที่เซี่ยจิงหยูเตรียมทางหนีให้กับจ้าวแห่งความมืด นางยังคืนสมบัติล้ำค่าของอาณาจักรทมิฬไปด้วย นั่นคือเข็มขนนกแห่งความมืด
ตอนที่นางคืนมันไป นางยังขอให้จ้าวแห่งความมืดฝากข้อความจากนางไปให้ราชาแห่งความมืดในกรณีที่นางไม่รอดกลับไป นั่นคือคำสั่งเสียของนาง และไม่ใช่สำหรับใครอื่นนอกจากซือหยู
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเลยว่านางเตรียมตัวตายแล้วเมื่อกลับมาที่นี่ ความรู้สึกที่หยั่งรากลึกและท่าทางเช่นนี้มิใช่สิ่งที่อธิบายได้ด้วยบางอย่างที่เรียบง่ายอย่าง…สหาย
เซี่ยจิงหยูหน้าแดงระเรื่อและไม่พอใจขึ้นมาที่จางซื่อเหลียนมองนางออก นางข่มใจลงและพูด
“พวกข้าไปกันได้ดี แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งอื่นเกิดขึ้นระหว่างเรา”
จางซื่อเหลียนดูจะสนใจเรื่องนี้ นางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดูเจ้าจะรักเขาจริงๆนะ ทั้งพลัง ความสามารถ รูปลักษณ์ ทั้งหมดล้วนหาได้ยาก จะแปลกอะไรถ้าเจ้าจะรักเขาเล่า?”
เซี่ยจิงหยูตกอยู่ในภวังค์ความคิดตัวเอง นางจึงไม่ตอบอะไร
“ถ้าเช่นนั้น ซือหยูรักเจ้าตอบรึเปล่า? เขาเสี่ยงชีวิตให้เจ้าหนีมาก่อนเช่นนี้ เขาจะต้องรักเจ้าแน่ๆ…”
จางซื่อเหลียนพูดต่อ
เซี่ยจิงหยูดีใจเมื่อได้ยินนางพูดแบบนั้น แต่เมื่อนางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกันที่ไม่มีความรักเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางก็หม่นหมองลง นางหัวเราะเยาะตัวเองและรู้สึกถึงความโง่เขลา
จางซื่อเหลียนยังยิ้มตอบขณะมองเซี่ยจิงหยูด้วยตาเป็นประกาย หลังจากนั้น…เวลาสี่วันไปอ่านไปอย่างรวดเร็ว…
ลานนกกระจอกเทวะเริ่มเต็มไปด้วยผู้คน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มกลับมาแล้วเมื่อสัมผัสได้ว่าอันตรายต่างๆที่เคยเกินขึ้นได้หายไป
ซึ่งในความจริงแล้วที่นี่มีคนถึงเกือบสี่ร้อยคน นับเป็นสองเท่าหลังจากที่ซือหยูได้มาที่นี่ครั้งแรก! ยอดฝีมือจากหลากหลายสำนักพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือเร่ร่อนต่างมารวมตัวกัน
“แม่นางจาง ขอถามได้หรือไม่ว่าพิธีแลกเปลี่ยนจะเริ่มเมื่อไหร่?”
กึ่งเทพคนหนึ่งถามนางด้วยความนับถือ
หลังจากที่คนส่วนมากที่แข็งแกร่งได้ตายไปจากที่นี่ จางซื่อเหลียนได้กลายเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นนางจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดพิธีแลกเปลี่ยนในครั้งนี้
“โปรดรออีกหน่อยเถิด ลานประลิงลับสวรรค์ของจิวโจวเชื่อมโยงกับที่นี่ จะมีผู้เฒ่าหลายคนผ่านที่นั่นมาร่วมกับพวกเราด้วย…”
อย่างตอบอย่างสุภาพ
กระโจมเทพสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยทรัพยากร เหล่าผู้เฒ่าที่แข็งแกร่งหลายคนจากโลกภายนอกอยากที่จะได้ของจากที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากจะแลกสมบัติของตนกับเหล่าศิษย์ที่จะกลับสำนัก
“แม่นางจาง แม่นางรู้หรือไม่ว่าพวกผู้เฒ่าคนไหนจะมาในครั้งนี้?”
ศิษย์คนหนึ่งถามด้วยความคาดหวัง
จางซื่อเหลียนยิ้มเบาๆและถามกลับ
“อะไรกัน? เจ้าใจร้อนที่จะแลกของกับพวกผู้เฒ่าเพราะเจอของที่ยอดเยี่ยมแล้วงั้นรึ?”
สีหน้าของคนคนนั้นแข็งทื่อ เขายิ้มอย่างอึดอัด
“แม่นางจาง แม่นางล้ออะไรข้าเล่นงั้นหรือ? ข้าไม่ได้ผ่านยอดเขาทั้งห้าด้วยซ้ำ ข้าจะหาสมบัติเจอได้อย่างไร?”
ภายนอกเขาดูประหม่า แต่ภายในนั้นค่อนข้างระวังตัว เขาบอกได้เลยว่ามีสายตาอย่างน้อยเจ็ดคู่ที่จับจ้องมายังเขา
ในใจหลายคนนั้นก็อยากที่จะถามนาง ตอนนี้พวกเขาตัวสั่น พวกเขาตัดสินใจที่จะเงียบและทำทีว่าตัวเองไม่มีสิ่งใดมาแลกแทน
ฟึ่บ!
เสียงหลายคนบินดังก้องพร้อมกับพลังมหาศาล พลังนี้เป็นของผู้ที่เข้าใกล้ขอบเขตภูติอย่างมาก!
ยอดฝีมือหลายคนตกตะลึง ตามที่พวกเขารู้ ยอดฝีมือระดับนี้เหลือไม่มากแล้วในกระโจมเทพสวรรค์! นั่นรวมถึงโจวฉีหมิงจากตำหนักชิงวิญญาณและหยางยีเ่ต๋าจากสำนักศีลหวนคืน สตรีลึกลับจากตำหนักเมฆาม่วงลู่จือี่ และชางก่วนชิงเอ๋อจากตำหนักโลหิต ดังนั้นจึงไม่มีใครที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวงนอกเหนือจากคนเหล่านี้แล้ว!
นั่นทำให้หลายคนสงสัยที่มาของพลังที่ปรากฏที่นี่ ใครกันที่มาที่นี่และได้ทะลวงพลังจนมีแก้วพลังชีวิตสามดวง!
ชายที่ดูงดงามคล้ายสตรีและดูอ่อนโยนเป็นอย่างมากบินเข้ามา เขาอายุราวยี่สิบปี หน้าผากของเขามีรอยจันทราสีดำ เขาอยู่ท่ามกลางสตรีงดงามสามคน เขาดูเป็นดวงจันทร์ที่สว่างไสวที่รายล้อมด้วยดวงดาว
“เฮ่ยเยี่ยหลางจุน?”
คนหนึ่งจำเขาได้ในทันที เขาอุทานออกมา
แม้ว่าที่นี่จะมีคนไม่ถึงสี่ร้อยคน อย่างมากที่น่าจะมีสามร้อยเก้าสิบ และทุกคนกลับตะโกนร้องออกมาพร้อมกัน! แค่การตอบสนองอย่างเดียวก็บอกได้เลยว่าเขาเลื่องชื่อแค่ไหน!
“แม้แต่คนอย่างเขาก็มาที่กระโจมเทพสวรรค์รึ?”
คนหนึ่งอ้าปากค้างขณะที่หลายคนเดาะลิ้นสงสัย พวกเขาหันไปพูดคุยกันเอง…
“เฮ่ยเยี่ยหลางจุนถูกหนึ่งในสามยอดฝีมือเร่ร่อนผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนพรสวรรค์หมายตา นั่นคือหยางมู่ เขาถูกพาไปเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ!”
“ฐานพลังของเขาถึงระดับกึ่งเทพแล้ว!”
“เฮ่ยเยี่ยหลางจุนถูกหยางมู่ชี้แนะ เขามีสมบัติชั้นยอดมากมายในมือ เขายังได้สมบัติล้ำค่ามากมายในกระโจมเทพสวรรค์ด้วย เขาจะต้องได้เปรียบในพิธีแลกเปลี่ยนครั้งนี้แน่!”
เฮ่ยเยี่ยหลางจุนร่อนลงพื้นอย่างอ่อนโยนท่ามกลางเสียงผู้คนที่พูดคุยกัน ความงดงามของเขานั้นทำให้แม้กระทั่งสตรีหน้าแดงระเรื่อ
ดวงตาสดใสของเฮ่ยเยี่ยหลางจุนกวาดมองรอยข้าง เสียงอันอ่อนโยนของเขาดังขึ้น
“เหตุใดคนจากตำหนักเมฆาม่วงกับตำหนักโลหิตถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วคนที่ไม่สำคัญเช่นนี้จากสำนักบัวขาวกลับได้คุมงานอีก?”
หลายคนมองหน้ากันด้วยความละอายใจ พวกเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่านอกจากลู่จือยี่แล้วทุกคนตายหมด? และหยางยี่เต๋าเองก็ถูกซือหยูสังหารด้วยมือเขาเอง!
เทียบกันแล้ว จางซื่อเหลียนสีหน้าดูเยือกเย็นเป็นสุขแม้ว่าจะได้ยินคำดูถูกเช่นนั้น
เฮ่ยเยี่ยหลางจุนหัวเราะและพูดต่อ เขาไม่รอให้ใครตอบ
“ก็ได้ ถ้าเจ้าทำตามหน้าที่ได้ดี เจ้าก็รับหน้าที่ต่อไป ถ้าหากเจ้าทำไม่ได้ข้าจะขึ้นไปเป็นผู้ดำเนินงานเอง”
ยอดฝีมือเร่ร่อนหลายคนใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น เพราะเฮ่ยเยี่ยหลางจุนเองก็เป็นยอดฝีมือเร่ร่อน คำพูดเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจ
ขณะเดียวกัน สีหน้าของเหล่าศิษย์ที่มีสังกัดสำนักกลับดูตึงเครียดขึ้น